การหายตัวไปของ ‘ลูกกวาด’
คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ‘ลูกอม’ ต้องเข้าไปพัวพันกับภารกิจลับ
ที่จะเปลี่ยนคืนวันของเธอ...ให้หวานตลอดไป
๕
ทันทีที่ได้ยินเสียงร้องของหญิงสาว ชายหนุ่มผู้เพิ่งเข้ามาใหม่ก็ชะงักงัน ดวงตาโตของเขาเบิกกว้างเพราะคาดไม่ถึง ขณะมธุรสไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่าเธอจะเห็นพี่ชายคนสนิทมาปรากฏตัวที่นี่ ไม่คาดคิดว่า ‘พยาน’ จะเป็นคนใกล้ตัวมากๆอย่างภนนท์
“ลูก...”
แม้จะตกใจอยู่ แต่เมื่อเห็นว่าภนนท์ที่อึ้งพอกันกำลังจะพูดชื่อเล่นจริงๆของเธอ มธุรสก็ไม่ลืมขยิบตาส่งสัญญาณให้
“กวาด...มาทำอะไรที่นี่!”
“กวาดต่างหากที่ต้องถามพี่นนท์ว่าพี่นนท์มาทำอะไรที่นี่ แล้วพี่นนท์มีความลับอะไรที่ปิดกวาดเอาไว้ มันเกี่ยวกับเรื่องที่กวาดรู้ใช่ไหม”
มธุรสสวมบทกัญชรสแล้วยิงคำถามใส่ภนนท์รัว ‘กวาด’ ในประโยคแรกคือสรรพนามที่เธอใช้เรียกตัวเอง ทว่า ‘กวาด’ ในประโยคหลังเธอหมายถึงลูกกวาดตัวจริง ดวงตาเรียวของหญิงสาวหรี่เล็กลงเมื่อจับจ้องพี่ชายข้างบ้าน กำแพงแห่งความเชื่อใจของเธอต่อเขาซึ่งเคยสูงระฟ้า...บัดนี้เริ่มมีรอยร้าวเมื่อเห็นว่าภนนท์มีเรื่องปิดบังเธอ
แถมเป็นเรื่องที่ทำให้ฝาแฝดของเธอหนีหายไป!
“ว่าไงล่ะพี่นนท์”
“ก่อนหน้านี้พี่ก็แค่สงสัยว่ากวาดรู้ จนกระทั่งวันนี้ที่วินโทร.ไปหาพี่ บอกว่ามีคนรู้เรื่องเพิ่มขึ้น พี่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็น...กวาด” ภนนท์ตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงนัก หลบตาน้องสาวคนสนิทโดยเร็ว ก่อนวิญญูจะแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“พี่นนท์สนิทกับคุณลูกกวาดใช่ไหม”
“ใช่” ภนนท์เหลือบมองมธุรสชั่วครู่แล้วหลุบตาต่ำ กิริยาดังกล่าวของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวประหลาดใจอย่างติดจะเคืองๆ ไหนเขาเคยพูดไว้ว่าไม่รู้จักกับวิญญู!
“งั้นค่อยไปคุยกันทีหลังก็แล้วกัน ตอนนี้เรามาว่ากันดีกว่าว่าจะเอาไงกับเธอ”
ดวงตาวิญญูปราดมายังหญิงสาว มธุรสรีบส่ายหน้า
“จะเอาไงกับฉัน...แต่ฉันก็บอกไปแล้วนะคะว่าฉันแทบไม่รู้อะไรจริงๆ”
“คุณรู้”
“แทบจะไม่รู้ค่ะ”
เสียงที่ใช้ถกเถียงกันของคนสองคนเริ่มดังขึ้นจนภนนท์ต้องร้องแทรก แล้วหันมาสบตาน้องสาวคนสนิท
“วินใจเย็นก่อน กวาดเขาบอกว่าไม่รู้ งั้นลองขยายความสักหน่อยว่าวันพฤหัสฯเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“พี่นนท์อยากให้กวาดรู้แล้วเหรอ”
“เรื่องมาถึงขั้นนี้พี่คิดว่าพี่ก็ปิดไว้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”
ภนนท์กล่าวเสียงค่อยอย่างอ่อนใจ หากแววตาจริงจัง ขณะที่มธุรสหายใจเข้าลึกๆแล้วหันไปทางวิญญูที่มีสีหน้ารำคาญหน่อยๆ
