อ่าน 'พักตร์อสูร' ตอนเดิมได้ตามลิงก์นี้เลยนะคะ
บทที่ 1
http://pantip.com/topic/30383088
บทที่ 2
http://pantip.com/topic/30393758
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/30934208
บทที่ 4
http://pantip.com/topic/30938172
บทที่ 5
http://pantip.com/topic/30943480
---------------------------------------------------------------
สองปีผ่านไป...
อุษามันตราในวัยหกขวบผอมลง ความสูงมากขึ้น ไม่เจ้าเนื้อเหมือนก่อนนี้เพราะต้องเดินทั้งวันแทบไม่หยุดจากการเรียนรู้งานในโรงหล่อโลหะ ส่วนหนึ่งก็เพราะต้องการออกกำลังกาย เวลาว่างก็ไปนั่งดูพี่น้องที่เป็นชายเรียนศิลปะการต่อสู้แล้วมาแอบฝึกลับๆ โดยให้ศีลาดูต้นทาง ความเฉลียวฉลาดช่างจำนั้นเป็นที่ถูกใจนายช่างใหญ่โชติระเส แต่ไม่เคยมั่นคงในความรู้สึกของอุษามันตราเลย
“คุณพ่อเจ้าข้า ดินที่จะเอาขึ้นแบบครานี้เนื้อไม่แน่นอีกแล้ว มูลโคที่จะนำมาทำน้ำมูลก็ไม่สด คนนวดและขึ้นรูปงานก็เหลือเท่าที่เห็นเจ้าข้า”
เสียงเล็กๆ หวานๆ ของอุษามันตรารายงานเมื่อท่านโชติระเสกลับเข้ามา ใบหน้า มือ เท้า และเนื้อตัวของเธอเต็มไปด้วยดินโคลน ผมมุ่นมวยชี้โด่เด่กระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรงจากการช่วยบ่าวไพร่เหยียบนวดเนื้อดินโดยไม่ห่วงความสวยความสะอาด
ตอนนี้ในใจของโชติระเสไม่ดีนักเมื่อได้ยิน เขาก้มลงจับเนื้อดินแล้วบี้ตรวจสอบ ดินไม่มีคุณภาพสวนทางกับราคาเมื่อเทียบกับสินค้าแลกเปลี่ยนทำให้เขาไม่สบายใจ ทว่าทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้เครียดและหนักใจมากขึ้นก็คือเงินทุนสำรองร่อยหรอเพราะจ่ายให้กับญาติของวาดไปก่อนตามที่ภรรยารองแนะนำ
ทว่าทุกอย่างกลับตาลปัตร สินค้าที่ได้แย่ลงอย่างเห็นได้ชัดและไม่ตรงตามที่ตกลง ซึ่งไม่ใช่แค่หนึ่งครั้ง โชติระเสไม่สบายใจมากขึ้นเมื่อระลึกถึงไม่กี่เพลาก่อนหน้านี้ที่ลูกค้าขอเจรจาผัดผ่อน
ปีนี้แล้งนัก การเพาะปลูกลำบากจนมีผลกระทบต่อผู้คนเป็นลูกโซ่โดยเฉพาะมนสิการ คนกว่าครึ่งร้อยที่ต้องดูแล เบี้ยอัฐที่ต้องจ่ายเพื่อซื้อของสดและของแห้งเลี้ยงบริวารต้องมีทุกวัน แม้พืชผักในอาณาบริเวณจะมี แต่ก็ไม่ช่วยมากนัก ปัญหาใหญ่คือสภาพคล่องของกิจการยามรายรับลดลงอย่างน่าใจหาย ทว่ารายจ่ายยังคงที่และมีแนวโน้มมากขึ้น ซึ่งหากเป็นอย่างปีก่อน การเพาะปลูกยังดี ฟ้าฝนยังมาก ก็ช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายได้บ้าง
โชติระเสมองไปโดยรอบ โรงหล่อที่ก่อนหน้านี้มีคนงานไม่ต่ำกว่าสามสิบและขยันขันแข็ง แต่เพียงแค่สองปีกว่าๆ นับแต่คุณพ่อมหิทธิคุณาสิ้นบุญ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป คนงานขี้เกียจ คนเก่าแก่ทำงานเต็มกำลังก็มีนับหัวได้ ผลกำไรที่เคยมีก็หดหาย หนี้สินไม่เคยมีกลับมี เขาเสียใจยิ่งนักที่ไม่สามารถดูแลได้ดีกว่านี้
“งานดี ผลงานเลิศ มาจากฝีมือของคนดี มาจากคนที่เชื่อฟัง หากมิฟังกันแล้ว ก็จักต้องเลือกใช้คน อำนาจในมือตนต้องจัดการให้ดี อย่าเกรงคนบ่น อย่ากลัวคนด่า อย่าไว้หน้าคนเสนียด เช่นนั้นจักไร้ระเบียบและเสียระบบ เสียงนกกระจอก ร้องหลอกคชสาร ตัวเจ้าใหญ่เหลือประมาณกลับไร้สติมิพึงระวัง หลายสิ่งเสียหาย เช่นนั้นจงรีบแก้ไข ก่อนตกต่ำกว่านี้เอย”
