
ในยามที่การแข่งขันทางเทคโนโลยีและธุรกิจโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ AI กำลังร้อนแรงเป็นไฟในช่วงเร็ว ๆ นี้ คนสองกลุ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรงและมีผลประโยชน์และความก้าวหน้าในอาชีพของตนเองเป็นเดิมพันก็คือ นักธุรกิจหรือผู้บริหารกิจการและนักลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้น
คนสองกลุ่มนี้จริง ๆ แล้วเกี่ยวข้องกับสิ่งเดียวกันคือบริษัทหรือหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ความสำเร็จของแต่ละกลุ่มนั้น อาจจะมาจากความคิดและการปฏิบัติที่ไม่เหมือนกัน หลายเรื่องอาจจะตรงกันข้าม เหตุผลก็คือ นักธุรกิจนั้น ความสำเร็จส่วนใหญ่แล้ว มักมาจากมุมมองและนิสัยของสิ่งที่ผมเรียกว่าเป็น “นักสู้” ส่วนนักลงทุนนั้น ความสำเร็จในระยะยาวในความคิดของผมแล้ว มักจะเป็น “นักเลือก”
แน่นอนว่านักลงทุนจำนวนมากอาจจะไม่ได้มองแบบผม โดยเฉพาะถ้าเขามีสไตล์การลงทุนที่เป็นแนว “เก็งกำไร” หรือการลงทุนแนวทางแบบอื่นที่ไม่ใช่แนว “ VI” โดยเฉพาะที่เป็นสไตล์แบบ วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่เน้นการลงทุนระยะยาวมาก และถือหุ้นที่ผมเรียกว่า “ซุปเปอร์สต็อก” เป็นหลัก
ผมจะเปรียบเทียบความคิดและนิสัยของคน 2 กลุ่มนี้โดยแยกออกเป็นประเด็นต่าง ๆ ที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงหรือค่อนข้างมาก เริ่มตั้งแต่
ข้อแรก มุมมองของเรื่องระยะเวลาของการบรรลุเป้าหมายหรือการทำงาน สำหรับนักธุรกิจแล้ว ทุกอย่างต้องเร็ว ระยะเวลาต้องสั้น เช่น ผลงานนั้น ช้าที่สุดก็คือ 1 ไตรมาศ เป้าหมายหรือแผนระยะยาวแม้แต่ 1 ปีนั้น ในยุคปัจจุบันนั้นแทบจะรับไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึง “แผน 5 ปี” อย่างสมัยก่อน
แต่สำหรับ “VI พันธุ์แท้” นั้น เรามองกันที่ 5-10 ปี โดยเน้นในเรื่องของการ “ทบต้น” ผลงานหรือผลตอบแทนไปเรื่อย ๆ ส่วนในแต่ละไตรมาศหรือแต่ละปีนั้น บางทีเราไม่ได้ทำอะไรเลย ว่าที่จริงโดยส่วนตัวผมก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรมาหลายปีแล้ว ตามวอเร็น บัฟเฟตต์ ที่ “นั่งทับเงินสดอยู่” ทั้ง ๆ ที่นักธุรกิจแทบทั้งโลกรวมถึงนักลงทุนส่วนใหญ่กำลังคึกคักสุด ๆ
ข้อ 2 ความรวดเร็วของการตัดสินใจ ซึ่งสำหรับนักธุรกิจแล้ว เป็นหัวใจของความสำเร็จ โดยที่ในยุคใหม่นั้น ถึงกับเปลี่ยนสุภาษิตจาก “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” เป็น “ปลาเร็วกินปลาช้า” แต่ VI แบบเรากลับตรงกันข้าม เพราะส่วนใหญ่แล้ว เรามักจะไม่ทำอะไรนอกจากคิดและวิเคราะห์โดยไม่เห่อไปกับ “กระแส” เรารอจังหวะหรือ “จุดที่งดงามที่สุด” ที่จะ “ลงมือทำ” และได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม อย่างที่บัฟเฟตต์ชอบพูดเปรียบเทียบว่า ในกีฬาเบสบอลนั้น เขาจะตีลูกต่อเมื่อคน คือพิตเชอร์ ขว้างลูกเข้ามาในจุดที่ตีง่ายที่สุด
