การชุมนุมเรียกร้องของชาวสวนยางพารา ขอให้รัฐบาลช่วยเหลือราคายางและปาล์มน้ำมันที่ตกต่ำ
ยางแผ่นรมควันชั้น 3 ขอราคากิโลกรัมละ 101 บาท
ยางแผ่นดิบขอราคากิโลกรัมละ 92 บาท
น้ำยางสด ขอราคากิโลกรัมละ 81 บาท
ส่วนปาล์มน้ำมันขอราคากิโลกรัมละ 7 บาท
วิธีการช่วยเหลือด้านราคาที่ชาวบ้านนำเสนอ เช่น การชดเชยส่วนต่างราคาในท้องตลาดกับราคาที่เป็นข้อเรียกร้องของชาวสวนยาง ยกตัวอย่าง หากราคายางแผ่นดิบอยู่ที่ 72 บาทต่อกิโลกรัม แต่ราคาข้อเรียกร้องอยู่ที่ 92 บาทต่อกิโลกรัม รัฐบาลก็ต้องจ่ายเงินชดเชยเพิ่มเติมราคาให้กับเกษตรกิโลกรัมละ 20 บาท (คิดจาก 92–72 = 20) เป็นต้น
1) วิธีการชดเชยเช่นนี้ หากรัฐบาลต้องการจะช่วยเหลือชาวสวนยางทั่วประเทศ โดยยอมรับราคาตามที่ชาวสวนยางเรียกร้องจริงๆ ก็จะใช้เงินดำเนินการน้อยกว่างบประมาณที่ใช้ในโครงการรับจำนำข้าวมากมาย
คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณเงินที่ขาดทุนไปกับโครงการรับจำนำข้าวในแต่ละปี
โดยถ้าชดเชยราคายางกิโลกรัมละ 20 บาท หากช่วยเหลือยางสัก 2 ล้านตัน ก็จะใช้เงินประมาณ 40,000 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น
2) ปรากฏว่า ฝ่ายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยืนกระต่ายขาเดียว
เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา มีมติคณะรัฐมนตรีออกมาว่า จะให้ความช่วยเหลือค่าปัจจัยการผลิตเป็นเงินสด ผ่านบัญชีธนาคาร
เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. แก่เกษตรกรที่มีเอกสารสิทธิ ในอัตราไร่ละ 1,260 บาท รายละไม่เกิน 10 ไร่ และให้สินเชื่อสนับสนุนโรงงานแปรรูปยางพาราอีกส่วนหนึ่ง
การส่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง เดินทางไปเจรจากับแกนนำกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางที่ภาคใต้เมื่อวันที่ 4 กันยายน ก็เป็นเพียงพิธีกรรม เพราะ พล.ต.ต.ธวัช ไม่มีอำนาจตัดสินใจหรือต่อรองราคาข้อเรียกร้องกับชาวสวนยางเลย จึงมีแต่เพียงอ้างว่ารับเรื่องไป ส่วนแนวทางของรัฐบาลก็ยังยืนยันมติตามเดิมที่จะไม่ช่วยเหลือด้านราคาแก่เกษตรกร
ในที่สุด ชาวสวนยางที่อดทนอดกลั้นกับราคาตกต่ำมากว่าสองปี ก็ถูกกระทำเหมือนเด็กๆ ที่ฝ่ายรัฐบาลหลอกล่อ ปั่นหัว ซื้อเวลาไปเรื่อยๆ ในขณะที่ข้อเรียกร้องความช่วยเหลือด้านราคาไม่ได้รับการตอบสนองเลย
3) ทำไมชาวสวนยางไม่ยอมรับค่าปัจจัยการผลิตแทนการชดเชยราคายาง?