“นี่คุณไม่ได้ตัดผมอย่างเดียว แต่ตัดเอาสมองส่วนที่ใช้จำอะไรๆไปด้วยหรือเปล่า...เอาเถอะ ผมเล่าใหม่ก็ได้ถ้าคุณจะยังยืนยันว่าคุณไม่รู้อะไรจริงๆ ตั้งแต่บริษัทของเราออกกฎว่าพนักงานจะต้องกลับบ้านทันทีที่กริ่งดังตอนห้าโมงครึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว คุณก็กลับบ้านตามเวลานั้นทุกวัน จนกระทั่งเมื่อวันพฤหัสที่แล้ว คุณกลับเข้ามาออฟฟิศตอนประมาณทุ่มหนึ่งเพราะลืมของ ตอนนั้นผมเองอยู่ในห้องประชุมเล็ก แต่ผมไม่รู้ว่าคุณมา”
“แล้วตอนนั้น...วินทำอะไรอยู่นะ พี่ลืม” ชายหนุ่มที่นั่งฟังอยู่ถามขึ้นราวกับว่าอยากจะให้วิญญูขยายความจนมธุรสเข้าใจอย่างชัดเจน
“คุณได้ยินเรื่องที่ผมคุยโทรศัพท์ทุกอย่าง”
แล้ววิญญูก็เงียบไปพร้อมกับจ้องมธุรสด้วยแววตาไม่พอใจ จนภนนท์ต้องถามย้ำ
“แล้วตอนนั้นคุยเรื่องอะไรนะ”
“เรื่องที่พวกเราจะเข้าไปขโมยของในบ้านพีธวัช ติดต่อนางนกต่อให้ไปล่อลวงนายพีที่ผับ ปลอมตัวเป็นเด็กของแม่เล้า”
ได้ยินเพียงเท่านั้นมธุรสก็เบิกตาโพลง นิ่งชะงักงันเหมือนโดนค้อนทุบหัวเข้าให้แรงๆ ในเมื่อแต่ละเรื่องที่กัญชรสได้ยินเป็นอาชญากรรมทั้งนั้น
และที่สำคัญ...พี่ชายแสนดีอย่างภนนท์ก็กลับมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนี้อีกต่างหาก!
“มันไม่ใช่อย่างที่กวาดคิดนะ”
“กวาดได้ยินเรื่องแบบนี้ แล้วจะให้กวาดคิดยังไง”
มธุรสเถียงภนนท์ที่เอ่ยเสียงอ่อยๆทันที...คำว่ากวาดที่เธอใช้เรียกตัวเองหมายถึงทั้งลูกกวาดตัวจริง และลูกกวาดตัวปลอมอย่างเธอ ทว่าคนตอบกลับเป็นวิญญู
“ใช่ วันนั้นคุณกลับยืนแอบฟังเรื่องที่ผมพูด แต่เหมือนว่าคุณจะเก็บเนื้อความไม่ครบและเสียงผมเบาเกินไปจนคุณได้ยินไม่ชัดทุกคำ คุณก็เลยเก็บได้แต่หัวเรื่อง ผมออกมาเจอคุณพอดีตอนคุยโทรศัพท์เสร็จ คุณก็เอาแต่พูดว่าจะแจ้งตำรวจ”
หญิงสาวฟังแล้วก็เริ่มถดตัวให้ห่างวิญญู เตรียมจะลุก ปากก็ว่าไป
“ก็แต่ละเรื่องมันก็อาชญากรรมทั้งนั้นเลยนะคะ”
“เรายอมรับว่าเราทำผิดกฎหมาย...แต่ก็แค่บางเรื่องเท่านั้น หนูควรจะฟังพวกเราให้จบนะลูกกวาด”
รุ่งระวีแทรกขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มๆอย่างที่มธุรสมองแล้วก็ไม่เข้าใจเธอว่ายังยิ้มได้เช่นไร หญิงสาวทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วที่จะอยู่ที่นี่จึงรีบลุกขึ้นแล้วสาวเท้าไปยังประตู ทว่าภนนท์กลับคว้าแขนเธอเอาไว้
“อย่าเพิ่งไป”
ดวงตาคู่เรียวของคนอยากหนีตวัดไปมองคนรั้งเอาไว้ บัดนี้ภนนท์มีสีหน้าหนักใจอย่างหนักหน่วง แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรต่อ หากเธอสามารถเห็นคำว่า ‘ขอโทษ’ ในดวงตาของเขาได้อย่างชัดเจน
“พี่นนท์...” มธุรสไม่กล้าพูดต่อว่าผิดหวังในตัวภนนท์เหลือเกิน