ข้อ 3 เป้าหมายการบริหารงานของนักธุรกิจส่วนใหญ่ก็คือ Operation หรือการปฏิบัติการ การสร้างผลิตภัณฑ์ การแก้ปัญหา และที่สำคัญที่สุดอาจจะเป็นการสร้างรายได้วันต่อวันเดือนต่อเดือนหรือปีต่อปี แต่นักลงทุนจะมองที่การสร้างความเข้มแข็งและความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนที่จะป้องกันคู่แข่งไม่ให้เข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด เรามองผลกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นและเรื่องความซื่อสัตย์ของผู้บริหารว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อการลงทุน
ข้อ 4 ในเรื่องของอารมณ์หรือนิสัยของนักธุรกิจนั้น คนที่จะประสบความสำเร็จจะต้องเป็นคนที่ขยันมาก มีไฟแรงขนาดที่บางทีต้องนอนในโรงงานอย่างอีลอนมัสก์ เช่นเดียวกับที่ต้องเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี กล้าเสี่ยง นอกจากนั้นก็ยังต้องมีความคิดสร้างสรรค์สูงและมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี มีความสามารถในการสร้างแรงจูงใจพนักงาน แต่สำหรับนักลงทุน เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ ความใจเย็น รอได้ด้วยใจที่สงบ ไม่ตกใจเวลาตลาดเกิดวิกฤติ พูดง่าย ๆ EQ สำคัญกว่า IQ เวลาลงทุน
ข้อ 5 ในเรื่องมุมมองเกี่ยวกับความเสี่ยงนั้น นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจะต้องเน้นที่ตัวกิจการเอง ทั้งเรื่องของพนักงาน สินค้าคงคลัง หนี้ และที่สำคัญ การแข่งขัน ซึ่งจะต้องเฝ้ามองติดตามตลอดเวลา หลุดไม่ได้เลยในยุคปัจจุบันที่การแข่งขันสูงมาก
ในมุมของนักลงทุน เราเป็น “นักเลือก” ดังนั้น เราอยากหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ “ไม่จำเป็น” เช่น เลือกบริษัทที่มี “คูเมือง” หรือ “Moat” ที่สามารถป้องกันไม่ให้คู่แข่งบุกเข้ามาแย่งลูกค้าของบริษัทได้ และมีกำไรที่สม่ำเสมอ เราเลือกบริษัทที่มีฐานะทางการเงินมั่นคงมาก มีหนี้น้อยหรือมีกระแสเงินสดดีมากจนแทบไม่มีโอกาสล้มละลาย เป็นต้น
หัวใจสำคัญของเรื่องความเสี่ยงที่แตกต่างกันระหว่างนักธุรกิจกับนักลงทุนก็คือ นักธุรกิจนั้นชอบ “การเติบโต” มาก แต่นักลงทุนจะมองที่ “ความเสี่ยง” มากกว่า ผมเองยึดสุภาษิตว่า “กำไรมากน้อยไม่ว่ากัน แต่ต้องไม่ขาดทุน” ตามกฎการลงทุน 2 ข้อของบัฟเฟตต์ที่ว่า “ข้อ 1 อย่าขาดทุน และข้อ 2 ให้กลับไปดูข้อ 1”
ข้อ 6 พูดถึงเรื่องของการแข่งขัน ความคิดเกี่ยวกับการแข่งนั้น นักธุรกิจซึ่งโดยธรรมชาตินั้นต้องเป็น “นักสู้” ดังนั้น พวกเขาก็จะต้องชอบที่จะต่อสู้กับคู่แข่ง “วันต่อวัน” ผ่านทางการตลาด การตั้งราคาขายสินค้า การให้บริการและการมีผลิตภัณฑ์หรือแนวทางใหม่ ๆ ที่เรียกว่าต้องมี “Innovation” นักธุรกิจที่ไม่ Active ในด้านของการแข่งขันในยุคปัจจุบันนั้น ผมคิดว่าไม่มีทางประสบความสำเร็จ
นักลงทุนเองนั้น จะมองเรื่องนี้แตกต่างออกไป เราเป็น “นักเลือก” เราไม่อยากได้บริษัทที่ต้องแข่งขันเอาเป็นเอาตายที่ทุกคนมีโอกาสแพ้ได้ง่าย ดังนั้น เราชอบบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่มีอำนาจการตลาดสูง เช่น มีแบรนด์ที่โดดเด่น หรือมี Network Effects หรือมี Switching Cost สูง ที่ทำให้ไม่สามารถย้ายหรือเลิกใช้สินค้าหรือบริการจากเราได้ง่าย
