ที่มา: หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556
ห่วงคนไทยพบตัวเลขฆ่าตัวตายพุ่ง เฉลี่ย 2 ชม. ต่อ 1 คน เหตุเจอภาวะปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองรุมเร้า ชี้เหนือฆ่าตัวสูงสุด น่านอันดับ 1 ส่วนภาคอีสาน ขอนแก่นมากสุด
ปัญหาการฆ่าตัวตายของคนไทยเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายกำลังให้ความสนใจอย่างมาก เพราะจากการสำรวจข้อมูลสถิติ พบว่า คนไทยมีแนวโน้มฆ่าตัวตายสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 6 กันยายน นพ.อภิชัย มงคล ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขต 7 กล่าวว่า นับเป็นปีที่ 10 ที่กระทรวงสาธารณสุขรณรงค์เพื่อให้คนไทยตระหนักถึงปัญหาการฆ่าตัวตายว่า สามารถป้องกันได้ โดยที่ผ่านมาองค์การอนามัยโลกประมาณการไว้ว่า ในแต่ละปีจะมีคน 1 ล้านคนเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย นอกจากนี้ยังคาดการณ์ไว้ว่า ในปี ค.ศ. 2020 หรือปี พ.ศ. 2563 จะมีคนเสียชีวิตด้วยปัญหาดังกล่าว 1.53 ล้านคน และที่ผ่านมาสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายของอเมริกาประมาณอัตราส่วนของผู้ที่พยายามทำร้ายตัวเองแต่ไม่สำเร็จมีสูงกว่าผู้ที่ทำสำเร็จถึง 25 เท่าตัว ซึ่งปัญหานี้ยังส่งผลกระทบถึงครอบครัวและผู้คนรอบข้างอีกประมาณ 5-10 ล้านคนในแต่ละปี
นพ.อภิชัย กล่าวว่า กรมสุขภาพจิตดำเนินการโครงการป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตายตั้งแต่ปี 2544 ทำให้อัตราการฆ่าตัวตายลดลงตามลำดับ จากอัตราการฆ่าตัวตาย 8.59 ในปี 2542 ลดลงถึง 5.7 ในปี 2549 แต่สำหรับปี 2555 ผลกระทบจากภาวการณ์เปลี่ยนแปลงด้านสังคม เศรษฐกิจ และการมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันทางการเมือง ส่งผลให้อัตราการฆ่าตัวตายสูงขึ้นเป็น 6.20 ต่อประชากรแสนคน แสดงให้เห็นว่า ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จมาถึง 3,985 คน คิดเฉลี่ยในแต่ละเดือนจะมีการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นเดือนละ 332 คน
ทั้งนี้ หากคำนวณเป็นรายวัน แสดงว่า ในแต่ละวันทั่วประเทศจะมีคนฆ่าตัวตายวันละ 10-12 คน หรือทุกๆ สองชั่วโมงมีคนไทยฆ่าตัวตายสำเร็จ 1 คน วัยแรงงานยังคงเป็นช่วงอายุที่มีคนฆ่าตัวตายสูงสุด ในช่วง 30-34 ปี รองลงมาคือ 35-39 ปี และ 25-29 ปีตามลำดับ และที่น่าตกใจคือ กลุ่มอายุ 70 ปีขึ้นไปมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าตัวชี้วัดที่ประเทศกำหนด คือ อยู่ระหว่าง 10.11-11.07 ต่อประชากรแสนคน
ส่วนอาชีพกลุ่มผู้ใช้แรงงาน เป็นกลุ่มที่มีจำนวนของผู้ที่ฆ่าตัวตายมากกว่ากลุ่มอื่นๆ และมีการขยับจำนวนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2554 ถึงร้อยละ 3.4 โดยภาคเหนือเป็นภูมิภาคที่มีอุบัติการณ์ของการฆ่าตัวตายมากกว่าภาคอื่นๆ จังหวัดที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุดของประเทศคือ จ.น่าน รองลงมาคือ เชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ สิงห์บุรี ตราด ลำพูน พะเยา และอุทัยธานี
"ขณะที่ภาคอีสาน จากการดำเนินการให้บริการด้านสุขภาพจิตและจิตเวชในเครือข่ายร้อยแก่นสารสินธุ์ พบว่า อัตราการฆ่าตัวตายในภาพรวมของเขตภาคอีสานในปี 2555 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 4.20 ต่อประชากรแสนคนจากปี พ.ศ. 2554 (เท่ากับ 3.97 ต่อประชากรแสนคน) โดยจังหวัดที่มีประชากรฆ่าตัวตายในจังหวัดมากเป็นอันดับแรกของเครือข่ายคือ จ.ขอนแก่น อัตรา 4.46 ต่อประชากรแสนคน ถึงแม้ว่าสถิติดังกล่าวไม่เกินกว่าค่าเป้าหมายที่กำหนด (อัตราค่าเป้าหมายคือ 6.5 ต่อแสนประชากร) แต่การฆ่าตัวตายยังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจ เพราะการฆ่าตัวตายแต่ละครั้งเกิดผลกระทบและสร้างความสูญเสียอย่างต่อเนื่อง และขยายวงกว้างไปถึงครอบครัว ชุมชน และสังคม" นพ.อภิชัย กลาว