“ฟังก่อนได้ไหม แล้วหลังจากที่ฟังเสร็จ พี่จะตอบทุกคำถามของกวาด”
ความหนักแน่นในน้ำเสียงของชายหนุ่มทำให้มธุรสชะงัก ก่อนมือที่จับแขนเธอเอาไว้จะบีบแน่นขึ้นเล็กน้อยเหมือนเป็นสัญญาณยืนยันว่าเขาพูดจริง หญิงสาวชั่งใจอยู่พักใหญ่ก่อนถอนหายใจดังเฮือก ก่อนหน้านี้ภนนท์เป็นคนดีมาตลอด ทั้งใจบุญสุนทาน ทั้งเคารพกฎหมายบ้านเมือง
ดังนั้นการที่เขาเข้ามาข้องเกี่ยวกับพวกวิญญู...ภนนท์เองก็คงมีเหตุผลของตัวเอง
หญิงสาวเหลือบมองข้อแขนที่ถูกยึดไว้แน่นแล้วพยักหน้า รอยแห่งความโล่งใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าภนนท์ ก่อนเขาจะแตะบ่าพามธุรสไปนั่งที่โซฟาตามเดิม แล้ววิญญูที่มองเหตุการณ์มาตลอดก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่มธุรินฟังแล้วรู้สึกว่าช่างยียวนขัดหูเสียจริง
“ทะเลาะกันเสร็จแล้วเหรอ”
“ไม่ได้ทะเลาะอะไร แล้วที่วินเล่าว่าวินก็เลยขู่ผู้หญิงคนที่รู้เรื่องนี้เมื่อวันพฤหัสฯ ก็หมายถึงขู่ลูกกวาดใช่ไหม พี่ไม่เห็นรู้ว่าคนๆนั้นคือลูกกวาด”
“ผมก็ไม่ได้คิดว่าคนที่แอบฟังผมจะสนิทกับพี่นนท์ ก็เลยไม่ได้เล่ารายละเอียดว่าเป็นใคร”
“แล้วสรุปนี่มันเรื่องอะไรกันแน่คะ พวกคุณเรียกฉันมาแล้วบอกจะยื่นข้อเสนอให้ แล้วเรื่องนั้นมันเรื่องอะไร แถมสรุปพวกคุณทำอะไรกันแน่ ถ้าพวกคุณทำไม่ดีจริงๆ...เห็นทีว่าฉันต้องเรียกตำรวจ”
มธุรสว่ากับวิญญู แล้วตวัดตาไปยังภนนท์ อย่างไรเสียเธอก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี
* หวานลับเล่ห์ * ๕
คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ‘ลูกอม’ ต้องเข้าไปพัวพันกับภารกิจลับ
ที่จะเปลี่ยนคืนวันของเธอ...ให้หวานตลอดไป
๕
ทันทีที่ได้ยินเสียงร้องของหญิงสาว ชายหนุ่มผู้เพิ่งเข้ามาใหม่ก็ชะงักงัน ดวงตาโตของเขาเบิกกว้างเพราะคาดไม่ถึง ขณะมธุรสไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่าเธอจะเห็นพี่ชายคนสนิทมาปรากฏตัวที่นี่ ไม่คาดคิดว่า ‘พยาน’ จะเป็นคนใกล้ตัวมากๆอย่างภนนท์
“ลูก...”
แม้จะตกใจอยู่ แต่เมื่อเห็นว่าภนนท์ที่อึ้งพอกันกำลังจะพูดชื่อเล่นจริงๆของเธอ มธุรสก็ไม่ลืมขยิบตาส่งสัญญาณให้
“กวาด...มาทำอะไรที่นี่!”
“กวาดต่างหากที่ต้องถามพี่นนท์ว่าพี่นนท์มาทำอะไรที่นี่ แล้วพี่นนท์มีความลับอะไรที่ปิดกวาดเอาไว้ มันเกี่ยวกับเรื่องที่กวาดรู้ใช่ไหม”
มธุรสสวมบทกัญชรสแล้วยิงคำถามใส่ภนนท์รัว ‘กวาด’ ในประโยคแรกคือสรรพนามที่เธอใช้เรียกตัวเอง ทว่า ‘กวาด’ ในประโยคหลังเธอหมายถึงลูกกวาดตัวจริง ดวงตาเรียวของหญิงสาวหรี่เล็กลงเมื่อจับจ้องพี่ชายข้างบ้าน กำแพงแห่งความเชื่อใจของเธอต่อเขาซึ่งเคยสูงระฟ้า...บัดนี้เริ่มมีรอยร้าวเมื่อเห็นว่าภนนท์มีเรื่องปิดบังเธอ
แถมเป็นเรื่องที่ทำให้ฝาแฝดของเธอหนีหายไป!