ข้อ 7 การลงทุนขยายธุรกิจ เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่นักธุรกิจมักจะทำเมื่อมีเงินเหลือในบริษัท พวกเขามักจะอยากขยายหรือสร้างโรงงานหรือสถานให้บริการใหม่ พวกเขาอยากขยายหรือทำผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือบางคนก็อาจจะสนใจไปซื้อกิจการเพื่อเพิ่มรายได้และกำไรให้กับบริษัททั้ง ๆ ที่ไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจใหม่นั้น พูดง่าย ๆ นักธุรกิจชอบที่จะ “ขยายอาณาจักร”
แต่นักลงทุนมักจะมองก่อนว่าเมื่อบริษัทมีเงินเหลือ เราควรจะประเมินดูก่อนว่าควรจะเอาไปทำอะไรถึงจะได้ผลตอบแทนระยะยาวดีที่สุด ซึ่งก็คือต้องดูว่าผลตอบแทนที่จะได้จากการลงทุนเป็นอย่างไร คุ้มค่าหรือไม่ ถ้าไม่คุ้ม เช่น ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของเดิมก็ต่ำอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องขยาย เก็บเป็นเงินสดหรือคืนเป็นเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นดีกว่า หรือถ้าไปลงทุนในกิจการอื่น กิจการนั้นโดยปกติให้ผลตอบแทนอย่างไร ถ้าไม่ดีก็ไม่ควรทำ เป็นต้น
ข้อ 8 คือเรื่องของการตอบสนองต่อตลาดหุ้นและราคาหุ้น นักธุรกิจนั้น มักจะคิดว่าราคาตลาดของหุ้นของบริษัทคือเครื่องวัดความสำเร็จของตนเอง ถ้าราคาวิ่งขึ้นสูงและเร็วก็คิดว่าตนเองมีฝีมือในการบริหารกิจการสุดยอด และบ่อยครั้งก็ทำสิ่งต่าง ๆ ที่มักทำให้ราคาวิ่งโดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นกำลังเป็นกระทิงร้อนแรง เช่น ประกาศทำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่กำลังเป็นเทรนด์โดยที่ตนเองไม่มีประสบการณ์หรือความสามารถพอ การซื้อขายกิจการที่ไม่คุ้มค่าแต่ตลาดหุ้นชอบ เป็นต้น
แต่นักลงทุนแบบ VI นั้น มักจะมีอารมณ์ตรงกันข้ามเวลาตลาดหุ้นดี ยิ่งตลาดหุ้นและนักลงทุนทั่วไปคึกคักมาก “เรากลัว” และเมื่อตลาดหุ้นตกหนัก ตลาดเหงา เรากลับรู้สึกว่ามีโอกาสที่เราจะประสบความสำเร็จมากขึ้น เราจะ “โลภ“
ข้อสุดท้ายก็คือ ความเป็นอิสระในการคิดและการตัดสินใจต่าง ๆ จากสังคมและสิ่งแวดล้อม นักธุรกิจนั้น ต้องเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก ทั้งลูกค้า คู่ค้า และแรงงาน คนต่าง ๆ เหล่านี้มีอิทธิพลต่อความคิดและการกระทำของเขาตลอดเวลา บ่อยครั้งเขาไม่สามารถคิดและตัดสินใจแบบอิสระและ “ไม่ลำเอียง” ได้
นักลงทุนนั้นเป็นคนที่มีอิสระมากกว่ามาก เพราะพวกเขาไม่ต้องสนใจคนอื่นว่าจะคิดหรือทำอะไรหรืออย่างไร นักลงทุนเป็นคนที่ “ไม่มีหัวโขน” ว่าที่จริงพวกเขาแทบจะไม่ต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นเลยเมื่อเขาจะคิดหรือทำอะไร เขาไม่ต้องสนใจกระแสที่คนจะต่อว่าหรือมองเขาว่าเป็นคนไม่เก่งหรือลงทุนผิดพลาด ความสำเร็จของการลงทุนทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับตนเอง เช่นเดียวกับความล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับตนเอง คุณมีอิสระที่จะซื้อหรือขายก็ได้ คุณสามารถที่จะรอและไม่ทำอะไรก็ได้ คุณไม่มีจ้าวนายที่จะต้องทำตามคำสั่งหรือประเมินผลงานของคุณ คุณจะทำผลงานที่ดีเพราะคุณคิดถูก ผลงานแย่เพราะคิดผิด ทุกอย่างอยู่ที่ตัวคุณเอง โทษใครไม่ได้เลย
