วันนี้เท่าที่ผมนั่งฟังการอภิปราย ได้ฟังการตอบคำถามคุณชัชชาติ ก็เลยต้องมองภาพของพรบ.ฉบับนี้ใหม่
จากที่เดิมเข้าใจว่า พรบ.นี้ เป็นกฎหมายที่มีสองส่วน คือนอกจากเป็นการให้กระทรวงการคลังมีสิทธิในการกู้เงินสองล้านล้านแล้ว ยังระบุให้ว่าการกู้เงินนั้น จะเป็นการกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการที่มีการกำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นที่ผ่านมา ก็เลยมองไปยังจุดที่ว่า ทำไมต้องทำโครงการนั้น ๆ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีแผนงานอะไรชัดเจน บางโครงการยังศึกษาไม่เสร็จ ก็รีบหาเงินมาสร้างแล้ว ทำไมต้องรีบทำแบบนั้น
แต่พอฟังคุณชัชชาติพูดเรื่อง การวางแผนไว้ล่วงหน้า 7 ปี ว่าประเทศไทยควรจะมีการพัฒนาโครงสร้างทางคมนาคมอะไรบ้าง แต่ละโครงการที่จะทำนั้น จะใช้เงินประมาณเท่าไหร่ วางเป็นกรอบไว้ก่อน แล้วเมื่อศึกษาเสร็จเรียบร้อย ค่อยทำโครงการเบิกเงินจากที่รัฐบาลเตรียมเอาไว้ไปสร้าง
ซึ่งเมื่อมองภาพเป็นรูปนี้ขึ้นมา ก็เกิดคำถามขึ้นว่า แล้วแบบนี้ ทำไมถึงทำตามที่หลายคนแนะนำไว้ไม่ได้ คือหมายความว่า โอเค เมื่อกฎหมายฉบับนี้ผ่านสภาไป ก็หมายความว่า รัฐบาลมีสิทธิกู้เงินได้ตามกฎหมายฉบับนี้แล้ว แต่จะกู้เท่าไหร่ เมื่อไหร่ ค่อยว่ากันไปทีละโครงการ
โดยแต่ละโครงการนั้น จะนำเสนอตามขั้นตอน ไปจบที่ ครม.อนุมัติ ถึงจะเริ่มต้นทำได้
แล้วทำไมเมื่อสรุปว่าจะสร้างอะไรเท่าไหร่ ใช้เงินเป็นงวดแบบใด ก็ไม่ทำเป็นพรบ.งบประมาณ นำเข้าสภาอนุมัติเป็นโครงการ ๆ ไป
มันไม่น่าจะเสียเวลาเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ พอกฎหมายผ่านก็กู้เงินมา ส่งเข้าเป็นเงินแผ่นดิน เสร็จแล้วการทำโครงการใด ทำถึงงวดเบิกเงิน ก็เบิกจ่ายตามกฎหมายไป
ทำแบบนี้มันไม่ดียังไง
ผมลองลำดับเหตุการณ์การทำเรื่องเงินกู้นี้ได้แบบนี้
กู้เงิน ----> ทำโครงการ -------> เบิกจ่ายเงิน
ก็เลยมองภาพว่า ลำดับแบบนี้ มันแปลกประหลาดหรือป่าว
เพราะปกติแล้ว เราอยากได้อะไร ก็ต้องมีการวาดภาพให้ชัดเจนก่อน ว่าจะทำอะไรบ้าง แล้วค่อยกู้เงิน หลังจากนั้น อาจจะไปเขียนโครงการโดยละเอียด แล้วเริ่มทำ น่าจะถูกต้องกว่า
ไม่ใช่ว่า เริ่มต้นจากการกู้เงิน แล้วค่อยมาทำโครงการ ดูแล้วมันแปลก ๆ ไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่
ยกตัวอย่างเช่น เราอยากได้บ้านใหม่ เราก็ต้องรู้ก่อนว่า เราอยากได้บ้านแบบไหน อย่างไร มีค่าก่อสร้างประมาณเท่าไหร่ ซึ่งจะรู้ได้ ก็ต้องมีแบบเรียบร้อยก่อน จึงจะประเมินราคาได้ หลังจากนั้นค่อยไปกู้เงิน แล้วนำมาก่อสร้าง