“ว่าไงล่ะพี่นนท์”
“ก่อนหน้านี้พี่ก็แค่สงสัยว่ากวาดรู้ จนกระทั่งวันนี้ที่วินโทร.ไปหาพี่ บอกว่ามีคนรู้เรื่องเพิ่มขึ้น พี่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็น...กวาด” ภนนท์ตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงนัก หลบตาน้องสาวคนสนิทโดยเร็ว ก่อนวิญญูจะแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“พี่นนท์สนิทกับคุณลูกกวาดใช่ไหม”
“ใช่” ภนนท์เหลือบมองมธุรสชั่วครู่แล้วหลุบตาต่ำ กิริยาดังกล่าวของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวประหลาดใจอย่างติดจะเคืองๆ ไหนเขาเคยพูดไว้ว่าไม่รู้จักกับวิญญู!
“งั้นค่อยไปคุยกันทีหลังก็แล้วกัน ตอนนี้เรามาว่ากันดีกว่าว่าจะเอาไงกับเธอ”
ดวงตาวิญญูปราดมายังหญิงสาว มธุรสรีบส่ายหน้า
“จะเอาไงกับฉัน...แต่ฉันก็บอกไปแล้วนะคะว่าฉันแทบไม่รู้อะไรจริงๆ”
“คุณรู้”
“แทบจะไม่รู้ค่ะ”
เสียงที่ใช้ถกเถียงกันของคนสองคนเริ่มดังขึ้นจนภนนท์ต้องร้องแทรก แล้วหันมาสบตาน้องสาวคนสนิท
“วินใจเย็นก่อน กวาดเขาบอกว่าไม่รู้ งั้นลองขยายความสักหน่อยว่าวันพฤหัสฯเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“พี่นนท์อยากให้กวาดรู้แล้วเหรอ”
“เรื่องมาถึงขั้นนี้พี่คิดว่าพี่ก็ปิดไว้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”
ภนนท์กล่าวเสียงค่อยอย่างอ่อนใจ หากแววตาจริงจัง ขณะที่มธุรสหายใจเข้าลึกๆแล้วหันไปทางวิญญูที่มีสีหน้ารำคาญหน่อยๆ
“นี่คุณไม่ได้ตัดผมอย่างเดียว แต่ตัดเอาสมองส่วนที่ใช้จำอะไรๆไปด้วยหรือเปล่า...เอาเถอะ ผมเล่าใหม่ก็ได้ถ้าคุณจะยังยืนยันว่าคุณไม่รู้อะไรจริงๆ ตั้งแต่บริษัทของเราออกกฎว่าพนักงานจะต้องกลับบ้านทันทีที่กริ่งดังตอนห้าโมงครึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว คุณก็กลับบ้านตามเวลานั้นทุกวัน จนกระทั่งเมื่อวันพฤหัสที่แล้ว คุณกลับเข้ามาออฟฟิศตอนประมาณทุ่มหนึ่งเพราะลืมของ ตอนนั้นผมเองอยู่ในห้องประชุมเล็ก แต่ผมไม่รู้ว่าคุณมา”
“แล้วตอนนั้น...วินทำอะไรอยู่นะ พี่ลืม” ชายหนุ่มที่นั่งฟังอยู่ถามขึ้นราวกับว่าอยากจะให้วิญญูขยายความจนมธุรสเข้าใจอย่างชัดเจน
“คุณได้ยินเรื่องที่ผมคุยโทรศัพท์ทุกอย่าง”
แล้ววิญญูก็เงียบไปพร้อมกับจ้องมธุรสด้วยแววตาไม่พอใจ จนภนนท์ต้องถามย้ำ
“แล้วตอนนั้นคุยเรื่องอะไรนะ”
“เรื่องที่พวกเราจะเข้าไปขโมยของในบ้านพีธวัช ติดต่อนางนกต่อให้ไปล่อลวงนายพีที่ผับ ปลอมตัวเป็นเด็กของแม่เล้า”
ได้ยินเพียงเท่านั้นมธุรสก็เบิกตาโพลง นิ่งชะงักงันเหมือนโดนค้อนทุบหัวเข้าให้แรงๆ ในเมื่อแต่ละเรื่องที่กัญชรสได้ยินเป็นอาชญากรรมทั้งนั้น
และที่สำคัญ...พี่ชายแสนดีอย่างภนนท์ก็กลับมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนี้อีกต่างหาก!