6 ธ.ค 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นิสัยนักสู้ VS นิสัยนักเลือก : โลกในมุมมองของ Value Investor โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
คนสองกลุ่มนี้จริง ๆ แล้วเกี่ยวข้องกับสิ่งเดียวกันคือบริษัทหรือหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ความสำเร็จของแต่ละกลุ่มนั้น อาจจะมาจากความคิดและการปฏิบัติที่ไม่เหมือนกัน หลายเรื่องอาจจะตรงกันข้าม เหตุผลก็คือ นักธุรกิจนั้น ความสำเร็จส่วนใหญ่แล้ว มักมาจากมุมมองและนิสัยของสิ่งที่ผมเรียกว่าเป็น “นักสู้” ส่วนนักลงทุนนั้น ความสำเร็จในระยะยาวในความคิดของผมแล้ว มักจะเป็น “นักเลือก”
แน่นอนว่านักลงทุนจำนวนมากอาจจะไม่ได้มองแบบผม โดยเฉพาะถ้าเขามีสไตล์การลงทุนที่เป็นแนว “เก็งกำไร” หรือการลงทุนแนวทางแบบอื่นที่ไม่ใช่แนว “ VI” โดยเฉพาะที่เป็นสไตล์แบบ วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่เน้นการลงทุนระยะยาวมาก และถือหุ้นที่ผมเรียกว่า “ซุปเปอร์สต็อก” เป็นหลัก
ผมจะเปรียบเทียบความคิดและนิสัยของคน 2 กลุ่มนี้โดยแยกออกเป็นประเด็นต่าง ๆ ที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงหรือค่อนข้างมาก เริ่มตั้งแต่
ข้อแรก มุมมองของเรื่องระยะเวลาของการบรรลุเป้าหมายหรือการทำงาน สำหรับนักธุรกิจแล้ว ทุกอย่างต้องเร็ว ระยะเวลาต้องสั้น เช่น ผลงานนั้น ช้าที่สุดก็คือ 1 ไตรมาศ เป้าหมายหรือแผนระยะยาวแม้แต่ 1 ปีนั้น ในยุคปัจจุบันนั้นแทบจะรับไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึง “แผน 5 ปี” อย่างสมัยก่อน
แต่สำหรับ “VI พันธุ์แท้” นั้น เรามองกันที่ 5-10 ปี โดยเน้นในเรื่องของการ “ทบต้น” ผลงานหรือผลตอบแทนไปเรื่อย ๆ ส่วนในแต่ละไตรมาศหรือแต่ละปีนั้น บางทีเราไม่ได้ทำอะไรเลย ว่าที่จริงโดยส่วนตัวผมก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรมาหลายปีแล้ว ตามวอเร็น บัฟเฟตต์ ที่ “นั่งทับเงินสดอยู่” ทั้ง ๆ ที่นักธุรกิจแทบทั้งโลกรวมถึงนักลงทุนส่วนใหญ่กำลังคึกคักสุด ๆ
ข้อ 2 ความรวดเร็วของการตัดสินใจ ซึ่งสำหรับนักธุรกิจแล้ว เป็นหัวใจของความสำเร็จ โดยที่ในยุคใหม่นั้น ถึงกับเปลี่ยนสุภาษิตจาก “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” เป็น “ปลาเร็วกินปลาช้า” แต่ VI แบบเรากลับตรงกันข้าม เพราะส่วนใหญ่แล้ว เรามักจะไม่ทำอะไรนอกจากคิดและวิเคราะห์โดยไม่เห่อไปกับ “กระแส” เรารอจังหวะหรือ “จุดที่งดงามที่สุด” ที่จะ “ลงมือทำ” และได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม อย่างที่บัฟเฟตต์ชอบพูดเปรียบเทียบว่า ในกีฬาเบสบอลนั้น เขาจะตีลูกต่อเมื่อคน คือพิตเชอร์ ขว้างลูกเข้ามาในจุดที่ตีง่ายที่สุด
