การหายตัวไปของ ‘ลูกกวาด’
คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ‘ลูกอม’ ต้องเข้าไปพัวพันกับภารกิจลับ
ที่จะเปลี่ยนคืนวันของเธอ...ให้หวานตลอดไป
๔
มธุรสประสานมือสองข้างแล้วปิดปากเอาไว้ ก่อนจะเขยิบตัวให้ลึกเข้าไปใต้โต๊ะ นึกขอบคุณที่โต๊ะทำงานของบริษัทมีที่กั้นด้านหน้าโต๊ะ ไม่ใช่โต๊ะทำงานสี่ขาโปร่งๆทั่วไป แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจวางใจได้เมื่อเสียงย่างเท้าของวิญญูเข้ามาใกล้ทุกที...ทุกที
“มีใครอยู่หรือเปล่า”
เสียงทุ้มของวิญญูดังก้องเพราะความเงียบ บัดนี้หญิงสาวแทบจะไม่หายใจ พยายามทำตัวลีบที่สุด เธอเบิกตาโพลงเมื่อเห็นรองเท้าผู้ชายกับกางเกงสแล็กสีดำโผล่มาจากทางช่องว่างด้านซ้ายของโต๊ะ ก่อนจะรีบเอาหน้าหลบอยู่หลังเก้าอี้ด้วยหัวใจที่เต้นแรงเพราะความตระหนก โดยไม่ทันคาดคิด เท้าทั้งสองข้างหยุดตรงโต๊ะที่มธุรสซ่อนตัวอยู่ แล้วเข่าก็ย่อลงก่อนจะ...
“วิน”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหญิงสาวดังขึ้นมาเสียก่อน ตามด้วยเสียงรองเท้าส้นสูงเดินกระทบพื้นกระเบื้อง เข่าของชายหนุ่มที่กำลังจะย่อลงก็กลับไปยืนตรง ขณะที่มธุรสพยายามกัดฟันแน่นเพื่อข่มความกลัวไว้ หายใจให้เบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้ ไม่ว่าคนที่เข้ามาใหม่จะเป็นใครก็ตาม เธอคนนั้นก็เสมือนนางฟ้าผู้มาลงมาช่วยชีวิตได้ถูกเวลาอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มคนถูกเรียกชื่อไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“เรื่องดังโกะกับพุดดิ้งชาเขียวที่ยงกิจมาโวยวายกับพวกเราเมื่อตอนเย็นว่ามันเสียหมด จริงๆเป็นฝีมือของพวกอิจิ...”
“น้ำ อย่าเพิ่งพูดอะไรต่อ เราไปคุยเรื่องนี้กันที่อื่น” วิญญูรีบตัดบททันที
“ตรงนี้ก็ไม่มีใครไม่ใช่เหรอ”
นีราถามด้วยน้ำเสียงสงสัย ขณะที่ ‘ใคร’ ในที่นี้ได้แต่กลั้นลมหายใจ รองเท้าผู้ชายที่เธอเห็นตรงหน้าค่อยๆถอยออก ตามมาด้วยเสียงเดินจากไปพร้อมเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นที่ฟังห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ในไม่ช้าเสียงนั้นก็เงียบสนิท จนหญิงสาวที่เกือบจะขาดอากาศหายใจค่อยๆเลื่อนเก้าอี้แล้วลุกออกจากใต้โต๊ะ หันซ้ายหันขวาให้แน่ใจว่าวิญญูไม่อยู่แถวนี้อีกต่อไป