เสียงร้องรับเป็นจังหวะสนุกเช่นเพลงเรือพร้อมกับเหยียบนวดดินนี้ทำให้โชติระเสต้องหยุดมองอุษามันตรา วาจาของลูกก่อนหน้านี้ที่เขาเคยคิดว่าไม่มีความหมายอะไรมากมาย เป็นเพียงคำพูดของเด็กที่บังเอิญทำให้เขาฉุกคิดได้ซึ่งก็ทำตามบ้างไม่ทำตามบ้าง แต่ในวันนี้... ตอนนี้... เสียงร้องของเด็กน้อยผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขกลับทำให้เขาต้องตระหนัก
โชติระเสตั้งใจฟัง ฟังทุกอย่างให้เข้าไปถึงแก่น ฟังให้เข้าไปถึงหัวใจและส่วนลึก กระทั่งรอบกายเงียบสงัด ทุกสิ่งไม่มีผลต่อความรู้สึก
ภาพหลายอย่างผุดขึ้นนับแต่วันที่คุณพ่อมหิทธิคุณาเสีย เขาผ่านเหตุการณ์ย่ำแย่หลากหลายทั้งในครอบครัวและกิจการ ซึ่งในวันนี้ความย่ำแย่ของกิจการกำลังหมุนเวียนกลับมาเช่นกงล้อบรรจบรอบ หรือจริงแล้ว... ที่ผ่านมามันคือปัญหาที่หมักหมมไว้จนใกล้ปะทุในวันนี้ต่างหาก
เสียงเจื้อยแจ้วช่างจำนรรจ์หลั่งไหลเข้าหัวผสมภาพหลากหลาย โชติระเสยืนนิ่ง ดวงตาของเขามองแผ่นเดิน แต่ความจริงไม่ใช่เลย
เวลาผ่านไปนานเท่าไดไม่ทราบได้ ความกดดันที่แบกไว้ทำให้เขาลืมเวลาเมื่อไตร่ตรอง พี่น้องร่วมพ่อแม่ที่จะช่วยเขาคิดอ่านไม่มีเลย ลูกที่เกิดจากอนุของคุณพ่อก็ไม่มีใครช่วยงานนี้ได้เช่นกัน เพราะถูกกันจากกิจการภายในนับตั้งแต่มีกำหนดให้เขาเป็นผู้รับช่วงต่อ
ตอนนี้... ความรู้สึกของโชติระเสเหมือนดั่งคนตามืดบอด เขามองไม่เห็นหนทางพาทุกคนในมนสิการไปให้ถึงฝั่งและพ้นภัย
“ทุกอย่างมีทางออกเจ้าข้า คุณพ่อ”
เสียงนี้พาเขาออกจากภวังค์ ใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูแต่เปื้อนดินนั้นเงยขึ้น มือเล็กๆ เกาะเกี่ยวมือของเขา รอยยิ้มให้กำลังใจของลูกทำให้ตระหนักว่าที่ผ่านมาเขาช่างโง่เขลาและมืดบอดเหลือเกิน
งานในโรงหล่อทุกขั้นตอน ทุกกรรมวิธีการทำ อุปกรณ์ทุกอย่าง อุษามันตราล้วนจดจำและเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี ทำได้ดีกว่าลูกของเขาทุกคน อดทนกว่าลูกของเขาทุกคนแม้เป็นหญิง จนผู้คนรอบข้างต่างอัศจรรย์ใจกับเด็กน้อยวัยหกขวบผู้เป็นบุตรีคนโตของเขา ทว่าเขาไม่เคยสนใจตรงนี้เลย เขาคิดแค่ว่าอุษามันตราคงเล่นสนุกตามประสาเด็กที่สักวันก็จะเบื่อและเหนื่อยหน่าย บางอย่างในตัวของลูกที่แสดงออกเขาคิดเพียงว่าเป็นเพราะความเฉลียวฉลาดส่อแวว ที่สำคัญคือสุดท้ายแล้วลูกก็ต้องออกเรือนไปอยู่ตระกูลอื่น เขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจนัก
โชติระเสเกลี่ยรอยเปื้อนบนแก้มใสเป็นสีชมพูนี้ด้วยหัวใจอันหนักหน่วง ที่ผ่านมาเขาดูแลลูกชาย ให้ความสนใจลูกชาย ไม่เคยเฉลียวใจหรือให้ความสนใจอุษามันตรามากกว่าที่ควรจะเป็น
เขาพลิกมือของลูก สายตามองดู... มือของลูกด้าน มือของลูกแตกเพราะไม่เกี่ยงงานทุกอย่างในโรงหล่อ มือนี้ไม่นุ่มนิ่มเช่นเด็กวัยเดียวกันทั้งที่อุษามันตราเป็นหญิงและเป็นถึงบุตรีภริยาเอกของเขา
โชติระเสลูบมือลูกไปมา เขารู้ดีว่ารสชาติความเจ็บปวดเมื่อมือแตกเท้าแตกแต่ต้องหยิบจับของเหลวที่แทรกซึมผิวเนื้อนั้นเป็นเช่นไร รสชาติความปวดร้าวยามฝ่าเท้าแตกแต่ต้องเหยียบนวดดินนั้นเป็นเช่นไร ความปวดแสบตรงรอยแผลจนสามารถทำให้กายสั่นได้นั้นมันทรมานมากมายแค่ไหน โดยเฉพาะเวลาที่ขอบเล็บด้านจนปริแต่ต้องขึ้นรูปงานหล่อแล้วมือนั้นคลุกน้ำมูลโคก็เจ็บเหลือประมาณจะกล่าว