ประการแรก ค่าปัจจัยการผลิต เป็นการจ่ายครั้งเดียว
แทบไม่ต่างกับเงินฟาดหัว
ประการที่สอง เมื่อจ่ายเป็นค่าปัจจัยการผลิต ก็เท่ากับว่าจะได้รับเฉพาะเจ้าของสวนยาง แต่คนกรีดยางที่เป็นแรงงานและกึ่งๆ หุ้นส่วนสำคัญของการทำสวนยางจะไม่ได้รับความช่วยเหลือนี้ด้วย ซึ่งโดยปกติ เขาจะมีการแบ่งรายได้คิดจากราคายาง ระหว่างชาวสวนยางกับคนกรีดยางที่ 60/40
เหมือนกับว่า จะลอยแพคนกรีดยาง ซึ่งถ้าราคายางยังตกต่ำ ไม่ได้รับการชดเชยด้านราคายาง คนกรีดยางเขาก็จะได้ส่วนแบ่งจากราคาที่ต่ำเตี้ยต่อไปตามเดิม
ประการที่สาม ชาวสวนยางที่ไม่มีเอกสารสิทธิที่ดินจะไม่สามารถได้รับความช่วยเหลือตามแบบที่รัฐบาลยื่นกลับมา ก็จะถูกลอยแพไปอีก
ประการสุดท้าย ข้อเรียกร้องราคา 92 บาทต่อ กก. กับสิ่งที่รัฐบาลยื่นให้ คือ 1,260 บาทต่อไร่ (รายละไม่เกิน 10 ไร่) มูลค่า
ผลประโยชน์แตกต่างกันมาก
ถ้ารัฐบาลรับประกันราคา ชาวสวนยางจะมั่นใจแน่นอนว่าได้ราคาไม่น้อยกว่า 92 บาทต่อกิโล ซึ่งถ้าเมื่อใดราคาตลาดโลกกระเตื้องขึ้น หรือขยับขึ้นไปอย่างคำคุยของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่เคยบอกว่าจะดันราคา 120 บาทต่อกิโลเมื่อไหร่ รัฐบาลก็ไม่ต้องจ่ายเงินช่วยเกษตรกร แต่เกษตรกรชาวสวนยางจะยืนด้วยตัวเองได้อย่างที่เคยลืมตาอ้าปากได้ในช่วงรัฐบาลที่แล้ว (เคยราคาสูงเกิน 180 บาทต่อกิโล)
ยิ่งกว่านั้น ถ้าคำนวณผลประโยชน์ต่อไร่ จะพบว่า หากได้ราคายาง 92 บาทต่อกิโล กรีดยางไม่กี่สัปดาห์ ก็จะได้รับค่ายางที่มีมูลค่าผลประโยชน์สูงกว่าการก้มหน้ารับความช่วยเหลือที่ไร่ละ 1,260 บาท
4) ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกใจที่ชาวสวนยางจะไม่ยอมรับค่าปัจจัยการผลิต แทนการช่วยเหลือด้านราคา
โดยเฉพาะชาวสวนยางทางภาคใต้ ซึ่งมีค่าครองชีพพุ่งสูง และสวนยางเป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่ หล่อเลี้ยงครอบครัวชาวใต้นับล้านครัวเรือน
น่าสนใจว่า เมื่อข้อเรียกร้องถูกลอยแพ รัฐบาลทำเสมือนไม่สนใจไยดี
คล้ายๆ ที่รองนายกฯ คนหนึ่งในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เคยพูดถึงกรณีไม่สร้างศูนย์ประชุมนานาชาติภูเก็ตไว้ก่อนหน้านี้ว่า “ไม่มีอารมณ์ไปทำให้ รอจนกว่าจะเลือกคนของพรรคเพื่อไทย”
สถานการณ์หลังจากนี้ จึงต้องจับตามองอารมณ์โกรธแค้นของชาวสวนยางพารา เมื่อความเดือดร้อนไม่ได้รับการแก้ไข ข้อเรียกร้องถูกเมินเฉย ถูกล่อหลอกไปเรื่อยๆ
ขอราคายาง แต่ได้ค่าปัจจัยการผลิต ซึ่งเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ร้องขอ
แตกต่างกับความช่วยเหลือที่รัฐบาลยื่นให้ชาวนาซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียง ของพรรคเพื่อไทย
หลังจากนี้ มีความเป็นไปได้มากว่าชาวสวนยางที่คับแค้นใจ เดือดร้อนจริงๆ และต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือพวกเขาจริงๆ คงจะหาทางออกให้กับตัวเอง เพื่อแสดงให้รัฐบาลรู้ และเห็นพวกเขาอยู่ในสายตาบ้าง
หากเกิดปรากฏการณ์ดาวกระจาย หรือเกิดภาวะโกลาหล ชาวสวนยางในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ของภาคใต้ลุกฮือ ปิดถนน ปิดสถานที่ราชการ สถานที่สำคัญ ก็ไม่ต้องแปลกใจอะไรเลย
เพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์เหมือนกรีดหัวใจคนสวนยาง!