มธุรสวิ่งเร็วจี๋ไปที่ลิฟต์ซึ่งมีสองตัว พร้อมกดปุ่มลงนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าลิฟต์ตัวหนึ่งก็ยังคงจอดนิ่งอยู่ชั้นบนสุด ในขณะที่ลิฟต์อีกตัวหนึ่งก็อยู่ชั้นล่างสุดแสดงสัญญาณว่ากำลังขึ้นมา แต่เมื่อขึ้นได้ถึงชั้นสามก็หยุดนิ่ง ถึงชั้นหกก็หยุดอีก จนเธอไม่อาจใจเย็นรอได้ รีบวิ่งไปบันไดหนีไฟแล้วลงไปชั้นสิบหกซึ่งเป็นบริษัทอื่นทันที ก่อนจะกดเรียกลิฟต์จากชั้นนั้นแทน
ไม่นานนักมธุรสก็ลงมาอยู่ชั้นล่างสุด เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่บริษัทของภนนท์ซึ่งอยู่เยื้องไปอีกช่วงถนน หญิงสาวขึ้นไปชั้นเก้าอย่างเคยชิน ก่อนจะเคาะประตูห้องทำงานของภนนท์เร็วและรัวจนเจ้าของห้องต้องรีบเรียกให้เข้าไป
“ลูกอม เป็นไรหรือเปล่า ทำไมเคาะซะรัวเลย แล้วหอบขนาดนี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
ทันทีที่มธุรสซึ่งหอบร่างกายเหนื่อยไปยืนมึนๆในห้องทำงานของพี่ชายคนสนิท ภนนท์ที่นั่งตรงโต๊ะทำงานก็ร้องถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล หญิงสาวหายใจเข้าลึกๆก่อนเดินมานั่งตรงหน้าชายหนุ่ม ดวงตาล้าจัดจ้องภนนท์เขม็ง แล้วปากก็ร้องทันที
“พี่นนท์นะพี่นนท์ เกือบทำน้องตายแล้วไง”
“พี่เนี่ยนะ” ภนนท์ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างงงๆ
“พี่นนท์นั่นแหละ โทร.หาอมได้จังหวะเกินไป”
มธุรสว่าแล้วก็ถอนหายใจพรวดอย่างอ่อนล้า นึกถึงเมื่อครู่นี้ที่เสียงเพลงเรียกเข้าดังขึ้นเพราะภนนท์โทร.หา เสียงเพลงบางระจันทำเอาเธอหัวใจแทบวายเพราะดันดังไม่ถูกเวล่ำเวลา แต่จะว่าภนนท์อย่างเดียวก็ไม่ได้ เธอเองก็ไม่รอบคอบที่ลืมปิดเสียงโทรศัพท์ของตัวเองเช่นกัน
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า เมื่อกี๊พี่โทร.ไปว่าจะถามว่าอมจะกลับด้วยกันไหม แต่นี่อมกลับมาถึงนี่ สรุปมีเรื่องอะไรที่นั่น แล้วที่เข้าไปแทนลูกกวาดวันนี้เป็นไงบ้าง”
น้ำเสียงที่ถามเต็มไปด้วยความเป็นห่วงยิ่งกว่าเดิม มธุรสจ้องใบหน้าของพี่ชายคนสนิท แล้วเริ่มปริปาก
“คุณวิญญูเจ้านายของลูกกวาด...”
หญิงสาวสังเกตเห็นคิ้วของภนนท์เลิกขึ้นหน่อยๆ แล้วก็ว่าต่อไป
“กวาดรู้ความลับของเขา ก็เลยโดนเขาขู่”
“แล้ว...” แล้วความเป็นห่วงที่แทรกอยู่ในน้ำเสียงก็กลับแปรเปลี่ยนเป็นความวิตกหน่อยๆ “อมรู้หรือเปล่าว่ากวาดเขาไปรู้ความลับอะไรของคุณวิญญู”
ภนนท์พูดเสียงต่ำ คิ้วขมวดชนกันแสดงถึงความกังวล หากดวงตาไม่ได้เบิกกว้างราวกับว่าเขาไม่ได้ตกใจกับสิ่งที่มธุรสเพิ่งพูด แต่หญิงสาวไม่ได้ใส่ใจท่าทางของเขามากเท่าไร พร้อมกับเริ่มเปิดปากเล่าเรื่องราวตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเรื่องที่ทำให้เธอวิ่งมาถึงบริษัทของภนนท์ได้