ข้อ 3 เป้าหมายการบริหารงานของนักธุรกิจส่วนใหญ่ก็คือ Operation หรือการปฏิบัติการ การสร้างผลิตภัณฑ์ การแก้ปัญหา และที่สำคัญที่สุดอาจจะเป็นการสร้างรายได้วันต่อวันเดือนต่อเดือนหรือปีต่อปี แต่นักลงทุนจะมองที่การสร้างความเข้มแข็งและความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนที่จะป้องกันคู่แข่งไม่ให้เข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด เรามองผลกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นและเรื่องความซื่อสัตย์ของผู้บริหารว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อการลงทุน
ข้อ 4 ในเรื่องของอารมณ์หรือนิสัยของนักธุรกิจนั้น คนที่จะประสบความสำเร็จจะต้องเป็นคนที่ขยันมาก มีไฟแรงขนาดที่บางทีต้องนอนในโรงงานอย่างอีลอนมัสก์ เช่นเดียวกับที่ต้องเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี กล้าเสี่ยง นอกจากนั้นก็ยังต้องมีความคิดสร้างสรรค์สูงและมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี มีความสามารถในการสร้างแรงจูงใจพนักงาน แต่สำหรับนักลงทุน เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ ความใจเย็น รอได้ด้วยใจที่สงบ ไม่ตกใจเวลาตลาดเกิดวิกฤติ พูดง่าย ๆ EQ สำคัญกว่า IQ เวลาลงทุน
ข้อ 5 ในเรื่องมุมมองเกี่ยวกับความเสี่ยงนั้น นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจะต้องเน้นที่ตัวกิจการเอง ทั้งเรื่องของพนักงาน สินค้าคงคลัง หนี้ และที่สำคัญ การแข่งขัน ซึ่งจะต้องเฝ้ามองติดตามตลอดเวลา หลุดไม่ได้เลยในยุคปัจจุบันที่การแข่งขันสูงมาก
ในมุมของนักลงทุน เราเป็น “นักเลือก” ดังนั้น เราอยากหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ “ไม่จำเป็น” เช่น เลือกบริษัทที่มี “คูเมือง” หรือ “Moat” ที่สามารถป้องกันไม่ให้คู่แข่งบุกเข้ามาแย่งลูกค้าของบริษัทได้ และมีกำไรที่สม่ำเสมอ เราเลือกบริษัทที่มีฐานะทางการเงินมั่นคงมาก มีหนี้น้อยหรือมีกระแสเงินสดดีมากจนแทบไม่มีโอกาสล้มละลาย เป็นต้น
หัวใจสำคัญของเรื่องความเสี่ยงที่แตกต่างกันระหว่างนักธุรกิจกับนักลงทุนก็คือ นักธุรกิจนั้นชอบ “การเติบโต” มาก แต่นักลงทุนจะมองที่ “ความเสี่ยง” มากกว่า ผมเองยึดสุภาษิตว่า “กำไรมากน้อยไม่ว่ากัน แต่ต้องไม่ขาดทุน” ตามกฎการลงทุน 2 ข้อของบัฟเฟตต์ที่ว่า “ข้อ 1 อย่าขาดทุน และข้อ 2 ให้กลับไปดูข้อ 1”
ข้อ 6 พูดถึงเรื่องของการแข่งขัน ความคิดเกี่ยวกับการแข่งนั้น นักธุรกิจซึ่งโดยธรรมชาตินั้นต้องเป็น “นักสู้” ดังนั้น พวกเขาก็จะต้องชอบที่จะต่อสู้กับคู่แข่ง “วันต่อวัน” ผ่านทางการตลาด การตั้งราคาขายสินค้า การให้บริการและการมีผลิตภัณฑ์หรือแนวทางใหม่ ๆ ที่เรียกว่าต้องมี “Innovation” นักธุรกิจที่ไม่ Active ในด้านของการแข่งขันในยุคปัจจุบันนั้น ผมคิดว่าไม่มีทางประสบความสำเร็จ
นักลงทุนเองนั้น จะมองเรื่องนี้แตกต่างออกไป เราเป็น “นักเลือก” เราไม่อยากได้บริษัทที่ต้องแข่งขันเอาเป็นเอาตายที่ทุกคนมีโอกาสแพ้ได้ง่าย ดังนั้น เราชอบบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่มีอำนาจการตลาดสูง เช่น มีแบรนด์ที่โดดเด่น หรือมี Network Effects หรือมี Switching Cost สูง ที่ทำให้ไม่สามารถย้ายหรือเลิกใช้สินค้าหรือบริการจากเราได้ง่าย