ความทรงจำในวัยเด็กของโชติระเสย้อนคืน เขาจ้องเข้าไปในนัยน์ตาของอุษามันตรา ลูกอายุน้อยเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นหญิง แต่กลับไม่เคยปริปากบ่น ความขยันขันแข็งตรงต่อเวลาทำไมเขาจึงมองข้ามมานานนับปี เหตุใดจึงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้กับความคิดว่าลูกเพียงเล่นสนุก และสักวันลูกจะออกเรือน
เป็นเพราะส่วนหนึ่งเขากลบเกลื่อนความรู้สึกผิดในใจตั้งแต่ครั้งนั้นที่เรือนใหญ่ มากกว่านั้นก็คือเขาเชื่อใจวาด เชื่อว่าว่าจะดูแลลูกชายของเขาให้เป็นผู้สืบทอดกิจการโรงหล่อโลหะที่ดีได้ เชื่อว่าคำแนะนำของวาดจะช่วยได้ในเมื่อวาดคือคนรักของเขา ผูกสมัครรักใคร่กันเมื่อย่างเข้าวัยใกล้ออกเรือน
แต่ในเวลานี้... ที่ทุกอย่างได้ผ่านเข้ามามากมาย ทั้งดี... ทั้งร้าย... โดยเฉพาะความผิดในใจของเขาซึ่งกระทำผิดที่ผิดเวลากับอุษามันตราในครั้งนั้น ก็ทำให้ได้คิด
เขาเพิ่งเห็นบางสิ่งที่ลูกพยายามบอกเป็นนัยมาเนิ่นนาน สิ่งที่ลูกทำทุกอย่างเพื่อเขามาตลอด เขาเพิ่งจะได้เห็น เพิ่งจะเห็น...ในวันที่มนสิการอาจย่อยยับไม่มีวันยืนหยัดได้อีกต่อไป
ในใจของโชติระเสสับสนเหลือประมาณ ความละอาย ความกดดัน ทำให้ต้องครุ่นคิดอย่างหนักเมื่อบางสิ่งบางอย่างปรากฏชัดเจน ความเอนเอียงและรักผู้สืบสกุลกำลังทำให้เขาพากิจการดิ่งลงสู่หุบเหวโดยไม่เฉลียวใจ โดยเฉพาะการพนันที่เผลอเข้าไปแตะต้องจนทำให้เสียหายอย่างมิควรจะเป็น เขาเจ็บแค้นตัวเองยิ่งนัก
“คุณพี่เพิ่งกลับมา น้ำเจ้าข้า”
วาดยกน้ำในขันเงินสลักลายนูนสูงให้ สายตาสองพ่อลูกยังมองกันและกัน โชติระเสรับน้ำไว้ในมือ
อุษามันตราพูดว่า “ลูกจะกลับเรือนแล้วเจ้าข้า”
กล่าวจบก็ถอยกลับไปรีดดินเหนียวออกจากเท้าโดยไม่ทักทายใครอีก
โชติระเสหันมามองวาด ความกดดันสับสนเริ่มมากทวี เมื่อเห็นสายตาของวาดยามมองอุษามันตรา สายตาที่ไม่รัก แต่ก็ไม่สนใจ ทั้งที่นั่นคือบุตรีของภริยาเอกของเขา ที่ผ่านมาเขาตามใจวาดโดยละทิ้งประเพณีปฏิบัติด้วยใช่หรือไม่ ที่สุดท้ายคนใต้ปกครองจึงขาดความนับถือ
ก่อนหน้านี้คนในโรงหล่อล้วนมีความภาคภูมิใจในงาน ภาคภูมิใจในภูมิปัญญาและฝีมือตนเอง โดยเฉพาะสิทธิการเข้าออกที่น้อยคนนักจะได้รับ แต่มันเริ่มเสื่อมนับตั้งแต่เขาทำผิดกฎเสียเองใช่หรือไม่ ความยุติธรรมอันปวกเปียกจากผู้นำเช่นเขาใช่หรือไม่ ภาพหลากหลายผุดขึ้นหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว ทั้งดี... และไม่ดี จากการกระทำทั้งหมดที่ผ่านมา
“นายท่านเจ้าข้า แม่จิตราให้มาเรียนนายท่านว่า ได้รับใบบอกความจากนายท่านพะลัญจะคหบดี แห่งพาราณสี ขอนายท่านไปที่เรือนใหญ่แต่ไวเจ้าข้า”
บ่าวชายรายงาน ทางเรือนใหญ่ยังคงปฏิบัติตัวเช่นเดิมไม่เปลี่ยน คือไม่เคยเข้ามาก้าวก่าย ไม่เคยย่างกรายเข้ามาล้ำเส้นเงาหลังคาของโรงหล่อโลหะแม้จะเป็นแม่นายใหญ่ของมนสิการแล้วก็ตาม ประเพณีปฏิบัติ... ตยาวดีหรือแม้แต่จิตรายังคงเคร่งครัดไม่เปลี่ยน
น่าสมเพช... ที่ตัวเขากลับละเมิดเสียเอง ความมัวเมาลุ่มหลงในอบายทำให้เขาจมสู่อเวจีแม้ยังหายใจอยู่