แต่ตอนนี้ที่รัฐบาลทำ เหมือนกับว่า อยากได้บ้านใหม่ แต่ยังไม่เขียนแบบ แต่นั่งมโนภาพว่า ค่าบ้านใหม่ราคา 2 ล้านล้านบาท ก็พยายามหาทางกู้เงินให้ได้ก่อน โดยไม่ยอมไปคิดให้ดีว่า ที่ต้องการสร้างจริง ๆ นั้นกี่บาท ใช้วิธีเดา เอาตัวเลข 2 ล้านล้านออกมา เพื่อพยายามกู้ให้ได้ก่อน แล้วบอกว่า หลังจากนี้ค่อยเขียนแบบ แล้วถึงจะกู้จริง
แล้วมีจุดที่ขอตั้งข้อสังเกต ฝากไปถามคุณชัชชาติว่า การที่บอกว่า เป็นกรอบวงเงินเท่านั้น มีการวางแผนอนาคตเอาไว้ แล้วทำไมวางแผนอนาคตแบบนี้
อย่างรถไฟความเร็วสูง ถ้าบอกว่าเป็นการวางแผนอนาคต ผมว่า ทุกคนก็รู้ตรงกันว่า เส้นทางสายอีสาน จะสร้างถึงหนองคาย สายใต้จะสร้างถึงปาดังเบซาร์ โดยเฉพาะสายอีสาน ถ้าจำกันได้ นายกฯ ก็พูดอยู่ว่า จะสร้างถึงหนองคาย
แล้วทำไม พรบ.นี้ ถึงไม่มองอนาคตไปถึงจุดที่สร้างรถไฟความเร็วสูง ถึงหนองคายไปเลย การมองอนาคตเพื่อสร้างถึงแค่โคราชนั้น หมายความว่า จะสร้างเท่านั้นจริง หรือว่า เพราะประเมินว่าในเงิน 2 ล้านล้านบาท จะสร้างได้ถึงแค่นั้น หรือมองว่า ในเวลา 7 ปี จะสร้างได้แค่นั้น
ถ้าติดขัดเรื่องวงเงิน ก็ทำไมไม่เปิดวงเงินมากกว่านี้ แล้วถ้าติดขัดเรื่องระยะเวลา ทำไมไม่มองอนาคต 8 ปี หรือ 9 ปีไป
แต่คงตอบอะไรไม่ได้ เพราะตัวเลขมันประมาณเอาทั้งนั้น
ดังนั้น การมองอนาคต แบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้ จะเรียกว่า เป็นการวางแผนไม่ได้แน่ ๆ เพราะเล่นเดาตัวเลขอย่างเดียว
แต่ก็ไม่รู้ว่าเดาตัวเลขแบบไหน ถึงกำหนดค่าที่ปรึกษาถึง 4 หมื่นล้านเกิดมาได้
พรบ.สองล้านล้าน เป็นแค่กรอบวงเงินเท่านั้น
จากที่เดิมเข้าใจว่า พรบ.นี้ เป็นกฎหมายที่มีสองส่วน คือนอกจากเป็นการให้กระทรวงการคลังมีสิทธิในการกู้เงินสองล้านล้านแล้ว ยังระบุให้ว่าการกู้เงินนั้น จะเป็นการกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการที่มีการกำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นที่ผ่านมา ก็เลยมองไปยังจุดที่ว่า ทำไมต้องทำโครงการนั้น ๆ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีแผนงานอะไรชัดเจน บางโครงการยังศึกษาไม่เสร็จ ก็รีบหาเงินมาสร้างแล้ว ทำไมต้องรีบทำแบบนั้น
แต่พอฟังคุณชัชชาติพูดเรื่อง การวางแผนไว้ล่วงหน้า 7 ปี ว่าประเทศไทยควรจะมีการพัฒนาโครงสร้างทางคมนาคมอะไรบ้าง แต่ละโครงการที่จะทำนั้น จะใช้เงินประมาณเท่าไหร่ วางเป็นกรอบไว้ก่อน แล้วเมื่อศึกษาเสร็จเรียบร้อย ค่อยทำโครงการเบิกเงินจากที่รัฐบาลเตรียมเอาไว้ไปสร้าง
ซึ่งเมื่อมองภาพเป็นรูปนี้ขึ้นมา ก็เกิดคำถามขึ้นว่า แล้วแบบนี้ ทำไมถึงทำตามที่หลายคนแนะนำไว้ไม่ได้ คือหมายความว่า โอเค เมื่อกฎหมายฉบับนี้ผ่านสภาไป ก็หมายความว่า รัฐบาลมีสิทธิกู้เงินได้ตามกฎหมายฉบับนี้แล้ว แต่จะกู้เท่าไหร่ เมื่อไหร่ ค่อยว่ากันไปทีละโครงการ
โดยแต่ละโครงการนั้น จะนำเสนอตามขั้นตอน ไปจบที่ ครม.อนุมัติ ถึงจะเริ่มต้นทำได้
