เอามาฝากเพื่อนๆคับ เห็นว่ามีประโชขน์มากสิ่งที่นักลงทุนควรรู้ ใครอ่านแล้ว หรือมีใครลงไปแล้วก็ขออภัยด้วยคับ
จาก: FBวรวรรณ ธาราภูมิ
เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยบวกร้อนแรงที่สุดในบรรดาตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย บวกไปมากถึง 29.40 จุด ทะลุแนวต้าน 1,300 จุด (ที่นักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์หลายรายพูดไว้ก่อนเปิดตลาดเช้าวานนี้ชี้เอาไว้ว่าผ่านยาก) ไปปิดที่ 1,323.70 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขาย 34,212.63 ล้านบาท
หากคาดเดาไม่ผิด นักวิเคราะห์ของหลายสำนัก จะออกมาประกาศมุมมองของพวกเขาในฐานะศาสดาจอมปลอมของตลาดหุ้นไทยว่า การขึ้นของตลาดเมื่อวานนี้ยังคงเปราะบาง และต่างชาติยังคงขายต่อเนื่อง เพราะมีมูลค่าซื้อขายต่ำเกินไปที่จะดันตลาดเพิ่มขึ้นยาวนาน จึงจะมีคำแนะนำใหม่อีกว่า หากบ่ายวันนี้ ไม่สามารถผ่านแนวต้านที่ 1,340 จุดไปได้ ก็ให้ขายทำกำไรระยะสั้นออกไปก่อน
การให้เหตุผลดังกล่าว จะมีปรากฏการณ์ตามมาในช่วงเช้าหรือบ่ายที่การทะยานขึ้นของดัชนีตลาดมีความผันผวนตลอดวัน แล้วแก๊ง 4 โมงเย็น ก็จะออกมาอาละวาดทุบหุ้นให้ติดลบ หรือบวกเล็กน้อย เพื่อที่จะแนะขายวันต่อไปให้สอดรับกับคำพยากรณ์แบบนอสตราดามุสว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีทิศทางเป็นขาลงต่อไป
เพื่อไม่ให้เป็นการกล่าวหาหรือตั้งหน้าตั้งตามีอคติกับเทรดเดอร์ของพอร์ตโบรกเกอร์ หรือพร็อพเทรด มากเกินขนาด อยากจะยกข้อมูลการซื้อขายเมื่อวานนี้มาให้พิจารณาประกอบจะเห็นได้ชัดเจนว่า เมื่อวานนี้ พอร์ตโบรกเกอร์กับกองทุนรวมที่ซื้อสุทธิ ในขณะที่กองทุนต่างชาติและนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ
จากสถิติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า พฤติกรรมการซื้อขายประจำวันของพอร์ตโบรกเกอร์ และนักลงทุนรายย่อยนั้น ค่อนข้างสวนทางกันสม่ำเสมอ มีน้อยมากที่จะไปในทิศทางเดียวกัน ดังเช่นในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ พอร์ตโบรกเกอร์ขายทุกวัน รายย่อยก็ซื้อทุกวัน
พฤติกรรมเช่นนี้ สะท้อนว่า โดยพฤติกรรมจริงของการซื้อขายแล้ว พอร์ตโบรกเกอร์คือศัตรูโดยธรรมชาติของนักลงทุนรายย่อย เพราะมีผลประโยชน์ตรงกันข้ามกัน
มองในระยะยาวก็จะเห็นข้อเท็จจริงได้ชัดยิ่งขึ้น นับแต่ต้นปีมาจนถึงล่าสุดปิดตลาดวานนี้ กองทุนรวมซื้อสุทธิ 7.2 หมื่นกว่าล้านบาท และรายย่อยซื้อสุทธิ 5.5 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ต่างชาติและพอร์ตโบรกเกอร์ กลายเป็นผู้ขายสุทธิ กรณีของต่างชาติไม่ใช่ปัญหาเป็นเรื่องเข้าใจท่าทีได้ แต่พอร์ตโบรกเกอร์ที่สวมรอยขายสุทธิรวมกันแล้ว 9.8 พันล้านบาท แล้วก็ทำกำไรจากพอร์ตซื้อขายกันเกือบทุกบริษัท ชี้ให้เห็นว่า พวกเขาคือพันธมิตรของกองทุนต่างชาติเหนียวแน่น
