สตาร์วอร์ส
สี่สิบห้านาทีกับความอดทน ในเวลาก่อนเที่ยงคืนเพียงสิบสองนาทีจึงตัดสินใจเปิดประตูห้องออกไป เสียงเคาะประตูดังอยู่สองครั้ง ไม่มีเสียงตอบรับจากภายใน และครั้งที่สามดังรัวถี่ขึ้น คราวนี้ประตูไม้สักสลักลายจึงเปิดออกมา ร่างที่ปรากฎไม่ใช่เจ้าของรองเท้าที่ถอดวางหน้าห้อง อย่างน้อยจากสัดส่วนความสูงและสรีระแล้วเขาไม่น่าจะใส่รองเท้าส้นสูงขนาดหกนิ้วครึ่งได้พอดี...
“ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คือ ฉันอยู่ห้องข้างๆ พอดีประตูที่มันกั้นระหว่างเรามันเป็นประตูไม้”
“เสียงดังไปใช่ไหมครับ”
“ขอโทษด้วยนะคะ”
“ผมจะเบาลง ขอโทษด้วยนะครับ” แล้วเขาก็ปิดประตู... เสียงเบาลง แต่ในความเงียบ เครื่องเสียงคุณภาพดีทำหน้าที่ของมันได้สมราคา
สองห้องติดกันเป็นห้องชุดคอนโดมิเนียมชานเมืองที่เจ้าของทุบให้เชื่อมถึงกันเพื่ออยู่อาศัย และเมื่อเวลาหนึ่งที่ย้ายตัวเองออกไปก็ดัดแปลงเป็นห้องเช่า ประตูไม้สักที่เชื่อมถึงกันจึงถูกปิดตายด้วยกุญแจและลงกลอนแน่นหนาทั้งสองด้าน
คราวแรกที่ตัดสินใจเลือกห้องนี้ เพราะบรรยากาศภายนอกที่เงียบ สงบและร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ ทัศนียภาพรอบด้านไม่บั่นทอนสุขภาพเท่ากับในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยตึกรามสูงท่วมเมฆ แต่สิ่งที่พลาดไปถนัดคือไม่ได้ศึกษาสภาพแวดล้อมรอบๆ ให้ชัด นั่นเพราะมลพิษทางเสียงนั้นทำให้ความรื่นรมย์ต่างๆ ถูกกัดกร่อนลงไปไม่น้อย...
ฝนตก... ไม่บ่อยครั้งนักที่ฝนจะตกในฤดูกาลนี้ พายุฤดูร้อนที่พัดผ่านทำให้อากาศเย็นชื้น ค่อนดึกจึงเป็นเวลาที่เหมาะนักสำหรับการเขียนงานสักชิ้น
“ทำไมเรื่องสั้นของพี่ พระเอกถึงไม่รักนางเอกเลยสักเรื่องเลยล่ะคะ”
“พี่เขียนเรื่องยาวได้สนุก ตลก อ่านแล้วยิ้ม อารมณ์ดี แต่เรื่องสั้นของพี่เศร้าทุกเรื่องเลย”
นักอ่านวัยรุ่นแสดงความคิดเห็นกับผลงาน... เธอทำได้เพียงยิ้มและเจ็บปวดลึกซึ้ง เนื่องเพราะเรื่องราวในชีวิตจริงเป็นเช่นนั้นเอง
เสียงจากห้องข้างๆ เบาลง แต่ความเงียบในใจยังไม่ดังขึ้นเลยสักนิด ระเบียงด้านนอกที่ลมดึกพัดโชย กับกาแฟสักถ้วยในบรรยากาศแบบนี้คงพอทำให้เย็นใจขึ้นมาได้บ้าง
“นอนไม่หลับเหรอครับ” ชายหนุ่มห้องข้างๆ ยืนอยู่ที่ระเบียงของเขา ในมือมีกระป๋องเครื่องดื่มที่มองไม่เห็นชัดนักในความสลัวรางของกลางคืน
“คือ งานของฉันต้องใช้สมาธิพอสมควรน่ะค่ะ” เธอจิบกาแฟบ้าง
“วันหลังผมจะเบาๆ ก็แล้วกัน ต้องขอโทษด้วยครับ คุณเพิ่งจะย้ายเข้ามาเหรอครับ”
“สองวันค่ะ”
“แล้วผมก็ต้อนรับเพื่อนบ้านคนใหม่ด้วยเสียงกระหึ่มจากหนังเรื่องสตาร์วอร์ส”
“คุณชอบดูหนังเหรอคะ”
“เป็นชีวิตจิตใจ แล้วคุณล่ะ”