ข้อ 7 การลงทุนขยายธุรกิจ เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่นักธุรกิจมักจะทำเมื่อมีเงินเหลือในบริษัท พวกเขามักจะอยากขยายหรือสร้างโรงงานหรือสถานให้บริการใหม่ พวกเขาอยากขยายหรือทำผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือบางคนก็อาจจะสนใจไปซื้อกิจการเพื่อเพิ่มรายได้และกำไรให้กับบริษัททั้ง ๆ ที่ไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจใหม่นั้น พูดง่าย ๆ นักธุรกิจชอบที่จะ “ขยายอาณาจักร”
แต่นักลงทุนมักจะมองก่อนว่าเมื่อบริษัทมีเงินเหลือ เราควรจะประเมินดูก่อนว่าควรจะเอาไปทำอะไรถึงจะได้ผลตอบแทนระยะยาวดีที่สุด ซึ่งก็คือต้องดูว่าผลตอบแทนที่จะได้จากการลงทุนเป็นอย่างไร คุ้มค่าหรือไม่ ถ้าไม่คุ้ม เช่น ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของเดิมก็ต่ำอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องขยาย เก็บเป็นเงินสดหรือคืนเป็นเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นดีกว่า หรือถ้าไปลงทุนในกิจการอื่น กิจการนั้นโดยปกติให้ผลตอบแทนอย่างไร ถ้าไม่ดีก็ไม่ควรทำ เป็นต้น
ข้อ 8 คือเรื่องของการตอบสนองต่อตลาดหุ้นและราคาหุ้น นักธุรกิจนั้น มักจะคิดว่าราคาตลาดของหุ้นของบริษัทคือเครื่องวัดความสำเร็จของตนเอง ถ้าราคาวิ่งขึ้นสูงและเร็วก็คิดว่าตนเองมีฝีมือในการบริหารกิจการสุดยอด และบ่อยครั้งก็ทำสิ่งต่าง ๆ ที่มักทำให้ราคาวิ่งโดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นกำลังเป็นกระทิงร้อนแรง เช่น ประกาศทำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่กำลังเป็นเทรนด์โดยที่ตนเองไม่มีประสบการณ์หรือความสามารถพอ การซื้อขายกิจการที่ไม่คุ้มค่าแต่ตลาดหุ้นชอบ เป็นต้น
แต่นักลงทุนแบบ VI นั้น มักจะมีอารมณ์ตรงกันข้ามเวลาตลาดหุ้นดี ยิ่งตลาดหุ้นและนักลงทุนทั่วไปคึกคักมาก “เรากลัว” และเมื่อตลาดหุ้นตกหนัก ตลาดเหงา เรากลับรู้สึกว่ามีโอกาสที่เราจะประสบความสำเร็จมากขึ้น เราจะ “โลภ“
ข้อสุดท้ายก็คือ ความเป็นอิสระในการคิดและการตัดสินใจต่าง ๆ จากสังคมและสิ่งแวดล้อม นักธุรกิจนั้น ต้องเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก ทั้งลูกค้า คู่ค้า และแรงงาน คนต่าง ๆ เหล่านี้มีอิทธิพลต่อความคิดและการกระทำของเขาตลอดเวลา บ่อยครั้งเขาไม่สามารถคิดและตัดสินใจแบบอิสระและ “ไม่ลำเอียง” ได้
นักลงทุนนั้นเป็นคนที่มีอิสระมากกว่ามาก เพราะพวกเขาไม่ต้องสนใจคนอื่นว่าจะคิดหรือทำอะไรหรืออย่างไร นักลงทุนเป็นคนที่ “ไม่มีหัวโขน” ว่าที่จริงพวกเขาแทบจะไม่ต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นเลยเมื่อเขาจะคิดหรือทำอะไร เขาไม่ต้องสนใจกระแสที่คนจะต่อว่าหรือมองเขาว่าเป็นคนไม่เก่งหรือลงทุนผิดพลาด ความสำเร็จของการลงทุนทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับตนเอง เช่นเดียวกับความล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับตนเอง คุณมีอิสระที่จะซื้อหรือขายก็ได้ คุณสามารถที่จะรอและไม่ทำอะไรก็ได้ คุณไม่มีจ้าวนายที่จะต้องทำตามคำสั่งหรือประเมินผลงานของคุณ คุณจะทำผลงานที่ดีเพราะคุณคิดถูก ผลงานแย่เพราะคิดผิด ทุกอย่างอยู่ที่ตัวคุณเอง โทษใครไม่ได้เลย