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/8467
ปล.แบบนี้แหล่ะครับที่เขาเรียก 2 มาตรฐาน ที่แท้จริง....เอิ๊ก ๆ ๆ
ขอราคายาง ให้ค่าปัจจัยการผลิต รัฐบาลยิ่งลักษณ์กรีดใจคนสวนยาง!
ยางแผ่นรมควันชั้น 3 ขอราคากิโลกรัมละ 101 บาท
ยางแผ่นดิบขอราคากิโลกรัมละ 92 บาท
น้ำยางสด ขอราคากิโลกรัมละ 81 บาท
ส่วนปาล์มน้ำมันขอราคากิโลกรัมละ 7 บาท
วิธีการช่วยเหลือด้านราคาที่ชาวบ้านนำเสนอ เช่น การชดเชยส่วนต่างราคาในท้องตลาดกับราคาที่เป็นข้อเรียกร้องของชาวสวนยาง ยกตัวอย่าง หากราคายางแผ่นดิบอยู่ที่ 72 บาทต่อกิโลกรัม แต่ราคาข้อเรียกร้องอยู่ที่ 92 บาทต่อกิโลกรัม รัฐบาลก็ต้องจ่ายเงินชดเชยเพิ่มเติมราคาให้กับเกษตรกิโลกรัมละ 20 บาท (คิดจาก 92–72 = 20) เป็นต้น
1) วิธีการชดเชยเช่นนี้ หากรัฐบาลต้องการจะช่วยเหลือชาวสวนยางทั่วประเทศ โดยยอมรับราคาตามที่ชาวสวนยางเรียกร้องจริงๆ ก็จะใช้เงินดำเนินการน้อยกว่างบประมาณที่ใช้ในโครงการรับจำนำข้าวมากมาย
คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณเงินที่ขาดทุนไปกับโครงการรับจำนำข้าวในแต่ละปี
โดยถ้าชดเชยราคายางกิโลกรัมละ 20 บาท หากช่วยเหลือยางสัก 2 ล้านตัน ก็จะใช้เงินประมาณ 40,000 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น
2) ปรากฏว่า ฝ่ายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยืนกระต่ายขาเดียว
เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา มีมติคณะรัฐมนตรีออกมาว่า จะให้ความช่วยเหลือค่าปัจจัยการผลิตเป็นเงินสด ผ่านบัญชีธนาคาร
เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. แก่เกษตรกรที่มีเอกสารสิทธิ ในอัตราไร่ละ 1,260 บาท รายละไม่เกิน 10 ไร่ และให้สินเชื่อสนับสนุนโรงงานแปรรูปยางพาราอีกส่วนหนึ่ง
การส่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง เดินทางไปเจรจากับแกนนำกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางที่ภาคใต้เมื่อวันที่ 4 กันยายน ก็เป็นเพียงพิธีกรรม เพราะ พล.ต.ต.ธวัช ไม่มีอำนาจตัดสินใจหรือต่อรองราคาข้อเรียกร้องกับชาวสวนยางเลย จึงมีแต่เพียงอ้างว่ารับเรื่องไป ส่วนแนวทางของรัฐบาลก็ยังยืนยันมติตามเดิมที่จะไม่ช่วยเหลือด้านราคาแก่เกษตรกร
ในที่สุด ชาวสวนยางที่อดทนอดกลั้นกับราคาตกต่ำมากว่าสองปี ก็ถูกกระทำเหมือนเด็กๆ ที่ฝ่ายรัฐบาลหลอกล่อ ปั่นหัว ซื้อเวลาไปเรื่อยๆ ในขณะที่ข้อเรียกร้องความช่วยเหลือด้านราคาไม่ได้รับการตอบสนองเลย
3) ทำไมชาวสวนยางไม่ยอมรับค่าปัจจัยการผลิตแทนการชดเชยราคายาง?