“อ่านหนังสือกับฟังเพลง ส่วนใหญ่จะอ่านหนังสือ”
“มิน่า ถึงต้องเงียบๆ เป็นผมคงอยู่เงียบๆ ไม่ได้ ผมไม่ชอบความเงียบ มันทำให้ฟุ้งซ่าน”
“ความเงียบทำให้ฉันได้ยินเสียงอื่นๆ ชัดเจนขึ้น”
“เราคงอยู่ด้วยกันลำบากหน่อยล่ะนะ”
“อาจต้องปรับตัว คุณเบาเสียงลงและฉันก็ปรับตัวชินกับระดับเสียง ที่จริงคุณอาจจะไม่ได้เปิดเสียงดังนัก แต่บังเอิญว่าประตูห้องระหว่างเรามันเป็นไม้เท่านั้นเอง”
“เจ้าของเขาก็ไม่คิดจะก่อปูนปิดตายด้วยสิ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะฉันไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต”
“ผมก็เหมือนกัน” แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะ...
มิตรภาพของเราไม่ได้สวยงามเหมือนนิยายรักทั่วไปที่อาจคาดเดาได้ตั้งแต่ตอนนี้... อาจเพราะเจ้าของรองเท้าส้นสูงขนาดหกนิ้วครึ่งหน้าห้องเขาคือใครอีกคนที่เธอไม่เคยเจอ
และอาจเพราะความคุ้นชิน ในวันเวลาที่ผ่านไป “เสียง” จากห้องข้างๆ ที่ลอดผ่านประตูไม้สักมาไม่ได้น่ารำคาญจนต้องไปเคาะประตูบอกกล่าวเหมือนคราวแรก แต่มันกลับพอเหมาะพอดี ซึ่ง “เสียง” จากห้องข้างๆ บอกว่าเขากลับมาจากข้างนอกและเมื่อไม่มีเสียงแปลได้ว่าเขาไม่อยู่ มิตรภาพของเราเดินทางเชื่องช้า ที่จริงมันไม่ได้คืบหน้าจากวันแรกเลยด้วยซ้ำ
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตก่อนเธอจะย้ายมาอยู่ที่นี่ค่อนข้างรุนแรง ความผิดหวังเรื่องงาน ความเจ็บปวดจากการป่วยไข้ และความไม่เข้าใจระหว่างมิตรภาพ ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมๆ กันจนทำให้ชีวิตเซถลาไปวาระหนึ่ง และไม่ผิดนักหากจะพูดว่าการย้ายมาอยู่ที่นี่เป็นการหนีจากความรู้สึกต่างๆ เหล่านั้น ถึงแม้มันจะช่วยไม่ได้ทั้งหมด แต่การพบเจอกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ก็ทำให้ชีวิตบางส่วนถูกซ่อมแซมไปบ้างเช่นกัน
“นี่ มากินข้าวด้วยกันสิ วันนี้ผมทำสุกี้ แต่กินคนเดียวมันไม่ค่อยอร่อยแฮะ”
“คุณทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอ”
“ไม่เห็นจะยาก เดินเข้าซุปเปอร์สิ เค้ามีเป็นแพ็คๆ สำเร็จรูปขาย แค่เอามาต้มๆ ผัดๆ ก็ได้กินแล้ว อ่อ จะให้ง่ายกว่านั้นก็จับยัดเข้าไมโครเวฟ รอสักสองสามนาทีก็ได้กินแล้ว อ๊ะ แต่มื้อนี้ผมไม่ได้ซื้อแบบกล่องโฟมนะ ผมไปเดินตลาดนัดมา ได้ผักสดมาเพียบ แล้วก็แวะเซเว่นซื้อน้ำจิ้มสุกี้เท่านั้นเอง”
“อ่า... ไม่เหมาะมั้งคะ”
“เอาน่า ถือว่าผมเลี้ยงต้อนรับเพื่อนบ้าน เอ้อ หรือคุณจะดูสตาร์วอร์ส” แน่ะ...มีมุข
“ให้ฉันช่วยอะไรไหม”
“ไม่เป็นไรทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่คนกินน่ะที่ยังไม่มี จะปีนข้ามระเบียงหรือเข้าหน้าบ้านดีล่ะ”