แล้วทำไมเมื่อสรุปว่าจะสร้างอะไรเท่าไหร่ ใช้เงินเป็นงวดแบบใด ก็ไม่ทำเป็นพรบ.งบประมาณ นำเข้าสภาอนุมัติเป็นโครงการ ๆ ไป
มันไม่น่าจะเสียเวลาเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ พอกฎหมายผ่านก็กู้เงินมา ส่งเข้าเป็นเงินแผ่นดิน เสร็จแล้วการทำโครงการใด ทำถึงงวดเบิกเงิน ก็เบิกจ่ายตามกฎหมายไป
ทำแบบนี้มันไม่ดียังไง
ผมลองลำดับเหตุการณ์การทำเรื่องเงินกู้นี้ได้แบบนี้
กู้เงิน ----> ทำโครงการ -------> เบิกจ่ายเงิน
ก็เลยมองภาพว่า ลำดับแบบนี้ มันแปลกประหลาดหรือป่าว
เพราะปกติแล้ว เราอยากได้อะไร ก็ต้องมีการวาดภาพให้ชัดเจนก่อน ว่าจะทำอะไรบ้าง แล้วค่อยกู้เงิน หลังจากนั้น อาจจะไปเขียนโครงการโดยละเอียด แล้วเริ่มทำ น่าจะถูกต้องกว่า
ไม่ใช่ว่า เริ่มต้นจากการกู้เงิน แล้วค่อยมาทำโครงการ ดูแล้วมันแปลก ๆ ไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่
ยกตัวอย่างเช่น เราอยากได้บ้านใหม่ เราก็ต้องรู้ก่อนว่า เราอยากได้บ้านแบบไหน อย่างไร มีค่าก่อสร้างประมาณเท่าไหร่ ซึ่งจะรู้ได้ ก็ต้องมีแบบเรียบร้อยก่อน จึงจะประเมินราคาได้ หลังจากนั้นค่อยไปกู้เงิน แล้วนำมาก่อสร้าง
แต่ตอนนี้ที่รัฐบาลทำ เหมือนกับว่า อยากได้บ้านใหม่ แต่ยังไม่เขียนแบบ แต่นั่งมโนภาพว่า ค่าบ้านใหม่ราคา 2 ล้านล้านบาท ก็พยายามหาทางกู้เงินให้ได้ก่อน โดยไม่ยอมไปคิดให้ดีว่า ที่ต้องการสร้างจริง ๆ นั้นกี่บาท ใช้วิธีเดา เอาตัวเลข 2 ล้านล้านออกมา เพื่อพยายามกู้ให้ได้ก่อน แล้วบอกว่า หลังจากนี้ค่อยเขียนแบบ แล้วถึงจะกู้จริง
แล้วมีจุดที่ขอตั้งข้อสังเกต ฝากไปถามคุณชัชชาติว่า การที่บอกว่า เป็นกรอบวงเงินเท่านั้น มีการวางแผนอนาคตเอาไว้ แล้วทำไมวางแผนอนาคตแบบนี้
อย่างรถไฟความเร็วสูง ถ้าบอกว่าเป็นการวางแผนอนาคต ผมว่า ทุกคนก็รู้ตรงกันว่า เส้นทางสายอีสาน จะสร้างถึงหนองคาย สายใต้จะสร้างถึงปาดังเบซาร์ โดยเฉพาะสายอีสาน ถ้าจำกันได้ นายกฯ ก็พูดอยู่ว่า จะสร้างถึงหนองคาย
แล้วทำไม พรบ.นี้ ถึงไม่มองอนาคตไปถึงจุดที่สร้างรถไฟความเร็วสูง ถึงหนองคายไปเลย การมองอนาคตเพื่อสร้างถึงแค่โคราชนั้น หมายความว่า จะสร้างเท่านั้นจริง หรือว่า เพราะประเมินว่าในเงิน 2 ล้านล้านบาท จะสร้างได้ถึงแค่นั้น หรือมองว่า ในเวลา 7 ปี จะสร้างได้แค่นั้น
ถ้าติดขัดเรื่องวงเงิน ก็ทำไมไม่เปิดวงเงินมากกว่านี้ แล้วถ้าติดขัดเรื่องระยะเวลา ทำไมไม่มองอนาคต 8 ปี หรือ 9 ปีไป
แต่คงตอบอะไรไม่ได้ เพราะตัวเลขมันประมาณเอาทั้งนั้น
ดังนั้น การมองอนาคต แบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้ จะเรียกว่า เป็นการวางแผนไม่ได้แน่ ๆ เพราะเล่นเดาตัวเลขอย่างเดียว
แต่ก็ไม่รู้ว่าเดาตัวเลขแบบไหน ถึงกำหนดค่าที่ปรึกษาถึง 4 หมื่นล้านเกิดมาได้