ข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า นักวิเคราะห์ที่พากันโหมประโคมป่าวร้องในช่วงหุ้นตกหนักว่าเป็นเพราะความเสี่ยงจากทุนเก็งกำไรต่างชาติเคลื่อนย้าย หรือ Fund-flow risk นั้น เอาเข้าจริงก็เพื่อปฏิบัติภารกิจ “ขโมยร้องจับขโมย” ให้สมบทบาท เพื่อจะโยนความผิดให้กับกองทุนต่างชาติ ปล่อยให้พวกของตนเองที่เป็นเทรดเดอร์นั่งทำกำไรจากการทุบหุ้นร่วมกับต่างชาติลอยนวลกัน แล้วก็แอบหัวเราะเวลาที่บรรดานักลงทุยรายย่อยพากันติดหุ้นระนาว ทั้งที่หากพิจารณาโดยข้อเท็จจริงแล้ว พวกเขาอยู่ในฐานะที่จะทำได้ในการกระทำที่สร้างสรรค์มากกว่านี้
สำหรับนักบริหารสถานการณ์ทุกชนิด (รวมทั้งพอร์ตลงทุนเก็งกำไร) มีหลักการข้อหนึ่งที่พูดกันพร่ำเพรื่อเสมอมา คือคำว่า “ความพยายามอย่างดีที่สุด” หรือ the best effort ซึ่งมีความหมายเป็น 2 นัย นัยหนึ่งมีความหมายว่า ที่กระทำมานั้น ยังไม่ใช่สิ่งดีที่สุด จะต้องหาทางทำให้ดียิ่งขึ้นไปอีกด้วยการพัฒนาศักยภาพ แต่อีกนัยหนึ่งก็มีความหมายว่า ที่ทำมานั้น ได้พยายามเต็มที่แล้ว หากเกิดอะไรขึ้นก็ช่วยไม่ได้
ด้านแรกเป็นความหมายเชิงสร้างสรรค์ ด้านหลังเป็นการเอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่น
หากเทรดเดอร์ หรือผู้บริหารพอร์ตโบรกเกอร์ บอกว่าการสมคบคิดกับทุนเก็งกำไรต่างชาติเพื่อเบียดบังผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตนเองเป็นความชอบธรรม ผ่านบทวิเคราะห์ซึ่งชี้ทางให้ตลาดหลงผิด และเป็นการกระทำที่ใช้ “ความพยายามอย่างดีที่สุด” เราก็คงได้เห็นแก๊งบ่ายสี่โมงอาละวาดตลอดไปจนตลาดพังพาบ เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่หมดศรัทธา
ตอนนี้ ใครๆ ก็รู้ไม่ยากเย็นนักว่า แก๊งดันหุ้นหรือทุบหุ้นที่เข้ามาขับเคลื่อนตลาดตั้งแต่บ่ายสี่โมงก่อนตลาดปิดครึ่งชั่วโมงสุดท้ายนั้น ก็คือบรรดาเทรดเดอร์ของพอร์ตโบรกเกอร์นั่นเอง แล้วคนที่กำกับดูแลตลาดจะยังปล่อยให้คนกลุ่มนี้สร้างอิทธิพลครอบงำ คนที่กำกับดูแลก็คงเข้าข่ายร่วมสมคบคิดในการประทับตรายางให้กับการปล้นอันชอบธรรมนี้
ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเรียกร้องให้ผู้บริหาร ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯที่กินเงินเดือนแพงๆ กวดขันค้นหาและลดทอนการปล้นอันชอบธรรมนี้เสียที แล้วก็เลิกพูดถึงเรื่องของความเสี่ยงจากทุนเก็งกำไรต่างชาติเคลื่อนย้ายอย่างพล่อยๆ และเหมารวมเสียที แล้วปล่อยให้อีแอบอย่างพอร์ตโบรกเกอร์ฟันกำไรเงียบๆ จากอิทธิพลเหนือตลาดที่ปิดบังไม่มิด
เว้นเสียแต่จะมีทัศนคติฝังหัวว่า ตราบใดที่โบรกเกอร์ร่ำรวย ก็ถือว่าตลาดยังคงสดใส ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
การปล้นอันชอบธรรม (แนะนำอ่านอย่างยิ่ง)
จาก: FBวรวรรณ ธาราภูมิ
เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยบวกร้อนแรงที่สุดในบรรดาตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย บวกไปมากถึง 29.40 จุด ทะลุแนวต้าน 1,300 จุด (ที่นักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์หลายรายพูดไว้ก่อนเปิดตลาดเช้าวานนี้ชี้เอาไว้ว่าผ่านยาก) ไปปิดที่ 1,323.70 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขาย 34,212.63 ล้านบาท