“นี่ชั้นสิบสี่ ตกลงไปก็คงเป็นศพอย่างเดียวแหละ”
“นั่นสิ ไม่รู้สึกเจ็บด้วยเพราะหัวใจวายก่อนที่จะลงถึงพื้น” แล้วเธอก็ย้ายตัวเองไปที่ห้องข้างๆ เจ้าของห้องตั้งโต๊ะญี่ปุ่นตรงกลางห้องและเปิดโฮมเธียเตอร์จอใหญ่ด้วยเสียงดังกระหึ่ม... สตาร์วอร์ส
“ท่าทางคุณจะชอบมากเลยนะหนังเรื่องนี้”
“ครับ ชอบ ผมไม่คิดจะดูหนังเรื่องอื่นเลยนอกจากเรื่องนี้ ผมชอบดาร์ธเวเดอร์ ว่าแต่คุณทำงานอะไรเหรอครับ ทำงานแถวนี้หรือเปล่า”
“ฉันเป็นนักเขียน”
“โอ้ มิน่าคุณถึงทนเสียงกระหึ่มในหนังของผมไม่ได้ อืมม์ แล้วงานเขียนของคุณเป็นแบบไหน”
“นิยายแล้วก็เรื่องสั้น นิยายวัยรุ่น น่ารัก อารมณ์ดี ไม่มีตัวอิจฉา และแฮปปี้เอ็นดิ้ง ตรงข้ามกับเรื่องสั้นที่ตัวละครมักจะผิดหวัง เรื่องราวจบลงด้วยความเศร้าเสมอ”
“ทำไมอย่างนั้นล่ะ”
“ความผิดหวังจะได้เกิดขึ้นและอยู่ในความทรงจำเพียงสั้นๆ ไงคะ”
“ผมเป็นเซลล์ขายรถยนต์สัญชาติเยอรมันราคาเป็นล้านที่ผมไม่มีปัญญาเป็นเจ้าของ”
“ต้องกล่อมยังไงให้ลูกค้ายอมซื้อของราคาแพง”
“ถ้าลูกค้าต้องการอยู่แล้วก็ไม่ต้องกล่อมหรอกครับเพราะตัวสินค้ามันนำเสนอตัวเองได้”
“ต้องเจอคนเยอะแยะเลยนะคะ”
“ตรงข้ามกับคุณเลยใช่ไหม”
“งานฉันเป็นเพื่อนกับความเงียบค่ะ” หลังอาหาร เธอช่วยเขาเก็บล้าง ทำความสะอาด และนั่งดู... สตาร์วอร์ส เป็นเพื่อน
ในเวลาก่อนเที่ยงคืนสิบสองนาที เสียงเคาะประตูดังอยู่สองครั้ง เธอได้ยิน แต่เขาไม่...และครั้งที่สามดังรัวถี่ขึ้น เขามองหน้าเธอและลุกขึ้นไปเปิดประตู สักพักจึงเดินกลับเข้ามาและเบาเสียงลง
“ห้องข้างๆ มาบอกว่าเสียงดัง”
“เสียงคงดังลอดประตูไป เพราะเป็นประตูไม้ ดึกแล้วด้วย ถ้าอย่างนั้นฉันกลับล่ะนะ ขอบคุณสำหรับอาหารและความบันเทิงของค่ำคืนนี้”
“วันหลังมากินข้าวด้วยกันอีกนะ”
“ขอบคุณค่ะ เอ่อ ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”
“ครับผม”
“คุณเป็นเจ้าของรองเท้าส้นสูงเบอร์หกครึ่งหน้าห้อง...” เธอชี้ไปยังรองเท้าคู่นั้นแบบยิ้มๆ
“ฮ่ะๆ ครับผม ของผมเอง แต่ผมไม่ได้ใส่มันหรอกนะ เพราะผมใส่เบอร์เก้า” เขาทิ้งคำตอบไว้เท่านั้น แต่ความสงสัยยังไม่คลายลงเลยสักนิด
เรื่องสั้น : สตาร์วอร์ส
สี่สิบห้านาทีกับความอดทน ในเวลาก่อนเที่ยงคืนเพียงสิบสองนาทีจึงตัดสินใจเปิดประตูห้องออกไป เสียงเคาะประตูดังอยู่สองครั้ง ไม่มีเสียงตอบรับจากภายใน และครั้งที่สามดังรัวถี่ขึ้น คราวนี้ประตูไม้สักสลักลายจึงเปิดออกมา ร่างที่ปรากฎไม่ใช่เจ้าของรองเท้าที่ถอดวางหน้าห้อง อย่างน้อยจากสัดส่วนความสูงและสรีระแล้วเขาไม่น่าจะใส่รองเท้าส้นสูงขนาดหกนิ้วครึ่งได้พอดี...
“ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คือ ฉันอยู่ห้องข้างๆ พอดีประตูที่มันกั้นระหว่างเรามันเป็นประตูไม้”
“เสียงดังไปใช่ไหมครับ”
“ขอโทษด้วยนะคะ”
“ผมจะเบาลง ขอโทษด้วยนะครับ” แล้วเขาก็ปิดประตู... เสียงเบาลง แต่ในความเงียบ เครื่องเสียงคุณภาพดีทำหน้าที่ของมันได้สมราคา
สองห้องติดกันเป็นห้องชุดคอนโดมิเนียมชานเมืองที่เจ้าของทุบให้เชื่อมถึงกันเพื่ออยู่อาศัย และเมื่อเวลาหนึ่งที่ย้ายตัวเองออกไปก็ดัดแปลงเป็นห้องเช่า ประตูไม้สักที่เชื่อมถึงกันจึงถูกปิดตายด้วยกุญแจและลงกลอนแน่นหนาทั้งสองด้าน
คราวแรกที่ตัดสินใจเลือกห้องนี้ เพราะบรรยากาศภายนอกที่เงียบ สงบและร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ ทัศนียภาพรอบด้านไม่บั่นทอนสุขภาพเท่ากับในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยตึกรามสูงท่วมเมฆ แต่สิ่งที่พลาดไปถนัดคือไม่ได้ศึกษาสภาพแวดล้อมรอบๆ ให้ชัด นั่นเพราะมลพิษทางเสียงนั้นทำให้ความรื่นรมย์ต่างๆ ถูกกัดกร่อนลงไปไม่น้อย...
ฝนตก... ไม่บ่อยครั้งนักที่ฝนจะตกในฤดูกาลนี้ พายุฤดูร้อนที่พัดผ่านทำให้อากาศเย็นชื้น ค่อนดึกจึงเป็นเวลาที่เหมาะนักสำหรับการเขียนงานสักชิ้น
“ทำไมเรื่องสั้นของพี่ พระเอกถึงไม่รักนางเอกเลยสักเรื่องเลยล่ะคะ”
“พี่เขียนเรื่องยาวได้สนุก ตลก อ่านแล้วยิ้ม อารมณ์ดี แต่เรื่องสั้นของพี่เศร้าทุกเรื่องเลย”
นักอ่านวัยรุ่นแสดงความคิดเห็นกับผลงาน... เธอทำได้เพียงยิ้มและเจ็บปวดลึกซึ้ง เนื่องเพราะเรื่องราวในชีวิตจริงเป็นเช่นนั้นเอง
เสียงจากห้องข้างๆ เบาลง แต่ความเงียบในใจยังไม่ดังขึ้นเลยสักนิด ระเบียงด้านนอกที่ลมดึกพัดโชย กับกาแฟสักถ้วยในบรรยากาศแบบนี้คงพอทำให้เย็นใจขึ้นมาได้บ้าง
“นอนไม่หลับเหรอครับ” ชายหนุ่มห้องข้างๆ ยืนอยู่ที่ระเบียงของเขา ในมือมีกระป๋องเครื่องดื่มที่มองไม่เห็นชัดนักในความสลัวรางของกลางคืน
“คือ งานของฉันต้องใช้สมาธิพอสมควรน่ะค่ะ” เธอจิบกาแฟบ้าง
“วันหลังผมจะเบาๆ ก็แล้วกัน ต้องขอโทษด้วยครับ คุณเพิ่งจะย้ายเข้ามาเหรอครับ”
“สองวันค่ะ”
“แล้วผมก็ต้อนรับเพื่อนบ้านคนใหม่ด้วยเสียงกระหึ่มจากหนังเรื่องสตาร์วอร์ส”
“คุณชอบดูหนังเหรอคะ”
“เป็นชีวิตจิตใจ แล้วคุณล่ะ”
“อ่านหนังสือกับฟังเพลง ส่วนใหญ่จะอ่านหนังสือ”
“มิน่า ถึงต้องเงียบๆ เป็นผมคงอยู่เงียบๆ ไม่ได้ ผมไม่ชอบความเงียบ มันทำให้ฟุ้งซ่าน”