“คุณวิญญูคุยกับคนในโทรศัพท์ว่าถ้าหากกวาดไปวุ่นวายกับเรื่องของเขาอีกครั้ง เขาจะไม่เก็บเอาไว้แน่”
มธุรสปิดท้ายด้วยเสียงถอนหายใจหนัก แล้วกัดริมฝีปากล่างอย่างไม่รู้ตัวเพราะความเครียด
“เขาบอกแบบนั้นเลยเหรอ”
“ใช่ สรุปว่ากวาดไปพัวพันกับเรื่องอะไรล่ะเนี่ย อมว่ามันดูอันตรายมากนะพี่นนท์ แล้วป่านนี้กวาดจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ ไปแจ้งตำรวจดีหรือเปล่า อมทนไม่ไหวแล้วพี่นนท์”
“อย่าทั้งคู่” ภนนท์รีบพูดอย่างรวดเร็ว มธุรสขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อได้ยินดังนั้น
“ทำไมล่ะ”
คนถูกถามเงียบไปเหมือนหาเสียงไม่เจอ กลอกตาไปมาก่อนอธิบาย
“เมื่อกี๊หม่าม้าเราเพิ่งคุยกับพี่ บอกว่ากวาดโทร.เข้าบ้านอีกแล้ว แล้วคราวนี้หม่าม้าก็จดเบอร์ไว้ด้วย แต่พอโทร.กลับก็ไม่มีคนรับสาย”
“กวาดว่าไงบ้าง กวาดยังปลอดภัยดีใช่ไหม”
“ปลอดภัย ดังนั้นอมไม่ต้องเป็นห่วง อีกอย่างเรื่องคุณวิญญู พี่ว่าเขาไม่น่าจะสั่งเก็บกวาดจริงๆหรอก”
“ทำไมคิดว่าอย่างนั้น” มธุรสถามทันควัน
“พี่...” ชายหนุ่มกลับอ้ำอึ้ง หลุบตาต่ำจนคนถามเริ่มจับพิรุธได้
“พี่นนท์จะรู้อะไรมาแล้วไม่อยากบอกอม หรือว่าจริงๆแล้วพี่นนท์รู้จักคุณวิญญู”
คราวนี้ภนนท์ส่ายหน้าดิก รีบปฏิเสธ
“ไม่ พี่รู้จักแค่ชื่อเขาจริงๆ เอางี้ละกันอม พี่ขอตัดสินใจแทนลูกอมเลย อมสวมรอยเป็นกวาดต่อไป ไม่ต้องไปยุ่งกับคุณวิญญู เพราะดูแล้วถ้ายิ่งไปยุ่งกับเขา ก็ยิ่งอันตรายสำหรับตัวอมเอง ทำเนียนไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อยๆ แล้วพี่จะพาตัวกวาดกลับมาให้เร็วที่สุดโดยไม่ต้องแจ้งตำรวจ ทำแบบที่พี่บอกดีกว่า แล้วนี่อมกินข้าวเย็นหรือยัง เราออกไปกินกันตอนนี้แล้วกลับบ้านกันเอาไหม”
คำถามเปลี่ยนประเด็นที่ภนนท์พูดขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยในตอนท้ายเป็นสาเหตุให้มธุรสขมวดคิ้ว เธอหรี่ตาเล็กลงแล้วปราดมองภนนท์ที่กำลังลุกจากเก้าอี้ เขาสบตาเธอแล้วรีบหลบอีกครั้ง ก่อนจะตรงมาจับไหล่ทั้งสองข้างจากด้านหลัง ดันตัวเธอให้เดินไปข้างหน้า
“พี่นนท์...พี่นนท์รู้ใช่ไหม ว่าถ้าอมมีเรื่องอะไร อมจะเล่าให้พี่นนท์ฟังเสมอ”
มธุรสกล่าวแผ่วเบาทั้งที่ยังไม่หันหลังไป
“รู้สิ”
“และอมก็หวังว่าพี่นนท์จะเป็นเหมือนอม...แบบที่พี่นนท์เคยเป็นมาตลอด”
ไม่มีคำตอบรับใดจากคนที่เดินอยู่ข้างหลัง มีเพียงแรงบีบที่ไหล่ราวกับแทนคำมั่นรับสัญญา แล้วหลังจากนั้น ภนนท์ก็ไม่ได้เอ่ยชื่อกัญชรสหรือวิญญูให้มธุรสได้ยินจนกระทั่งกลับถึงบ้าน