เครียดปากท้อง ไทยฆ่าตัวพุ่ง 2 ชั่วโมงตาย 1 น่านยอดสูงสุด
ห่วงคนไทยพบตัวเลขฆ่าตัวตายพุ่ง เฉลี่ย 2 ชม. ต่อ 1 คน เหตุเจอภาวะปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองรุมเร้า ชี้เหนือฆ่าตัวสูงสุด น่านอันดับ 1 ส่วนภาคอีสาน ขอนแก่นมากสุด
ปัญหาการฆ่าตัวตายของคนไทยเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายกำลังให้ความสนใจอย่างมาก เพราะจากการสำรวจข้อมูลสถิติ พบว่า คนไทยมีแนวโน้มฆ่าตัวตายสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 6 กันยายน นพ.อภิชัย มงคล ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขต 7 กล่าวว่า นับเป็นปีที่ 10 ที่กระทรวงสาธารณสุขรณรงค์เพื่อให้คนไทยตระหนักถึงปัญหาการฆ่าตัวตายว่า สามารถป้องกันได้ โดยที่ผ่านมาองค์การอนามัยโลกประมาณการไว้ว่า ในแต่ละปีจะมีคน 1 ล้านคนเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย นอกจากนี้ยังคาดการณ์ไว้ว่า ในปี ค.ศ. 2020 หรือปี พ.ศ. 2563 จะมีคนเสียชีวิตด้วยปัญหาดังกล่าว 1.53 ล้านคน และที่ผ่านมาสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายของอเมริกาประมาณอัตราส่วนของผู้ที่พยายามทำร้ายตัวเองแต่ไม่สำเร็จมีสูงกว่าผู้ที่ทำสำเร็จถึง 25 เท่าตัว ซึ่งปัญหานี้ยังส่งผลกระทบถึงครอบครัวและผู้คนรอบข้างอีกประมาณ 5-10 ล้านคนในแต่ละปี
นพ.อภิชัย กล่าวว่า กรมสุขภาพจิตดำเนินการโครงการป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตายตั้งแต่ปี 2544 ทำให้อัตราการฆ่าตัวตายลดลงตามลำดับ จากอัตราการฆ่าตัวตาย 8.59 ในปี 2542 ลดลงถึง 5.7 ในปี 2549 แต่สำหรับปี 2555 ผลกระทบจากภาวการณ์เปลี่ยนแปลงด้านสังคม เศรษฐกิจ และการมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันทางการเมือง ส่งผลให้อัตราการฆ่าตัวตายสูงขึ้นเป็น 6.20 ต่อประชากรแสนคน แสดงให้เห็นว่า ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จมาถึง 3,985 คน คิดเฉลี่ยในแต่ละเดือนจะมีการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นเดือนละ 332 คน
ทั้งนี้ หากคำนวณเป็นรายวัน แสดงว่า ในแต่ละวันทั่วประเทศจะมีคนฆ่าตัวตายวันละ 10-12 คน หรือทุกๆ สองชั่วโมงมีคนไทยฆ่าตัวตายสำเร็จ 1 คน วัยแรงงานยังคงเป็นช่วงอายุที่มีคนฆ่าตัวตายสูงสุด ในช่วง 30-34 ปี รองลงมาคือ 35-39 ปี และ 25-29 ปีตามลำดับ และที่น่าตกใจคือ กลุ่มอายุ 70 ปีขึ้นไปมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าตัวชี้วัดที่ประเทศกำหนด คือ อยู่ระหว่าง 10.11-11.07 ต่อประชากรแสนคน
ส่วนอาชีพกลุ่มผู้ใช้แรงงาน เป็นกลุ่มที่มีจำนวนของผู้ที่ฆ่าตัวตายมากกว่ากลุ่มอื่นๆ และมีการขยับจำนวนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2554 ถึงร้อยละ 3.4 โดยภาคเหนือเป็นภูมิภาคที่มีอุบัติการณ์ของการฆ่าตัวตายมากกว่าภาคอื่นๆ จังหวัดที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุดของประเทศคือ จ.น่าน รองลงมาคือ เชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ สิงห์บุรี ตราด ลำพูน พะเยา และอุทัยธานี
"ขณะที่ภาคอีสาน จากการดำเนินการให้บริการด้านสุขภาพจิตและจิตเวชในเครือข่ายร้อยแก่นสารสินธุ์ พบว่า อัตราการฆ่าตัวตายในภาพรวมของเขตภาคอีสานในปี 2555 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 4.20 ต่อประชากรแสนคนจากปี พ.ศ. 2554 (เท่ากับ 3.97 ต่อประชากรแสนคน) โดยจังหวัดที่มีประชากรฆ่าตัวตายในจังหวัดมากเป็นอันดับแรกของเครือข่ายคือ จ.ขอนแก่น อัตรา 4.46 ต่อประชากรแสนคน ถึงแม้ว่าสถิติดังกล่าวไม่เกินกว่าค่าเป้าหมายที่กำหนด (อัตราค่าเป้าหมายคือ 6.5 ต่อแสนประชากร) แต่การฆ่าตัวตายยังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจ เพราะการฆ่าตัวตายแต่ละครั้งเกิดผลกระทบและสร้างความสูญเสียอย่างต่อเนื่อง และขยายวงกว้างไปถึงครอบครัว ชุมชน และสังคม" นพ.อภิชัย กลาว