ประการแรก ค่าปัจจัยการผลิต เป็นการจ่ายครั้งเดียว
แทบไม่ต่างกับเงินฟาดหัว
ประการที่สอง เมื่อจ่ายเป็นค่าปัจจัยการผลิต ก็เท่ากับว่าจะได้รับเฉพาะเจ้าของสวนยาง แต่คนกรีดยางที่เป็นแรงงานและกึ่งๆ หุ้นส่วนสำคัญของการทำสวนยางจะไม่ได้รับความช่วยเหลือนี้ด้วย ซึ่งโดยปกติ เขาจะมีการแบ่งรายได้คิดจากราคายาง ระหว่างชาวสวนยางกับคนกรีดยางที่ 60/40
เหมือนกับว่า จะลอยแพคนกรีดยาง ซึ่งถ้าราคายางยังตกต่ำ ไม่ได้รับการชดเชยด้านราคายาง คนกรีดยางเขาก็จะได้ส่วนแบ่งจากราคาที่ต่ำเตี้ยต่อไปตามเดิม
ประการที่สาม ชาวสวนยางที่ไม่มีเอกสารสิทธิที่ดินจะไม่สามารถได้รับความช่วยเหลือตามแบบที่รัฐบาลยื่นกลับมา ก็จะถูกลอยแพไปอีก
ประการสุดท้าย ข้อเรียกร้องราคา 92 บาทต่อ กก. กับสิ่งที่รัฐบาลยื่นให้ คือ 1,260 บาทต่อไร่ (รายละไม่เกิน 10 ไร่) มูลค่า
ผลประโยชน์แตกต่างกันมาก
ถ้ารัฐบาลรับประกันราคา ชาวสวนยางจะมั่นใจแน่นอนว่าได้ราคาไม่น้อยกว่า 92 บาทต่อกิโล ซึ่งถ้าเมื่อใดราคาตลาดโลกกระเตื้องขึ้น หรือขยับขึ้นไปอย่างคำคุยของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่เคยบอกว่าจะดันราคา 120 บาทต่อกิโลเมื่อไหร่ รัฐบาลก็ไม่ต้องจ่ายเงินช่วยเกษตรกร แต่เกษตรกรชาวสวนยางจะยืนด้วยตัวเองได้อย่างที่เคยลืมตาอ้าปากได้ในช่วงรัฐบาลที่แล้ว (เคยราคาสูงเกิน 180 บาทต่อกิโล)
ยิ่งกว่านั้น ถ้าคำนวณผลประโยชน์ต่อไร่ จะพบว่า หากได้ราคายาง 92 บาทต่อกิโล กรีดยางไม่กี่สัปดาห์ ก็จะได้รับค่ายางที่มีมูลค่าผลประโยชน์สูงกว่าการก้มหน้ารับความช่วยเหลือที่ไร่ละ 1,260 บาท
4) ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกใจที่ชาวสวนยางจะไม่ยอมรับค่าปัจจัยการผลิต แทนการช่วยเหลือด้านราคา
โดยเฉพาะชาวสวนยางทางภาคใต้ ซึ่งมีค่าครองชีพพุ่งสูง และสวนยางเป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่ หล่อเลี้ยงครอบครัวชาวใต้นับล้านครัวเรือน
น่าสนใจว่า เมื่อข้อเรียกร้องถูกลอยแพ รัฐบาลทำเสมือนไม่สนใจไยดี
คล้ายๆ ที่รองนายกฯ คนหนึ่งในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เคยพูดถึงกรณีไม่สร้างศูนย์ประชุมนานาชาติภูเก็ตไว้ก่อนหน้านี้ว่า “ไม่มีอารมณ์ไปทำให้ รอจนกว่าจะเลือกคนของพรรคเพื่อไทย”
สถานการณ์หลังจากนี้ จึงต้องจับตามองอารมณ์โกรธแค้นของชาวสวนยางพารา เมื่อความเดือดร้อนไม่ได้รับการแก้ไข ข้อเรียกร้องถูกเมินเฉย ถูกล่อหลอกไปเรื่อยๆ
ขอราคายาง แต่ได้ค่าปัจจัยการผลิต ซึ่งเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ร้องขอ
แตกต่างกับความช่วยเหลือที่รัฐบาลยื่นให้ชาวนาซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียง ของพรรคเพื่อไทย
หลังจากนี้ มีความเป็นไปได้มากว่าชาวสวนยางที่คับแค้นใจ เดือดร้อนจริงๆ และต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือพวกเขาจริงๆ คงจะหาทางออกให้กับตัวเอง เพื่อแสดงให้รัฐบาลรู้ และเห็นพวกเขาอยู่ในสายตาบ้าง
หากเกิดปรากฏการณ์ดาวกระจาย หรือเกิดภาวะโกลาหล ชาวสวนยางในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ของภาคใต้ลุกฮือ ปิดถนน ปิดสถานที่ราชการ สถานที่สำคัญ ก็ไม่ต้องแปลกใจอะไรเลย
เพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์เหมือนกรีดหัวใจคนสวนยาง!
ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/8467
ปล.แบบนี้แหล่ะครับที่เขาเรียก 2 มาตรฐาน ที่แท้จริง....เอิ๊ก ๆ ๆ