* หวานลับเล่ห์ * ๔
คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ‘ลูกอม’ ต้องเข้าไปพัวพันกับภารกิจลับ
ที่จะเปลี่ยนคืนวันของเธอ...ให้หวานตลอดไป
๔
มธุรสประสานมือสองข้างแล้วปิดปากเอาไว้ ก่อนจะเขยิบตัวให้ลึกเข้าไปใต้โต๊ะ นึกขอบคุณที่โต๊ะทำงานของบริษัทมีที่กั้นด้านหน้าโต๊ะ ไม่ใช่โต๊ะทำงานสี่ขาโปร่งๆทั่วไป แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจวางใจได้เมื่อเสียงย่างเท้าของวิญญูเข้ามาใกล้ทุกที...ทุกที
“มีใครอยู่หรือเปล่า”
เสียงทุ้มของวิญญูดังก้องเพราะความเงียบ บัดนี้หญิงสาวแทบจะไม่หายใจ พยายามทำตัวลีบที่สุด เธอเบิกตาโพลงเมื่อเห็นรองเท้าผู้ชายกับกางเกงสแล็กสีดำโผล่มาจากทางช่องว่างด้านซ้ายของโต๊ะ ก่อนจะรีบเอาหน้าหลบอยู่หลังเก้าอี้ด้วยหัวใจที่เต้นแรงเพราะความตระหนก โดยไม่ทันคาดคิด เท้าทั้งสองข้างหยุดตรงโต๊ะที่มธุรสซ่อนตัวอยู่ แล้วเข่าก็ย่อลงก่อนจะ...
“วิน”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหญิงสาวดังขึ้นมาเสียก่อน ตามด้วยเสียงรองเท้าส้นสูงเดินกระทบพื้นกระเบื้อง เข่าของชายหนุ่มที่กำลังจะย่อลงก็กลับไปยืนตรง ขณะที่มธุรสพยายามกัดฟันแน่นเพื่อข่มความกลัวไว้ หายใจให้เบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้ ไม่ว่าคนที่เข้ามาใหม่จะเป็นใครก็ตาม เธอคนนั้นก็เสมือนนางฟ้าผู้มาลงมาช่วยชีวิตได้ถูกเวลาอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มคนถูกเรียกชื่อไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“เรื่องดังโกะกับพุดดิ้งชาเขียวที่ยงกิจมาโวยวายกับพวกเราเมื่อตอนเย็นว่ามันเสียหมด จริงๆเป็นฝีมือของพวกอิจิ...”
“น้ำ อย่าเพิ่งพูดอะไรต่อ เราไปคุยเรื่องนี้กันที่อื่น” วิญญูรีบตัดบททันที
“ตรงนี้ก็ไม่มีใครไม่ใช่เหรอ”
นีราถามด้วยน้ำเสียงสงสัย ขณะที่ ‘ใคร’ ในที่นี้ได้แต่กลั้นลมหายใจ รองเท้าผู้ชายที่เธอเห็นตรงหน้าค่อยๆถอยออก ตามมาด้วยเสียงเดินจากไปพร้อมเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นที่ฟังห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ในไม่ช้าเสียงนั้นก็เงียบสนิท จนหญิงสาวที่เกือบจะขาดอากาศหายใจค่อยๆเลื่อนเก้าอี้แล้วลุกออกจากใต้โต๊ะ หันซ้ายหันขวาให้แน่ใจว่าวิญญูไม่อยู่แถวนี้อีกต่อไป