การรับรู้ลมหายใจร้อนผ่าวของตนเองและตกใจตื่นกลางดึกในทุกค่ำคืนที่เกิดจากความหวาดผวาเพราะหนี้สินที่ถลำลึกจากการเชื่อคำของวาดไม่ได้น่าพิสมัย รสชาติของคนเป็นลูกหนี้ที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เจอหลอกหลอนทุกค่ำคืน เพียงแค่สองปีกว่าๆ เขาก็ทำให้มนสิการเสื่อมถอยได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ และแม้ว่าขณะนี้มิใช่ยามค่ำคืน เป็นเวลากลางวัน แต่เขาก็ร้อนรน หาสุขไม่ได้เลย เมื่อต้องเผชิญการทวงหนี้เกือบทุกเพลา ซึ่งไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดแก่ตนเอง
โชติระเสมองหน้าอุษามันตราโดยไม่ได้ตั้งใจ ลูกกำลังมองเขาอยู่ ก่อนจะเดินก้มหน้าไปทางเรือนใหญ่ เขาได้แต่มองตามแผ่นหลังของลูกด้วยความคิดและความรู้สึกหลากหลายที่ประดังประเด
สายตาเมื่อครู่ของอุษามันตราทำให้เขาหายใจไม่ออก สายตา...ที่บอกว่าลูกรออยู่ และไม่ทิ้งเขาไปไหน ขอเพียงเขาเชื่อใจ ลูกจะช่วยเหลือเขาทุกอย่าง
โชติระเสพยายามสะบัดความคิดนี้ทิ้ง บอกตัวเองว่าอุษามันตราอายุเพียงแค่หกขวบเท่านั้น การตำหนิผ่านสายตา ความหมายที่แสดงผ่านสายตา จะเป็นไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ เด็กจะสามารถแสดงออกได้อย่างชัดเจนและแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อได้สื่อให้ทราบถึงบางอย่างตามที่ใจต้องการโดยคนรอบข้างไม่อาจรับรู้นอกจากเป้าหมายที่ลูกเพ่งเล็ง
ทว่าจริงแล้ว เมื่อตอนลูกสี่ขวบ ลูกก็ได้ด่าทอเขาอย่างเจ็บแสบมาครั้งหนึ่งมิใช่หรือ ด่าทอต่อว่าโดยไม่มีคำพูดใดๆ นอกจากคำอธิบายที่เขายังจำได้ไม่ลืม สายตาจ้องมองเมื่อครั้งนั้นประหนึ่งทุบตีเขาจนร้าวลึกเข้าไปถึงหัวใจ ลึก...จนสิ่งที่เห็นไม่เคยเลือนหายยามประหวัดใจถึง เขารู้ว่าผิดพลาดมากเพียงใดในครั้งนั้น ความรู้สึกผิด ละอาย แต่ไม่รู้จะเอ่ยอย่างไรยังอยู่ในความทรงจำตลอดมา โชติระเสคืนขันน้ำให้วาดโดยไม่ได้ดื่ม
“พวกเจ้าออกไปให้หมด”
เขาสั่งบ่าวและคนงานที่อยู่ในบริเวณนี้ บ่าวใกล้ชิดวาดรับขันน้ำและออกไปพร้อมๆ กันทุกคน เหลือเพียงโชติระเสและวาดสองคนในบริเวณ
“นับจากนี้เป็นต้นไป น้องเจ้าอย่าได้เข้ามาที่โรงหล่อตามธรรมเนียมเดิมที่เคยปฏิบัติ”
วาดหน้าเสีย “เหตุใดหรือเจ้าข้าคุณพี่ น้องทำสิ่งใดผิดรึ”
“เจ้าหาได้ทำสิ่งใดผิดไปดอกแม่วาด เป็นตัวพี่เอง ที่ผิดมาเนิ่นนานนับแต่คุณพ่อท่านสิ้นบุญ”
“น้องมิแจ้งใจเจ้าข้า”
“ประเพณีปฏิบัติของมนสิการคือห้ามหญิงคนใดเข้ามาภายในโรงหล่อเป็นอันเด็ดขาด ยกเว้นสายเลือดของมนสิการที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แลนั่นจึงเป็นเหตุให้มนสิการกำลังจะพินาศด้วยมือพี่ เจ้ารู้หรือไม่”
น้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่มีความฉุนเฉียวของโชติระเสกลับทำให้วาดใจสั่น หล่อนรู้ว่าที่นี่กำลังมีปัญหา และรู้เรื่องกฎข้อนี้ดี หล่อนไม่ได้เอ่ยขัดจังหวะ ทำเพียงแต่ฟังสิ่งที่โชติระเสพูดต่อ
[นิยาย] พักตร์อสูร : บทที่ 6-8
บทที่ 1 http://pantip.com/topic/30383088
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30393758
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30934208
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30938172
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/30943480
---------------------------------------------------------------
สองปีผ่านไป...