“มันไม่ใช่อย่างที่กวาดคิดนะ”
“กวาดได้ยินเรื่องแบบนี้ แล้วจะให้กวาดคิดยังไง”
มธุรสเถียงภนนท์ที่เอ่ยเสียงอ่อยๆทันที...คำว่ากวาดที่เธอใช้เรียกตัวเองหมายถึงทั้งลูกกวาดตัวจริง และลูกกวาดตัวปลอมอย่างเธอ ทว่าคนตอบกลับเป็นวิญญู
“ใช่ วันนั้นคุณกลับยืนแอบฟังเรื่องที่ผมพูด แต่เหมือนว่าคุณจะเก็บเนื้อความไม่ครบและเสียงผมเบาเกินไปจนคุณได้ยินไม่ชัดทุกคำ คุณก็เลยเก็บได้แต่หัวเรื่อง ผมออกมาเจอคุณพอดีตอนคุยโทรศัพท์เสร็จ คุณก็เอาแต่พูดว่าจะแจ้งตำรวจ”
หญิงสาวฟังแล้วก็เริ่มถดตัวให้ห่างวิญญู เตรียมจะลุก ปากก็ว่าไป
“ก็แต่ละเรื่องมันก็อาชญากรรมทั้งนั้นเลยนะคะ”
“เรายอมรับว่าเราทำผิดกฎหมาย...แต่ก็แค่บางเรื่องเท่านั้น หนูควรจะฟังพวกเราให้จบนะลูกกวาด”
รุ่งระวีแทรกขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มๆอย่างที่มธุรสมองแล้วก็ไม่เข้าใจเธอว่ายังยิ้มได้เช่นไร หญิงสาวทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วที่จะอยู่ที่นี่จึงรีบลุกขึ้นแล้วสาวเท้าไปยังประตู ทว่าภนนท์กลับคว้าแขนเธอเอาไว้
“อย่าเพิ่งไป”
ดวงตาคู่เรียวของคนอยากหนีตวัดไปมองคนรั้งเอาไว้ บัดนี้ภนนท์มีสีหน้าหนักใจอย่างหนักหน่วง แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรต่อ หากเธอสามารถเห็นคำว่า ‘ขอโทษ’ ในดวงตาของเขาได้อย่างชัดเจน
“พี่นนท์...” มธุรสไม่กล้าพูดต่อว่าผิดหวังในตัวภนนท์เหลือเกิน
“ฟังก่อนได้ไหม แล้วหลังจากที่ฟังเสร็จ พี่จะตอบทุกคำถามของกวาด”
ความหนักแน่นในน้ำเสียงของชายหนุ่มทำให้มธุรสชะงัก ก่อนมือที่จับแขนเธอเอาไว้จะบีบแน่นขึ้นเล็กน้อยเหมือนเป็นสัญญาณยืนยันว่าเขาพูดจริง หญิงสาวชั่งใจอยู่พักใหญ่ก่อนถอนหายใจดังเฮือก ก่อนหน้านี้ภนนท์เป็นคนดีมาตลอด ทั้งใจบุญสุนทาน ทั้งเคารพกฎหมายบ้านเมือง
ดังนั้นการที่เขาเข้ามาข้องเกี่ยวกับพวกวิญญู...ภนนท์เองก็คงมีเหตุผลของตัวเอง
หญิงสาวเหลือบมองข้อแขนที่ถูกยึดไว้แน่นแล้วพยักหน้า รอยแห่งความโล่งใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าภนนท์ ก่อนเขาจะแตะบ่าพามธุรสไปนั่งที่โซฟาตามเดิม แล้ววิญญูที่มองเหตุการณ์มาตลอดก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่มธุรินฟังแล้วรู้สึกว่าช่างยียวนขัดหูเสียจริง
“ทะเลาะกันเสร็จแล้วเหรอ”
“ไม่ได้ทะเลาะอะไร แล้วที่วินเล่าว่าวินก็เลยขู่ผู้หญิงคนที่รู้เรื่องนี้เมื่อวันพฤหัสฯ ก็หมายถึงขู่ลูกกวาดใช่ไหม พี่ไม่เห็นรู้ว่าคนๆนั้นคือลูกกวาด”
“ผมก็ไม่ได้คิดว่าคนที่แอบฟังผมจะสนิทกับพี่นนท์ ก็เลยไม่ได้เล่ารายละเอียดว่าเป็นใคร”
“แล้วสรุปนี่มันเรื่องอะไรกันแน่คะ พวกคุณเรียกฉันมาแล้วบอกจะยื่นข้อเสนอให้ แล้วเรื่องนั้นมันเรื่องอะไร แถมสรุปพวกคุณทำอะไรกันแน่ ถ้าพวกคุณทำไม่ดีจริงๆ...เห็นทีว่าฉันต้องเรียกตำรวจ”
มธุรสว่ากับวิญญู แล้วตวัดตาไปยังภนนท์ อย่างไรเสียเธอก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี