สิ่งที่ต้องทำ คือ “ต้องลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจจริงๆ ในราคาที่เหมาะสม”
ช่วงนี้ ตลาดหุ้นไทยอภินิหารเยอะ พอดีป่วย เลยถือโอกาสหยุดงานมาเขียนบทความอีกครั้งหนึ่ง..
วันนี้ก็เลยมาเขียนบทความออกแนวฮาร์ดคอร์นิดหนึ่ง อาจจะมีคนไม่เห็นด้วยหรือไม่พอใจบ้าง แต่ถ้ามันทำให้หลายๆ คนได้สติและไม่หลงไปกับภาพลวงตาของการเก็งกำไรในตลาดได้ มันก็น่าจะดีนะ..
เรื่องของเรื่องก็คือว่า ในช่วงที่ผ่านมานี้ หมีได้รู้จักหรือได้ยินว่า คนรอบตัวหลายคนเข้ามาเป็นนักลงทุนหน้าใหม่กันเป็นจำนวนมาก ซึ่งเข้ามาในตลาดหุ้น พร้อมกับ “ภาพที่สวยงาม” อาจจะเพราะเนื่องมาจากช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเป็นขาขึ้นมาโดยตลอด ทำให้ภาพที่เกิดขึ้นคือ “ซื้อตัวไหนก็ขึ้น” หรือ “ซื้อไปเถอะ เด๋วเจ้ามือก็มาปั่น” ซึ่งหมีเองก็รู้สึกไม่ค่อยดีที่ได้ฟัง แม้ว่าจะไม่ใช่เงินลงทุนของหมีเอง แต่หมีก็เกิดความเป็นห่วง เนื่องจากประเด็นดังต่อไปนี้
ประเด็นที่หนึ่ง นักลงทุน โดยเฉพาะหน้าใหม่ มีความคาดหวังที่จะได้ผลตอบแทนที่รวดเร็ว (บางคนหวังไว้ถึง 200-300% ต่อปี หรือมากกว่า) ทั้งๆที่แต่เดิมนั้น เราสามารถทนรอดอกเบี้ยเงินฝาก ปีละ 2-3% ได้สบาย... เพราะอะไร เราจึงยินดีที่จะฝากเงินได้ดอกเบี้ย 2-3% ในขณะที่พอเข้ามาในตลาด เรากลับต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่านั้นเป็นหลายสิบเท่าตัว โดยทำการลงทุนโดยขาดความระมัดระวัง และไม่สนใจผลตอบแทนที่ค่อนข้างสม่ำเสมอและแน่นอนที่ระกับ 7-15% ต่อปี ซึ่งหมีคิดว่าเป็นทางสายกลางในการลงทุน ในประเด็นนี้ มีการอ้างอิงข้อมูลจริงอยู่เสมอมาว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8-14% ต่อปีตลอดอายุของมัน
ประเด็นที่สอง นักลงทุนหน้าใหม่ มีความมั่นใจในศักยภาพของตนเองสูงเกินไป ว่าจะสามารถชนะตลาดได้.. เพราะอะไรที่เราซึ่งเป็นคนๆหนึ่ง ที่อาจจะเพิ่งรู้จักการลงทุนหรือการเล่นหุ้นเพียงเวลาไม่ถึงปีและอาจจะไม่มีความรู้ด้านการวิเคราะห์งบการเงินเลย อาจหาญจะชนะกองทุน โบรกเกอร์ และผู้เล่นรายใหญ่ซึ่งมีทั้งคอนเนคชั่น กำลังเงินทุน และเทคนิคชั้นสูง (รวมไปถึงอาจรู้ต้นทุนหุ้นในมือเราด้วยซ้ำ) ซึ่งหลายๆ คนที่หมีได้ประสบ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหุ้นที่ตนเองถือ มีความเสี่ยงในการล้มละลายสูงมาก หรือเป็นกิจการที่เจ้าของปั่นราคาขึ้นมาเป็นรอบๆ และพอขาดทุนก็ยังไม่ขายเพราะเชื่อว่ามันจะกลับมาที่เดิม ในประเด็นนี้ มีการอ้างอิงข้อมูลจริงอยู่เสมอมาว่า คนที่จะได้กำไรจากตลาดจะมีเพียง 1 คนที่กำไร อีก 1 คนที่เสมอตัว และอีก 8 คนที่ขาดทุน จากจำนวนสัดส่วนทั้งหมด 10 คน
ทำไมหมีจึงเขียนออกมาค่อนข้างดุดัน.. อันเนื่องมาจากว่าหมีเห็นหลายคน นำเงินเก็บเกือบทั้งชีวิต หรือส่วนใหญ่ ออกมาลงทุนหุ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก และถ้าเค้าได้อ่านบทความนี้ เค้าอาจจะมีความระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งพออ่านมาถึงจุดนี้ ก็คงจะมีคำถามในใจว่า สิ่งที่เราควรทำ คืออะไร เพราะบางคน อาจจะไม่ได้เข้ามาด้วยความโลภ แต่กำลังหลงทางไปกับกระแสเก็งกำไรที่ถาโถมเข้ามา..
ในความเห็นของหมี สิ่งที่ควรทำ และสิ่งที่ต้องระมัดระวัง มีดังนี้
ข้อแรก การลงทุน ควรต้องลงทุนในธุรกิจที่ทำกิจการจริงๆ ข้อนี้หมีจงใจเขียนเพื่อเตือนสติ หลายๆคนที่ชอบเล่นหุ้นปั่นแปะ โดยอาศัย “เจ้ามือ” ในการทำกำไร นั่นเพราะว่าในหลายๆ กิจการเหล่านั้น ราคาหุ้นที่วูบวาบ อันเนื่องมาจากแรงกรรม ที่เกิดจาก ”ความโลภ” เข้ามาอยู่รวมกัน บางกิจการขาดทุนต่อเนื่องทุกปี จนต้องเพิ่มทุนบ่อยๆ (เงินที่เพิ่มทุนก็มาจากการปั่นหุ้นนั่นแหละ) พร้อมสร้างข่าวลือ ข่าวว่าได้งาน ข่าวว่ากำไร มีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ ตัวเล็กหน่อยก็อาจจะลือว่าได้งานที่โน่นที่นี่ กำไรจะโตเท่านั้นเท่านี้ ตัวใหญ่หน่อยก้บอกว่าจะตั้งกองทุนอินฟรา อะไรสักอย่าง แล้วก็บอกว่าสัญญาณดีที่สุด (ทำให้คนอาจจะคิดไปว่า สัญญาณแรงสุด อีกหน่อยลูกค้าน่าจะย้ายมาอยู่เยอะ กำไรน่าจะโต น่าจะพลิกจากขาดทุนมโหฬาร เป็นกำไรได้บ้าง โดยที่ไม่ได้คิดถึงหนี้ที่ไปก่อไว้จากการที่ทำให้สัญญาณมันแรง และเมื่อเทียบกับผู้นำตลาด ที่เค้าค่อยๆลงทุนเป็นระบบ และที่สำคัญ มีปันผลสูงทุกปี)
เรื่องของเรื่องก็คือ ทำไมเราจึงต้องเสี่ยงลงทุนกับกิจการที่ขาดทุนสม่ำเสมอ และไปวัดดวงกับลมปากของใครบางคนว่าอนาคตกำไรมันจะดี ซึ่งสิ่งที่เรารับรู้ ก็มาจากสื่อสาธารณะที่ทุกคนรับรู้พร้อมกันเหมือนกันหมด อันที่จริง เค้าบอกว่า “ความได้เปรียบเกิดจากการที่เรารู้อะไรก่อนคนขึ้น หรือรู้อะไรมากกว่าคนอื่น” ถามว่าวันนี้เราเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ซึ่งสิ่งที่จะตามมาก็คือ หากเราหลงเข้าไปในวังวนของกิจการเหล่านี้ คือ เผลอไปซื้อหุ้นเน่าเหล่านี้ แล้วอาจจะไม่สามารถสร้างความยั่งยืนด้านการเงินของเราได้ เหมือนกับเวลาเราเข้าเซเว่น เราอยากกินโยเกิตบัลแกเรีย แต่มันหมด ไม่มีขาย เราเคยบอกไม๊ว่า พี่จ่ายตังให้น้องก่อน แล้วพรุ่งนี้พี่มาเอา.. แน่นอนว่าเราไม่เคยทำ เพราะถ้าไม่มี เราก็ไม่กิน.. แล้วทำไมเราจึงไปเชื่อใครก็ไม่รู้ ที่เรารู้อยู่เต็มอกว่าอาจจะเป็นมิจฉาชีพในตลาดหุ้นที่จะมากินเงินเรา โดยที่เค้าบอกว่าอนาคตมันจะดี และเราเข้าซื้อหุ้นโดยที่ยังไม่เห็นอะไรเลย.. (แรงส์ มะนี่) แน่นอนว่าครั้งนี้เราอาจจะทำสำเร็จได้ผลดี แต่ถ้าพลาดมาครั้งเดียว อาจจะไม่เหลืออะไรเลยก็ได้
ข้อสอง สืบเนื่องจากข้อแรก ดังนั้น ความรู้พื้นฐานที่เราสามารถหาได้เอง วิเคราะห์ได้เอง และทำให้เรายืนด้วยขาของตนเองได้ ก็คือ “การวิเคราะห์สัดส่วนทางการเงิน” ซึ่งไม่มีสูตรซับซ้อน แต่ต้องอาศัยเวลา และความเข้าใจ จะทำให้เราสามารถยืนด้วยขาของตนเองได้ และคัดแยกระหว่างของดีและของเสียออกมาได้ นอกจากนี้ มันจะทำให้เรารู้ว่า ถึงแม้หุ้นที่เราชอบนั้น จะมีกิจการที่ดีและมั่นคง เราจะได้พบกับอีกมุมมองหนึ่ง ที่เราสามารถทำได้ด้วยตนเองก็คือ “มันคุ้มค่าที่จะซื้อหรือไม่” โดยที่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา หมีชอบกดตัวเลขให้เจ้านายดูว่า หุ้น A เติบโตอย่างต่อเนื่อง 4-5 ปี หลายเท่าตัว แต่ราคาขยับขึ้นไปมากกว่าการเติบโต 4-5เท่าของ “หลายเท่าตัว” นั้น ซึ่งหมีชอบเรียกหุ้นพวกนี้ว่า “กำไรแรง แต่ราคาขึ้นไปแรงกว่า”
ข้อสาม ถ้าเรายังไม่มั่นใจในความรู้ด้านการลงทุน เราควรค่อยๆลงทุน ตลาดหุ้นไทยอยู่มาตั้งแต่ปี 2518 และมันไม่เคยปิดมาจนถึงปัจจุบัน และมันจะเป็นเช่นนั้นต่อไป มันยังคงซื้อขายตั้งแต่ก่อนหมีจะเกิด (ถ้าไม่นับชาติที่แล้ว) ยังคงเปิดอยู่ในวันที่หมีมีชีวิต และก็แน่นอนว่าจะเปิดต่อไปหลังจากที่หมีจากไปแล้ว ซึ่งเราไม่ต้องรีบร้อนลงทุน ไม่ต้องทุ่ม.. ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะกำไรมากกว่าเรา หรือพลาดโอกาสทอง.. เพราะในช่วงก่อนวิกฤตราชาเงินทุน (2522) ก่อนวิกฤต รสช. (2534) ก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง( 2540) ก่อนวิกฤตไข้หวัดนก (2547) ก่อนวิกฤตซัพไพร์ม (2551) รวมไปถึงชอตที่ดัชนีเพิ่งขึ้นไปถึง 1650 จุดเมื่อต้นปี 2556 ที่ผ่านมา คนที่ซื้อในช่วงเวลาทั้งหลายเหล่านั้น ก็คิดว่าจะตกรถกันทั้งสิ้น.. แต่จริงๆ แล้ว ปัญหามันก็อาจจะไม่ได้อยู่ที่ว่าซื้อที่ดัชนีเท่าไหร่ ปัญหามันอยู่ที่ว่า เราซื้อ “หุ้นอะไร ในราคาใด” มากกว่า เพราะในห้างที่ดี ขายของราคาแพง ก็ยังมีของที่คุ้มค่าคุ้มราคา ในขณะที่ตลาดสด ก็ยังมีของที่ “เน่า” ที่ไม่ควรซื้ออยู่ดี
ข้อสี่ ข้อสุดท้าย หมีจึงอยากให้เราลองสำรวจใจเราเอง ว่าเราอยากวัดดวง “เวียนว่ายตายเกิด” กับหุ้นที่ผันผวน หรือเราอยากมีชีวิตที่มั่นคง มีพอร์ทหุ้นที่เติบโตทุกปี 15% (เอาเงินมาปันผลให้เรา 5% แล้วที่เหลือนำไปลงทุนต่อ 10%) ทำให้เรากล้านำเงินฝาก หรือเงินจากประกันชีวิต มาลงทุนในหุ้น เพื่อสร้างความสุขที่ยั่งยืนให้ชีวิต เก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกให้หลานได้มีชีวิตที่ดี ไม่ต้องทำงานลำบากเหมือนเรา ให้เค้าได้สามารถ “ทำอะไรก็ได้ในชีวิต” แต่ไม่ต้องมากขนาดที่ว่า “เค้าไม่ต้องทำอะไรเลย”
เอาแค่นี้ละกัน ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัว โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อาจมีจะดราม่าไปนิด แต่เขียนด้วยความปรารถนาดี ผิดพลาดอย่างไรขออภัย..
Credit by facebook fanpage มีความสุขกับหุ้นปันผล by หมีส้ม
link
https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5-by-%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1/241713975906680
สิ่งที่ต้องทำ คือ “ต้องลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจจริงๆ ในราคาที่เหมาะสม”
ช่วงนี้ ตลาดหุ้นไทยอภินิหารเยอะ พอดีป่วย เลยถือโอกาสหยุดงานมาเขียนบทความอีกครั้งหนึ่ง..
วันนี้ก็เลยมาเขียนบทความออกแนวฮาร์ดคอร์นิดหนึ่ง อาจจะมีคนไม่เห็นด้วยหรือไม่พอใจบ้าง แต่ถ้ามันทำให้หลายๆ คนได้สติและไม่หลงไปกับภาพลวงตาของการเก็งกำไรในตลาดได้ มันก็น่าจะดีนะ..
เรื่องของเรื่องก็คือว่า ในช่วงที่ผ่านมานี้ หมีได้รู้จักหรือได้ยินว่า คนรอบตัวหลายคนเข้ามาเป็นนักลงทุนหน้าใหม่กันเป็นจำนวนมาก ซึ่งเข้ามาในตลาดหุ้น พร้อมกับ “ภาพที่สวยงาม” อาจจะเพราะเนื่องมาจากช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเป็นขาขึ้นมาโดยตลอด ทำให้ภาพที่เกิดขึ้นคือ “ซื้อตัวไหนก็ขึ้น” หรือ “ซื้อไปเถอะ เด๋วเจ้ามือก็มาปั่น” ซึ่งหมีเองก็รู้สึกไม่ค่อยดีที่ได้ฟัง แม้ว่าจะไม่ใช่เงินลงทุนของหมีเอง แต่หมีก็เกิดความเป็นห่วง เนื่องจากประเด็นดังต่อไปนี้
ประเด็นที่หนึ่ง นักลงทุน โดยเฉพาะหน้าใหม่ มีความคาดหวังที่จะได้ผลตอบแทนที่รวดเร็ว (บางคนหวังไว้ถึง 200-300% ต่อปี หรือมากกว่า) ทั้งๆที่แต่เดิมนั้น เราสามารถทนรอดอกเบี้ยเงินฝาก ปีละ 2-3% ได้สบาย... เพราะอะไร เราจึงยินดีที่จะฝากเงินได้ดอกเบี้ย 2-3% ในขณะที่พอเข้ามาในตลาด เรากลับต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่านั้นเป็นหลายสิบเท่าตัว โดยทำการลงทุนโดยขาดความระมัดระวัง และไม่สนใจผลตอบแทนที่ค่อนข้างสม่ำเสมอและแน่นอนที่ระกับ 7-15% ต่อปี ซึ่งหมีคิดว่าเป็นทางสายกลางในการลงทุน ในประเด็นนี้ มีการอ้างอิงข้อมูลจริงอยู่เสมอมาว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8-14% ต่อปีตลอดอายุของมัน
ประเด็นที่สอง นักลงทุนหน้าใหม่ มีความมั่นใจในศักยภาพของตนเองสูงเกินไป ว่าจะสามารถชนะตลาดได้.. เพราะอะไรที่เราซึ่งเป็นคนๆหนึ่ง ที่อาจจะเพิ่งรู้จักการลงทุนหรือการเล่นหุ้นเพียงเวลาไม่ถึงปีและอาจจะไม่มีความรู้ด้านการวิเคราะห์งบการเงินเลย อาจหาญจะชนะกองทุน โบรกเกอร์ และผู้เล่นรายใหญ่ซึ่งมีทั้งคอนเนคชั่น กำลังเงินทุน และเทคนิคชั้นสูง (รวมไปถึงอาจรู้ต้นทุนหุ้นในมือเราด้วยซ้ำ) ซึ่งหลายๆ คนที่หมีได้ประสบ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหุ้นที่ตนเองถือ มีความเสี่ยงในการล้มละลายสูงมาก หรือเป็นกิจการที่เจ้าของปั่นราคาขึ้นมาเป็นรอบๆ และพอขาดทุนก็ยังไม่ขายเพราะเชื่อว่ามันจะกลับมาที่เดิม ในประเด็นนี้ มีการอ้างอิงข้อมูลจริงอยู่เสมอมาว่า คนที่จะได้กำไรจากตลาดจะมีเพียง 1 คนที่กำไร อีก 1 คนที่เสมอตัว และอีก 8 คนที่ขาดทุน จากจำนวนสัดส่วนทั้งหมด 10 คน
ทำไมหมีจึงเขียนออกมาค่อนข้างดุดัน.. อันเนื่องมาจากว่าหมีเห็นหลายคน นำเงินเก็บเกือบทั้งชีวิต หรือส่วนใหญ่ ออกมาลงทุนหุ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก และถ้าเค้าได้อ่านบทความนี้ เค้าอาจจะมีความระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งพออ่านมาถึงจุดนี้ ก็คงจะมีคำถามในใจว่า สิ่งที่เราควรทำ คืออะไร เพราะบางคน อาจจะไม่ได้เข้ามาด้วยความโลภ แต่กำลังหลงทางไปกับกระแสเก็งกำไรที่ถาโถมเข้ามา..