“ความเงียบทำให้ฉันได้ยินเสียงอื่นๆ ชัดเจนขึ้น”
“เราคงอยู่ด้วยกันลำบากหน่อยล่ะนะ”
“อาจต้องปรับตัว คุณเบาเสียงลงและฉันก็ปรับตัวชินกับระดับเสียง ที่จริงคุณอาจจะไม่ได้เปิดเสียงดังนัก แต่บังเอิญว่าประตูห้องระหว่างเรามันเป็นไม้เท่านั้นเอง”
“เจ้าของเขาก็ไม่คิดจะก่อปูนปิดตายด้วยสิ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะฉันไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต”
“ผมก็เหมือนกัน” แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะ...
มิตรภาพของเราไม่ได้สวยงามเหมือนนิยายรักทั่วไปที่อาจคาดเดาได้ตั้งแต่ตอนนี้... อาจเพราะเจ้าของรองเท้าส้นสูงขนาดหกนิ้วครึ่งหน้าห้องเขาคือใครอีกคนที่เธอไม่เคยเจอ
และอาจเพราะความคุ้นชิน ในวันเวลาที่ผ่านไป “เสียง” จากห้องข้างๆ ที่ลอดผ่านประตูไม้สักมาไม่ได้น่ารำคาญจนต้องไปเคาะประตูบอกกล่าวเหมือนคราวแรก แต่มันกลับพอเหมาะพอดี ซึ่ง “เสียง” จากห้องข้างๆ บอกว่าเขากลับมาจากข้างนอกและเมื่อไม่มีเสียงแปลได้ว่าเขาไม่อยู่ มิตรภาพของเราเดินทางเชื่องช้า ที่จริงมันไม่ได้คืบหน้าจากวันแรกเลยด้วยซ้ำ
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตก่อนเธอจะย้ายมาอยู่ที่นี่ค่อนข้างรุนแรง ความผิดหวังเรื่องงาน ความเจ็บปวดจากการป่วยไข้ และความไม่เข้าใจระหว่างมิตรภาพ ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมๆ กันจนทำให้ชีวิตเซถลาไปวาระหนึ่ง และไม่ผิดนักหากจะพูดว่าการย้ายมาอยู่ที่นี่เป็นการหนีจากความรู้สึกต่างๆ เหล่านั้น ถึงแม้มันจะช่วยไม่ได้ทั้งหมด แต่การพบเจอกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ก็ทำให้ชีวิตบางส่วนถูกซ่อมแซมไปบ้างเช่นกัน
“นี่ มากินข้าวด้วยกันสิ วันนี้ผมทำสุกี้ แต่กินคนเดียวมันไม่ค่อยอร่อยแฮะ”
“คุณทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอ”
“ไม่เห็นจะยาก เดินเข้าซุปเปอร์สิ เค้ามีเป็นแพ็คๆ สำเร็จรูปขาย แค่เอามาต้มๆ ผัดๆ ก็ได้กินแล้ว อ่อ จะให้ง่ายกว่านั้นก็จับยัดเข้าไมโครเวฟ รอสักสองสามนาทีก็ได้กินแล้ว อ๊ะ แต่มื้อนี้ผมไม่ได้ซื้อแบบกล่องโฟมนะ ผมไปเดินตลาดนัดมา ได้ผักสดมาเพียบ แล้วก็แวะเซเว่นซื้อน้ำจิ้มสุกี้เท่านั้นเอง”
“อ่า... ไม่เหมาะมั้งคะ”
“เอาน่า ถือว่าผมเลี้ยงต้อนรับเพื่อนบ้าน เอ้อ หรือคุณจะดูสตาร์วอร์ส” แน่ะ...มีมุข