มธุรสวิ่งเร็วจี๋ไปที่ลิฟต์ซึ่งมีสองตัว พร้อมกดปุ่มลงนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าลิฟต์ตัวหนึ่งก็ยังคงจอดนิ่งอยู่ชั้นบนสุด ในขณะที่ลิฟต์อีกตัวหนึ่งก็อยู่ชั้นล่างสุดแสดงสัญญาณว่ากำลังขึ้นมา แต่เมื่อขึ้นได้ถึงชั้นสามก็หยุดนิ่ง ถึงชั้นหกก็หยุดอีก จนเธอไม่อาจใจเย็นรอได้ รีบวิ่งไปบันไดหนีไฟแล้วลงไปชั้นสิบหกซึ่งเป็นบริษัทอื่นทันที ก่อนจะกดเรียกลิฟต์จากชั้นนั้นแทน
ไม่นานนักมธุรสก็ลงมาอยู่ชั้นล่างสุด เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่บริษัทของภนนท์ซึ่งอยู่เยื้องไปอีกช่วงถนน หญิงสาวขึ้นไปชั้นเก้าอย่างเคยชิน ก่อนจะเคาะประตูห้องทำงานของภนนท์เร็วและรัวจนเจ้าของห้องต้องรีบเรียกให้เข้าไป
“ลูกอม เป็นไรหรือเปล่า ทำไมเคาะซะรัวเลย แล้วหอบขนาดนี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
ทันทีที่มธุรสซึ่งหอบร่างกายเหนื่อยไปยืนมึนๆในห้องทำงานของพี่ชายคนสนิท ภนนท์ที่นั่งตรงโต๊ะทำงานก็ร้องถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล หญิงสาวหายใจเข้าลึกๆก่อนเดินมานั่งตรงหน้าชายหนุ่ม ดวงตาล้าจัดจ้องภนนท์เขม็ง แล้วปากก็ร้องทันที
“พี่นนท์นะพี่นนท์ เกือบทำน้องตายแล้วไง”
“พี่เนี่ยนะ” ภนนท์ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างงงๆ
“พี่นนท์นั่นแหละ โทร.หาอมได้จังหวะเกินไป”
มธุรสว่าแล้วก็ถอนหายใจพรวดอย่างอ่อนล้า นึกถึงเมื่อครู่นี้ที่เสียงเพลงเรียกเข้าดังขึ้นเพราะภนนท์โทร.หา เสียงเพลงบางระจันทำเอาเธอหัวใจแทบวายเพราะดันดังไม่ถูกเวล่ำเวลา แต่จะว่าภนนท์อย่างเดียวก็ไม่ได้ เธอเองก็ไม่รอบคอบที่ลืมปิดเสียงโทรศัพท์ของตัวเองเช่นกัน
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า เมื่อกี๊พี่โทร.ไปว่าจะถามว่าอมจะกลับด้วยกันไหม แต่นี่อมกลับมาถึงนี่ สรุปมีเรื่องอะไรที่นั่น แล้วที่เข้าไปแทนลูกกวาดวันนี้เป็นไงบ้าง”
น้ำเสียงที่ถามเต็มไปด้วยความเป็นห่วงยิ่งกว่าเดิม มธุรสจ้องใบหน้าของพี่ชายคนสนิท แล้วเริ่มปริปาก
“คุณวิญญูเจ้านายของลูกกวาด...”
หญิงสาวสังเกตเห็นคิ้วของภนนท์เลิกขึ้นหน่อยๆ แล้วก็ว่าต่อไป
“กวาดรู้ความลับของเขา ก็เลยโดนเขาขู่”
“แล้ว...” แล้วความเป็นห่วงที่แทรกอยู่ในน้ำเสียงก็กลับแปรเปลี่ยนเป็นความวิตกหน่อยๆ “อมรู้หรือเปล่าว่ากวาดเขาไปรู้ความลับอะไรของคุณวิญญู”
ภนนท์พูดเสียงต่ำ คิ้วขมวดชนกันแสดงถึงความกังวล หากดวงตาไม่ได้เบิกกว้างราวกับว่าเขาไม่ได้ตกใจกับสิ่งที่มธุรสเพิ่งพูด แต่หญิงสาวไม่ได้ใส่ใจท่าทางของเขามากเท่าไร พร้อมกับเริ่มเปิดปากเล่าเรื่องราวตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเรื่องที่ทำให้เธอวิ่งมาถึงบริษัทของภนนท์ได้