ในความเห็นของหมี สิ่งที่ควรทำ และสิ่งที่ต้องระมัดระวัง มีดังนี้
ข้อแรก การลงทุน ควรต้องลงทุนในธุรกิจที่ทำกิจการจริงๆ ข้อนี้หมีจงใจเขียนเพื่อเตือนสติ หลายๆคนที่ชอบเล่นหุ้นปั่นแปะ โดยอาศัย “เจ้ามือ” ในการทำกำไร นั่นเพราะว่าในหลายๆ กิจการเหล่านั้น ราคาหุ้นที่วูบวาบ อันเนื่องมาจากแรงกรรม ที่เกิดจาก ”ความโลภ” เข้ามาอยู่รวมกัน บางกิจการขาดทุนต่อเนื่องทุกปี จนต้องเพิ่มทุนบ่อยๆ (เงินที่เพิ่มทุนก็มาจากการปั่นหุ้นนั่นแหละ) พร้อมสร้างข่าวลือ ข่าวว่าได้งาน ข่าวว่ากำไร มีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ ตัวเล็กหน่อยก็อาจจะลือว่าได้งานที่โน่นที่นี่ กำไรจะโตเท่านั้นเท่านี้ ตัวใหญ่หน่อยก้บอกว่าจะตั้งกองทุนอินฟรา อะไรสักอย่าง แล้วก็บอกว่าสัญญาณดีที่สุด (ทำให้คนอาจจะคิดไปว่า สัญญาณแรงสุด อีกหน่อยลูกค้าน่าจะย้ายมาอยู่เยอะ กำไรน่าจะโต น่าจะพลิกจากขาดทุนมโหฬาร เป็นกำไรได้บ้าง โดยที่ไม่ได้คิดถึงหนี้ที่ไปก่อไว้จากการที่ทำให้สัญญาณมันแรง และเมื่อเทียบกับผู้นำตลาด ที่เค้าค่อยๆลงทุนเป็นระบบ และที่สำคัญ มีปันผลสูงทุกปี)
เรื่องของเรื่องก็คือ ทำไมเราจึงต้องเสี่ยงลงทุนกับกิจการที่ขาดทุนสม่ำเสมอ และไปวัดดวงกับลมปากของใครบางคนว่าอนาคตกำไรมันจะดี ซึ่งสิ่งที่เรารับรู้ ก็มาจากสื่อสาธารณะที่ทุกคนรับรู้พร้อมกันเหมือนกันหมด อันที่จริง เค้าบอกว่า “ความได้เปรียบเกิดจากการที่เรารู้อะไรก่อนคนขึ้น หรือรู้อะไรมากกว่าคนอื่น” ถามว่าวันนี้เราเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ซึ่งสิ่งที่จะตามมาก็คือ หากเราหลงเข้าไปในวังวนของกิจการเหล่านี้ คือ เผลอไปซื้อหุ้นเน่าเหล่านี้ แล้วอาจจะไม่สามารถสร้างความยั่งยืนด้านการเงินของเราได้ เหมือนกับเวลาเราเข้าเซเว่น เราอยากกินโยเกิตบัลแกเรีย แต่มันหมด ไม่มีขาย เราเคยบอกไม๊ว่า พี่จ่ายตังให้น้องก่อน แล้วพรุ่งนี้พี่มาเอา.. แน่นอนว่าเราไม่เคยทำ เพราะถ้าไม่มี เราก็ไม่กิน.. แล้วทำไมเราจึงไปเชื่อใครก็ไม่รู้ ที่เรารู้อยู่เต็มอกว่าอาจจะเป็นมิจฉาชีพในตลาดหุ้นที่จะมากินเงินเรา โดยที่เค้าบอกว่าอนาคตมันจะดี และเราเข้าซื้อหุ้นโดยที่ยังไม่เห็นอะไรเลย.. (แรงส์ มะนี่) แน่นอนว่าครั้งนี้เราอาจจะทำสำเร็จได้ผลดี แต่ถ้าพลาดมาครั้งเดียว อาจจะไม่เหลืออะไรเลยก็ได้
ข้อสอง สืบเนื่องจากข้อแรก ดังนั้น ความรู้พื้นฐานที่เราสามารถหาได้เอง วิเคราะห์ได้เอง และทำให้เรายืนด้วยขาของตนเองได้ ก็คือ “การวิเคราะห์สัดส่วนทางการเงิน” ซึ่งไม่มีสูตรซับซ้อน แต่ต้องอาศัยเวลา และความเข้าใจ จะทำให้เราสามารถยืนด้วยขาของตนเองได้ และคัดแยกระหว่างของดีและของเสียออกมาได้ นอกจากนี้ มันจะทำให้เรารู้ว่า ถึงแม้หุ้นที่เราชอบนั้น จะมีกิจการที่ดีและมั่นคง เราจะได้พบกับอีกมุมมองหนึ่ง ที่เราสามารถทำได้ด้วยตนเองก็คือ “มันคุ้มค่าที่จะซื้อหรือไม่” โดยที่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา หมีชอบกดตัวเลขให้เจ้านายดูว่า หุ้น A เติบโตอย่างต่อเนื่อง 4-5 ปี หลายเท่าตัว แต่ราคาขยับขึ้นไปมากกว่าการเติบโต 4-5เท่าของ “หลายเท่าตัว” นั้น ซึ่งหมีชอบเรียกหุ้นพวกนี้ว่า “กำไรแรง แต่ราคาขึ้นไปแรงกว่า”
ข้อสาม ถ้าเรายังไม่มั่นใจในความรู้ด้านการลงทุน เราควรค่อยๆลงทุน ตลาดหุ้นไทยอยู่มาตั้งแต่ปี 2518 และมันไม่เคยปิดมาจนถึงปัจจุบัน และมันจะเป็นเช่นนั้นต่อไป มันยังคงซื้อขายตั้งแต่ก่อนหมีจะเกิด (ถ้าไม่นับชาติที่แล้ว) ยังคงเปิดอยู่ในวันที่หมีมีชีวิต และก็แน่นอนว่าจะเปิดต่อไปหลังจากที่หมีจากไปแล้ว ซึ่งเราไม่ต้องรีบร้อนลงทุน ไม่ต้องทุ่ม.. ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะกำไรมากกว่าเรา หรือพลาดโอกาสทอง.. เพราะในช่วงก่อนวิกฤตราชาเงินทุน (2522) ก่อนวิกฤต รสช. (2534) ก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง( 2540) ก่อนวิกฤตไข้หวัดนก (2547) ก่อนวิกฤตซัพไพร์ม (2551) รวมไปถึงชอตที่ดัชนีเพิ่งขึ้นไปถึง 1650 จุดเมื่อต้นปี 2556 ที่ผ่านมา คนที่ซื้อในช่วงเวลาทั้งหลายเหล่านั้น ก็คิดว่าจะตกรถกันทั้งสิ้น.. แต่จริงๆ แล้ว ปัญหามันก็อาจจะไม่ได้อยู่ที่ว่าซื้อที่ดัชนีเท่าไหร่ ปัญหามันอยู่ที่ว่า เราซื้อ “หุ้นอะไร ในราคาใด” มากกว่า เพราะในห้างที่ดี ขายของราคาแพง ก็ยังมีของที่คุ้มค่าคุ้มราคา ในขณะที่ตลาดสด ก็ยังมีของที่ “เน่า” ที่ไม่ควรซื้ออยู่ดี
ข้อสี่ ข้อสุดท้าย หมีจึงอยากให้เราลองสำรวจใจเราเอง ว่าเราอยากวัดดวง “เวียนว่ายตายเกิด” กับหุ้นที่ผันผวน หรือเราอยากมีชีวิตที่มั่นคง มีพอร์ทหุ้นที่เติบโตทุกปี 15% (เอาเงินมาปันผลให้เรา 5% แล้วที่เหลือนำไปลงทุนต่อ 10%) ทำให้เรากล้านำเงินฝาก หรือเงินจากประกันชีวิต มาลงทุนในหุ้น เพื่อสร้างความสุขที่ยั่งยืนให้ชีวิต เก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกให้หลานได้มีชีวิตที่ดี ไม่ต้องทำงานลำบากเหมือนเรา ให้เค้าได้สามารถ “ทำอะไรก็ได้ในชีวิต” แต่ไม่ต้องมากขนาดที่ว่า “เค้าไม่ต้องทำอะไรเลย”
เอาแค่นี้ละกัน ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัว โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อาจมีจะดราม่าไปนิด แต่เขียนด้วยความปรารถนาดี ผิดพลาดอย่างไรขออภัย..
Credit by facebook fanpage มีความสุขกับหุ้นปันผล by หมีส้ม
link https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5-by-%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1/241713975906680