“ให้ฉันช่วยอะไรไหม”
“ไม่เป็นไรทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่คนกินน่ะที่ยังไม่มี จะปีนข้ามระเบียงหรือเข้าหน้าบ้านดีล่ะ”
“นี่ชั้นสิบสี่ ตกลงไปก็คงเป็นศพอย่างเดียวแหละ”
“นั่นสิ ไม่รู้สึกเจ็บด้วยเพราะหัวใจวายก่อนที่จะลงถึงพื้น” แล้วเธอก็ย้ายตัวเองไปที่ห้องข้างๆ เจ้าของห้องตั้งโต๊ะญี่ปุ่นตรงกลางห้องและเปิดโฮมเธียเตอร์จอใหญ่ด้วยเสียงดังกระหึ่ม... สตาร์วอร์ส
“ท่าทางคุณจะชอบมากเลยนะหนังเรื่องนี้”
“ครับ ชอบ ผมไม่คิดจะดูหนังเรื่องอื่นเลยนอกจากเรื่องนี้ ผมชอบดาร์ธเวเดอร์ ว่าแต่คุณทำงานอะไรเหรอครับ ทำงานแถวนี้หรือเปล่า”
“ฉันเป็นนักเขียน”
“โอ้ มิน่าคุณถึงทนเสียงกระหึ่มในหนังของผมไม่ได้ อืมม์ แล้วงานเขียนของคุณเป็นแบบไหน”
“นิยายแล้วก็เรื่องสั้น นิยายวัยรุ่น น่ารัก อารมณ์ดี ไม่มีตัวอิจฉา และแฮปปี้เอ็นดิ้ง ตรงข้ามกับเรื่องสั้นที่ตัวละครมักจะผิดหวัง เรื่องราวจบลงด้วยความเศร้าเสมอ”
“ทำไมอย่างนั้นล่ะ”
“ความผิดหวังจะได้เกิดขึ้นและอยู่ในความทรงจำเพียงสั้นๆ ไงคะ”
“ผมเป็นเซลล์ขายรถยนต์สัญชาติเยอรมันราคาเป็นล้านที่ผมไม่มีปัญญาเป็นเจ้าของ”
“ต้องกล่อมยังไงให้ลูกค้ายอมซื้อของราคาแพง”
“ถ้าลูกค้าต้องการอยู่แล้วก็ไม่ต้องกล่อมหรอกครับเพราะตัวสินค้ามันนำเสนอตัวเองได้”
“ต้องเจอคนเยอะแยะเลยนะคะ”
“ตรงข้ามกับคุณเลยใช่ไหม”
“งานฉันเป็นเพื่อนกับความเงียบค่ะ” หลังอาหาร เธอช่วยเขาเก็บล้าง ทำความสะอาด และนั่งดู... สตาร์วอร์ส เป็นเพื่อน
ในเวลาก่อนเที่ยงคืนสิบสองนาที เสียงเคาะประตูดังอยู่สองครั้ง เธอได้ยิน แต่เขาไม่...และครั้งที่สามดังรัวถี่ขึ้น เขามองหน้าเธอและลุกขึ้นไปเปิดประตู สักพักจึงเดินกลับเข้ามาและเบาเสียงลง
“ห้องข้างๆ มาบอกว่าเสียงดัง”
“เสียงคงดังลอดประตูไป เพราะเป็นประตูไม้ ดึกแล้วด้วย ถ้าอย่างนั้นฉันกลับล่ะนะ ขอบคุณสำหรับอาหารและความบันเทิงของค่ำคืนนี้”
“วันหลังมากินข้าวด้วยกันอีกนะ”
“ขอบคุณค่ะ เอ่อ ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”
“ครับผม”
“คุณเป็นเจ้าของรองเท้าส้นสูงเบอร์หกครึ่งหน้าห้อง...” เธอชี้ไปยังรองเท้าคู่นั้นแบบยิ้มๆ
“ฮ่ะๆ ครับผม ของผมเอง แต่ผมไม่ได้ใส่มันหรอกนะ เพราะผมใส่เบอร์เก้า” เขาทิ้งคำตอบไว้เท่านั้น แต่ความสงสัยยังไม่คลายลงเลยสักนิด