อุษามันตราในวัยหกขวบผอมลง ความสูงมากขึ้น ไม่เจ้าเนื้อเหมือนก่อนนี้เพราะต้องเดินทั้งวันแทบไม่หยุดจากการเรียนรู้งานในโรงหล่อโลหะ ส่วนหนึ่งก็เพราะต้องการออกกำลังกาย เวลาว่างก็ไปนั่งดูพี่น้องที่เป็นชายเรียนศิลปะการต่อสู้แล้วมาแอบฝึกลับๆ โดยให้ศีลาดูต้นทาง ความเฉลียวฉลาดช่างจำนั้นเป็นที่ถูกใจนายช่างใหญ่โชติระเส แต่ไม่เคยมั่นคงในความรู้สึกของอุษามันตราเลย
“คุณพ่อเจ้าข้า ดินที่จะเอาขึ้นแบบครานี้เนื้อไม่แน่นอีกแล้ว มูลโคที่จะนำมาทำน้ำมูลก็ไม่สด คนนวดและขึ้นรูปงานก็เหลือเท่าที่เห็นเจ้าข้า”
เสียงเล็กๆ หวานๆ ของอุษามันตรารายงานเมื่อท่านโชติระเสกลับเข้ามา ใบหน้า มือ เท้า และเนื้อตัวของเธอเต็มไปด้วยดินโคลน ผมมุ่นมวยชี้โด่เด่กระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรงจากการช่วยบ่าวไพร่เหยียบนวดเนื้อดินโดยไม่ห่วงความสวยความสะอาด
ตอนนี้ในใจของโชติระเสไม่ดีนักเมื่อได้ยิน เขาก้มลงจับเนื้อดินแล้วบี้ตรวจสอบ ดินไม่มีคุณภาพสวนทางกับราคาเมื่อเทียบกับสินค้าแลกเปลี่ยนทำให้เขาไม่สบายใจ ทว่าทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้เครียดและหนักใจมากขึ้นก็คือเงินทุนสำรองร่อยหรอเพราะจ่ายให้กับญาติของวาดไปก่อนตามที่ภรรยารองแนะนำ
ทว่าทุกอย่างกลับตาลปัตร สินค้าที่ได้แย่ลงอย่างเห็นได้ชัดและไม่ตรงตามที่ตกลง ซึ่งไม่ใช่แค่หนึ่งครั้ง โชติระเสไม่สบายใจมากขึ้นเมื่อระลึกถึงไม่กี่เพลาก่อนหน้านี้ที่ลูกค้าขอเจรจาผัดผ่อน
ปีนี้แล้งนัก การเพาะปลูกลำบากจนมีผลกระทบต่อผู้คนเป็นลูกโซ่โดยเฉพาะมนสิการ คนกว่าครึ่งร้อยที่ต้องดูแล เบี้ยอัฐที่ต้องจ่ายเพื่อซื้อของสดและของแห้งเลี้ยงบริวารต้องมีทุกวัน แม้พืชผักในอาณาบริเวณจะมี แต่ก็ไม่ช่วยมากนัก ปัญหาใหญ่คือสภาพคล่องของกิจการยามรายรับลดลงอย่างน่าใจหาย ทว่ารายจ่ายยังคงที่และมีแนวโน้มมากขึ้น ซึ่งหากเป็นอย่างปีก่อน การเพาะปลูกยังดี ฟ้าฝนยังมาก ก็ช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายได้บ้าง
โชติระเสมองไปโดยรอบ โรงหล่อที่ก่อนหน้านี้มีคนงานไม่ต่ำกว่าสามสิบและขยันขันแข็ง แต่เพียงแค่สองปีกว่าๆ นับแต่คุณพ่อมหิทธิคุณาสิ้นบุญ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป คนงานขี้เกียจ คนเก่าแก่ทำงานเต็มกำลังก็มีนับหัวได้ ผลกำไรที่เคยมีก็หดหาย หนี้สินไม่เคยมีกลับมี เขาเสียใจยิ่งนักที่ไม่สามารถดูแลได้ดีกว่านี้
“งานดี ผลงานเลิศ มาจากฝีมือของคนดี มาจากคนที่เชื่อฟัง หากมิฟังกันแล้ว ก็จักต้องเลือกใช้คน อำนาจในมือตนต้องจัดการให้ดี อย่าเกรงคนบ่น อย่ากลัวคนด่า อย่าไว้หน้าคนเสนียด เช่นนั้นจักไร้ระเบียบและเสียระบบ เสียงนกกระจอก ร้องหลอกคชสาร ตัวเจ้าใหญ่เหลือประมาณกลับไร้สติมิพึงระวัง หลายสิ่งเสียหาย เช่นนั้นจงรีบแก้ไข ก่อนตกต่ำกว่านี้เอย”