“คุณวิญญูคุยกับคนในโทรศัพท์ว่าถ้าหากกวาดไปวุ่นวายกับเรื่องของเขาอีกครั้ง เขาจะไม่เก็บเอาไว้แน่”
มธุรสปิดท้ายด้วยเสียงถอนหายใจหนัก แล้วกัดริมฝีปากล่างอย่างไม่รู้ตัวเพราะความเครียด
“เขาบอกแบบนั้นเลยเหรอ”
“ใช่ สรุปว่ากวาดไปพัวพันกับเรื่องอะไรล่ะเนี่ย อมว่ามันดูอันตรายมากนะพี่นนท์ แล้วป่านนี้กวาดจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ ไปแจ้งตำรวจดีหรือเปล่า อมทนไม่ไหวแล้วพี่นนท์”
“อย่าทั้งคู่” ภนนท์รีบพูดอย่างรวดเร็ว มธุรสขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อได้ยินดังนั้น
“ทำไมล่ะ”
คนถูกถามเงียบไปเหมือนหาเสียงไม่เจอ กลอกตาไปมาก่อนอธิบาย
“เมื่อกี๊หม่าม้าเราเพิ่งคุยกับพี่ บอกว่ากวาดโทร.เข้าบ้านอีกแล้ว แล้วคราวนี้หม่าม้าก็จดเบอร์ไว้ด้วย แต่พอโทร.กลับก็ไม่มีคนรับสาย”
“กวาดว่าไงบ้าง กวาดยังปลอดภัยดีใช่ไหม”
“ปลอดภัย ดังนั้นอมไม่ต้องเป็นห่วง อีกอย่างเรื่องคุณวิญญู พี่ว่าเขาไม่น่าจะสั่งเก็บกวาดจริงๆหรอก”
“ทำไมคิดว่าอย่างนั้น” มธุรสถามทันควัน
“พี่...” ชายหนุ่มกลับอ้ำอึ้ง หลุบตาต่ำจนคนถามเริ่มจับพิรุธได้
“พี่นนท์จะรู้อะไรมาแล้วไม่อยากบอกอม หรือว่าจริงๆแล้วพี่นนท์รู้จักคุณวิญญู”
คราวนี้ภนนท์ส่ายหน้าดิก รีบปฏิเสธ
“ไม่ พี่รู้จักแค่ชื่อเขาจริงๆ เอางี้ละกันอม พี่ขอตัดสินใจแทนลูกอมเลย อมสวมรอยเป็นกวาดต่อไป ไม่ต้องไปยุ่งกับคุณวิญญู เพราะดูแล้วถ้ายิ่งไปยุ่งกับเขา ก็ยิ่งอันตรายสำหรับตัวอมเอง ทำเนียนไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อยๆ แล้วพี่จะพาตัวกวาดกลับมาให้เร็วที่สุดโดยไม่ต้องแจ้งตำรวจ ทำแบบที่พี่บอกดีกว่า แล้วนี่อมกินข้าวเย็นหรือยัง เราออกไปกินกันตอนนี้แล้วกลับบ้านกันเอาไหม”
คำถามเปลี่ยนประเด็นที่ภนนท์พูดขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยในตอนท้ายเป็นสาเหตุให้มธุรสขมวดคิ้ว เธอหรี่ตาเล็กลงแล้วปราดมองภนนท์ที่กำลังลุกจากเก้าอี้ เขาสบตาเธอแล้วรีบหลบอีกครั้ง ก่อนจะตรงมาจับไหล่ทั้งสองข้างจากด้านหลัง ดันตัวเธอให้เดินไปข้างหน้า
“พี่นนท์...พี่นนท์รู้ใช่ไหม ว่าถ้าอมมีเรื่องอะไร อมจะเล่าให้พี่นนท์ฟังเสมอ”
มธุรสกล่าวแผ่วเบาทั้งที่ยังไม่หันหลังไป
“รู้สิ”
“และอมก็หวังว่าพี่นนท์จะเป็นเหมือนอม...แบบที่พี่นนท์เคยเป็นมาตลอด”
ไม่มีคำตอบรับใดจากคนที่เดินอยู่ข้างหลัง มีเพียงแรงบีบที่ไหล่ราวกับแทนคำมั่นรับสัญญา แล้วหลังจากนั้น ภนนท์ก็ไม่ได้เอ่ยชื่อกัญชรสหรือวิญญูให้มธุรสได้ยินจนกระทั่งกลับถึงบ้าน