เสียงร้องรับเป็นจังหวะสนุกเช่นเพลงเรือพร้อมกับเหยียบนวดดินนี้ทำให้โชติระเสต้องหยุดมองอุษามันตรา วาจาของลูกก่อนหน้านี้ที่เขาเคยคิดว่าไม่มีความหมายอะไรมากมาย เป็นเพียงคำพูดของเด็กที่บังเอิญทำให้เขาฉุกคิดได้ซึ่งก็ทำตามบ้างไม่ทำตามบ้าง แต่ในวันนี้... ตอนนี้... เสียงร้องของเด็กน้อยผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขกลับทำให้เขาต้องตระหนัก
โชติระเสตั้งใจฟัง ฟังทุกอย่างให้เข้าไปถึงแก่น ฟังให้เข้าไปถึงหัวใจและส่วนลึก กระทั่งรอบกายเงียบสงัด ทุกสิ่งไม่มีผลต่อความรู้สึก
ภาพหลายอย่างผุดขึ้นนับแต่วันที่คุณพ่อมหิทธิคุณาเสีย เขาผ่านเหตุการณ์ย่ำแย่หลากหลายทั้งในครอบครัวและกิจการ ซึ่งในวันนี้ความย่ำแย่ของกิจการกำลังหมุนเวียนกลับมาเช่นกงล้อบรรจบรอบ หรือจริงแล้ว... ที่ผ่านมามันคือปัญหาที่หมักหมมไว้จนใกล้ปะทุในวันนี้ต่างหาก
เสียงเจื้อยแจ้วช่างจำนรรจ์หลั่งไหลเข้าหัวผสมภาพหลากหลาย โชติระเสยืนนิ่ง ดวงตาของเขามองแผ่นเดิน แต่ความจริงไม่ใช่เลย
เวลาผ่านไปนานเท่าไดไม่ทราบได้ ความกดดันที่แบกไว้ทำให้เขาลืมเวลาเมื่อไตร่ตรอง พี่น้องร่วมพ่อแม่ที่จะช่วยเขาคิดอ่านไม่มีเลย ลูกที่เกิดจากอนุของคุณพ่อก็ไม่มีใครช่วยงานนี้ได้เช่นกัน เพราะถูกกันจากกิจการภายในนับตั้งแต่มีกำหนดให้เขาเป็นผู้รับช่วงต่อ
ตอนนี้... ความรู้สึกของโชติระเสเหมือนดั่งคนตามืดบอด เขามองไม่เห็นหนทางพาทุกคนในมนสิการไปให้ถึงฝั่งและพ้นภัย
“ทุกอย่างมีทางออกเจ้าข้า คุณพ่อ”
เสียงนี้พาเขาออกจากภวังค์ ใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูแต่เปื้อนดินนั้นเงยขึ้น มือเล็กๆ เกาะเกี่ยวมือของเขา รอยยิ้มให้กำลังใจของลูกทำให้ตระหนักว่าที่ผ่านมาเขาช่างโง่เขลาและมืดบอดเหลือเกิน
งานในโรงหล่อทุกขั้นตอน ทุกกรรมวิธีการทำ อุปกรณ์ทุกอย่าง อุษามันตราล้วนจดจำและเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี ทำได้ดีกว่าลูกของเขาทุกคน อดทนกว่าลูกของเขาทุกคนแม้เป็นหญิง จนผู้คนรอบข้างต่างอัศจรรย์ใจกับเด็กน้อยวัยหกขวบผู้เป็นบุตรีคนโตของเขา ทว่าเขาไม่เคยสนใจตรงนี้เลย เขาคิดแค่ว่าอุษามันตราคงเล่นสนุกตามประสาเด็กที่สักวันก็จะเบื่อและเหนื่อยหน่าย บางอย่างในตัวของลูกที่แสดงออกเขาคิดเพียงว่าเป็นเพราะความเฉลียวฉลาดส่อแวว ที่สำคัญคือสุดท้ายแล้วลูกก็ต้องออกเรือนไปอยู่ตระกูลอื่น เขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจนัก
โชติระเสเกลี่ยรอยเปื้อนบนแก้มใสเป็นสีชมพูนี้ด้วยหัวใจอันหนักหน่วง ที่ผ่านมาเขาดูแลลูกชาย ให้ความสนใจลูกชาย ไม่เคยเฉลียวใจหรือให้ความสนใจอุษามันตรามากกว่าที่ควรจะเป็น
เขาพลิกมือของลูก สายตามองดู... มือของลูกด้าน มือของลูกแตกเพราะไม่เกี่ยงงานทุกอย่างในโรงหล่อ มือนี้ไม่นุ่มนิ่มเช่นเด็กวัยเดียวกันทั้งที่อุษามันตราเป็นหญิงและเป็นถึงบุตรีภริยาเอกของเขา
โชติระเสลูบมือลูกไปมา เขารู้ดีว่ารสชาติความเจ็บปวดเมื่อมือแตกเท้าแตกแต่ต้องหยิบจับของเหลวที่แทรกซึมผิวเนื้อนั้นเป็นเช่นไร รสชาติความปวดร้าวยามฝ่าเท้าแตกแต่ต้องเหยียบนวดดินนั้นเป็นเช่นไร ความปวดแสบตรงรอยแผลจนสามารถทำให้กายสั่นได้นั้นมันทรมานมากมายแค่ไหน โดยเฉพาะเวลาที่ขอบเล็บด้านจนปริแต่ต้องขึ้นรูปงานหล่อแล้วมือนั้นคลุกน้ำมูลโคก็เจ็บเหลือประมาณจะกล่าว
ความทรงจำในวัยเด็กของโชติระเสย้อนคืน เขาจ้องเข้าไปในนัยน์ตาของอุษามันตรา ลูกอายุน้อยเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นหญิง แต่กลับไม่เคยปริปากบ่น ความขยันขันแข็งตรงต่อเวลาทำไมเขาจึงมองข้ามมานานนับปี เหตุใดจึงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้กับความคิดว่าลูกเพียงเล่นสนุก และสักวันลูกจะออกเรือน
เป็นเพราะส่วนหนึ่งเขากลบเกลื่อนความรู้สึกผิดในใจตั้งแต่ครั้งนั้นที่เรือนใหญ่ มากกว่านั้นก็คือเขาเชื่อใจวาด เชื่อว่าว่าจะดูแลลูกชายของเขาให้เป็นผู้สืบทอดกิจการโรงหล่อโลหะที่ดีได้ เชื่อว่าคำแนะนำของวาดจะช่วยได้ในเมื่อวาดคือคนรักของเขา ผูกสมัครรักใคร่กันเมื่อย่างเข้าวัยใกล้ออกเรือน
แต่ในเวลานี้... ที่ทุกอย่างได้ผ่านเข้ามามากมาย ทั้งดี... ทั้งร้าย... โดยเฉพาะความผิดในใจของเขาซึ่งกระทำผิดที่ผิดเวลากับอุษามันตราในครั้งนั้น ก็ทำให้ได้คิด
เขาเพิ่งเห็นบางสิ่งที่ลูกพยายามบอกเป็นนัยมาเนิ่นนาน สิ่งที่ลูกทำทุกอย่างเพื่อเขามาตลอด เขาเพิ่งจะได้เห็น เพิ่งจะเห็น...ในวันที่มนสิการอาจย่อยยับไม่มีวันยืนหยัดได้อีกต่อไป
ในใจของโชติระเสสับสนเหลือประมาณ ความละอาย ความกดดัน ทำให้ต้องครุ่นคิดอย่างหนักเมื่อบางสิ่งบางอย่างปรากฏชัดเจน ความเอนเอียงและรักผู้สืบสกุลกำลังทำให้เขาพากิจการดิ่งลงสู่หุบเหวโดยไม่เฉลียวใจ โดยเฉพาะการพนันที่เผลอเข้าไปแตะต้องจนทำให้เสียหายอย่างมิควรจะเป็น เขาเจ็บแค้นตัวเองยิ่งนัก
“คุณพี่เพิ่งกลับมา น้ำเจ้าข้า”
วาดยกน้ำในขันเงินสลักลายนูนสูงให้ สายตาสองพ่อลูกยังมองกันและกัน โชติระเสรับน้ำไว้ในมือ
อุษามันตราพูดว่า “ลูกจะกลับเรือนแล้วเจ้าข้า”
กล่าวจบก็ถอยกลับไปรีดดินเหนียวออกจากเท้าโดยไม่ทักทายใครอีก
โชติระเสหันมามองวาด ความกดดันสับสนเริ่มมากทวี เมื่อเห็นสายตาของวาดยามมองอุษามันตรา สายตาที่ไม่รัก แต่ก็ไม่สนใจ ทั้งที่นั่นคือบุตรีของภริยาเอกของเขา ที่ผ่านมาเขาตามใจวาดโดยละทิ้งประเพณีปฏิบัติด้วยใช่หรือไม่ ที่สุดท้ายคนใต้ปกครองจึงขาดความนับถือ
ก่อนหน้านี้คนในโรงหล่อล้วนมีความภาคภูมิใจในงาน ภาคภูมิใจในภูมิปัญญาและฝีมือตนเอง โดยเฉพาะสิทธิการเข้าออกที่น้อยคนนักจะได้รับ แต่มันเริ่มเสื่อมนับตั้งแต่เขาทำผิดกฎเสียเองใช่หรือไม่ ความยุติธรรมอันปวกเปียกจากผู้นำเช่นเขาใช่หรือไม่ ภาพหลากหลายผุดขึ้นหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว ทั้งดี... และไม่ดี จากการกระทำทั้งหมดที่ผ่านมา
“นายท่านเจ้าข้า แม่จิตราให้มาเรียนนายท่านว่า ได้รับใบบอกความจากนายท่านพะลัญจะคหบดี แห่งพาราณสี ขอนายท่านไปที่เรือนใหญ่แต่ไวเจ้าข้า”
บ่าวชายรายงาน ทางเรือนใหญ่ยังคงปฏิบัติตัวเช่นเดิมไม่เปลี่ยน คือไม่เคยเข้ามาก้าวก่าย ไม่เคยย่างกรายเข้ามาล้ำเส้นเงาหลังคาของโรงหล่อโลหะแม้จะเป็นแม่นายใหญ่ของมนสิการแล้วก็ตาม ประเพณีปฏิบัติ... ตยาวดีหรือแม้แต่จิตรายังคงเคร่งครัดไม่เปลี่ยน
น่าสมเพช... ที่ตัวเขากลับละเมิดเสียเอง ความมัวเมาลุ่มหลงในอบายทำให้เขาจมสู่อเวจีแม้ยังหายใจอยู่
การรับรู้ลมหายใจร้อนผ่าวของตนเองและตกใจตื่นกลางดึกในทุกค่ำคืนที่เกิดจากความหวาดผวาเพราะหนี้สินที่ถลำลึกจากการเชื่อคำของวาดไม่ได้น่าพิสมัย รสชาติของคนเป็นลูกหนี้ที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เจอหลอกหลอนทุกค่ำคืน เพียงแค่สองปีกว่าๆ เขาก็ทำให้มนสิการเสื่อมถอยได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ และแม้ว่าขณะนี้มิใช่ยามค่ำคืน เป็นเวลากลางวัน แต่เขาก็ร้อนรน หาสุขไม่ได้เลย เมื่อต้องเผชิญการทวงหนี้เกือบทุกเพลา ซึ่งไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดแก่ตนเอง
โชติระเสมองหน้าอุษามันตราโดยไม่ได้ตั้งใจ ลูกกำลังมองเขาอยู่ ก่อนจะเดินก้มหน้าไปทางเรือนใหญ่ เขาได้แต่มองตามแผ่นหลังของลูกด้วยความคิดและความรู้สึกหลากหลายที่ประดังประเด
สายตาเมื่อครู่ของอุษามันตราทำให้เขาหายใจไม่ออก สายตา...ที่บอกว่าลูกรออยู่ และไม่ทิ้งเขาไปไหน ขอเพียงเขาเชื่อใจ ลูกจะช่วยเหลือเขาทุกอย่าง
โชติระเสพยายามสะบัดความคิดนี้ทิ้ง บอกตัวเองว่าอุษามันตราอายุเพียงแค่หกขวบเท่านั้น การตำหนิผ่านสายตา ความหมายที่แสดงผ่านสายตา จะเป็นไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ เด็กจะสามารถแสดงออกได้อย่างชัดเจนและแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อได้สื่อให้ทราบถึงบางอย่างตามที่ใจต้องการโดยคนรอบข้างไม่อาจรับรู้นอกจากเป้าหมายที่ลูกเพ่งเล็ง
ทว่าจริงแล้ว เมื่อตอนลูกสี่ขวบ ลูกก็ได้ด่าทอเขาอย่างเจ็บแสบมาครั้งหนึ่งมิใช่หรือ ด่าทอต่อว่าโดยไม่มีคำพูดใดๆ นอกจากคำอธิบายที่เขายังจำได้ไม่ลืม สายตาจ้องมองเมื่อครั้งนั้นประหนึ่งทุบตีเขาจนร้าวลึกเข้าไปถึงหัวใจ ลึก...จนสิ่งที่เห็นไม่เคยเลือนหายยามประหวัดใจถึง เขารู้ว่าผิดพลาดมากเพียงใดในครั้งนั้น ความรู้สึกผิด ละอาย แต่ไม่รู้จะเอ่ยอย่างไรยังอยู่ในความทรงจำตลอดมา โชติระเสคืนขันน้ำให้วาดโดยไม่ได้ดื่ม
“พวกเจ้าออกไปให้หมด”
เขาสั่งบ่าวและคนงานที่อยู่ในบริเวณนี้ บ่าวใกล้ชิดวาดรับขันน้ำและออกไปพร้อมๆ กันทุกคน เหลือเพียงโชติระเสและวาดสองคนในบริเวณ
“นับจากนี้เป็นต้นไป น้องเจ้าอย่าได้เข้ามาที่โรงหล่อตามธรรมเนียมเดิมที่เคยปฏิบัติ”
วาดหน้าเสีย “เหตุใดหรือเจ้าข้าคุณพี่ น้องทำสิ่งใดผิดรึ”
“เจ้าหาได้ทำสิ่งใดผิดไปดอกแม่วาด เป็นตัวพี่เอง ที่ผิดมาเนิ่นนานนับแต่คุณพ่อท่านสิ้นบุญ”
“น้องมิแจ้งใจเจ้าข้า”
“ประเพณีปฏิบัติของมนสิการคือห้ามหญิงคนใดเข้ามาภายในโรงหล่อเป็นอันเด็ดขาด ยกเว้นสายเลือดของมนสิการที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แลนั่นจึงเป็นเหตุให้มนสิการกำลังจะพินาศด้วยมือพี่ เจ้ารู้หรือไม่”
น้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่มีความฉุนเฉียวของโชติระเสกลับทำให้วาดใจสั่น หล่อนรู้ว่าที่นี่กำลังมีปัญหา และรู้เรื่องกฎข้อนี้ดี หล่อนไม่ได้เอ่ยขัดจังหวะ ทำเพียงแต่ฟังสิ่งที่โชติระเสพูดต่อ