หากคาดเดาไม่ผิด นักวิเคราะห์ของหลายสำนัก จะออกมาประกาศมุมมองของพวกเขาในฐานะศาสดาจอมปลอมของตลาดหุ้นไทยว่า การขึ้นของตลาดเมื่อวานนี้ยังคงเปราะบาง และต่างชาติยังคงขายต่อเนื่อง เพราะมีมูลค่าซื้อขายต่ำเกินไปที่จะดันตลาดเพิ่มขึ้นยาวนาน จึงจะมีคำแนะนำใหม่อีกว่า หากบ่ายวันนี้ ไม่สามารถผ่านแนวต้านที่ 1,340 จุดไปได้ ก็ให้ขายทำกำไรระยะสั้นออกไปก่อน
การให้เหตุผลดังกล่าว จะมีปรากฏการณ์ตามมาในช่วงเช้าหรือบ่ายที่การทะยานขึ้นของดัชนีตลาดมีความผันผวนตลอดวัน แล้วแก๊ง 4 โมงเย็น ก็จะออกมาอาละวาดทุบหุ้นให้ติดลบ หรือบวกเล็กน้อย เพื่อที่จะแนะขายวันต่อไปให้สอดรับกับคำพยากรณ์แบบนอสตราดามุสว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีทิศทางเป็นขาลงต่อไป
เพื่อไม่ให้เป็นการกล่าวหาหรือตั้งหน้าตั้งตามีอคติกับเทรดเดอร์ของพอร์ตโบรกเกอร์ หรือพร็อพเทรด มากเกินขนาด อยากจะยกข้อมูลการซื้อขายเมื่อวานนี้มาให้พิจารณาประกอบจะเห็นได้ชัดเจนว่า เมื่อวานนี้ พอร์ตโบรกเกอร์กับกองทุนรวมที่ซื้อสุทธิ ในขณะที่กองทุนต่างชาติและนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ
จากสถิติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า พฤติกรรมการซื้อขายประจำวันของพอร์ตโบรกเกอร์ และนักลงทุนรายย่อยนั้น ค่อนข้างสวนทางกันสม่ำเสมอ มีน้อยมากที่จะไปในทิศทางเดียวกัน ดังเช่นในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ พอร์ตโบรกเกอร์ขายทุกวัน รายย่อยก็ซื้อทุกวัน
พฤติกรรมเช่นนี้ สะท้อนว่า โดยพฤติกรรมจริงของการซื้อขายแล้ว พอร์ตโบรกเกอร์คือศัตรูโดยธรรมชาติของนักลงทุนรายย่อย เพราะมีผลประโยชน์ตรงกันข้ามกัน
มองในระยะยาวก็จะเห็นข้อเท็จจริงได้ชัดยิ่งขึ้น นับแต่ต้นปีมาจนถึงล่าสุดปิดตลาดวานนี้ กองทุนรวมซื้อสุทธิ 7.2 หมื่นกว่าล้านบาท และรายย่อยซื้อสุทธิ 5.5 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ต่างชาติและพอร์ตโบรกเกอร์ กลายเป็นผู้ขายสุทธิ กรณีของต่างชาติไม่ใช่ปัญหาเป็นเรื่องเข้าใจท่าทีได้ แต่พอร์ตโบรกเกอร์ที่สวมรอยขายสุทธิรวมกันแล้ว 9.8 พันล้านบาท แล้วก็ทำกำไรจากพอร์ตซื้อขายกันเกือบทุกบริษัท ชี้ให้เห็นว่า พวกเขาคือพันธมิตรของกองทุนต่างชาติเหนียวแน่น
ข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า นักวิเคราะห์ที่พากันโหมประโคมป่าวร้องในช่วงหุ้นตกหนักว่าเป็นเพราะความเสี่ยงจากทุนเก็งกำไรต่างชาติเคลื่อนย้าย หรือ Fund-flow risk นั้น เอาเข้าจริงก็เพื่อปฏิบัติภารกิจ “ขโมยร้องจับขโมย” ให้สมบทบาท เพื่อจะโยนความผิดให้กับกองทุนต่างชาติ ปล่อยให้พวกของตนเองที่เป็นเทรดเดอร์นั่งทำกำไรจากการทุบหุ้นร่วมกับต่างชาติลอยนวลกัน แล้วก็แอบหัวเราะเวลาที่บรรดานักลงทุยรายย่อยพากันติดหุ้นระนาว ทั้งที่หากพิจารณาโดยข้อเท็จจริงแล้ว พวกเขาอยู่ในฐานะที่จะทำได้ในการกระทำที่สร้างสรรค์มากกว่านี้
สำหรับนักบริหารสถานการณ์ทุกชนิด (รวมทั้งพอร์ตลงทุนเก็งกำไร) มีหลักการข้อหนึ่งที่พูดกันพร่ำเพรื่อเสมอมา คือคำว่า “ความพยายามอย่างดีที่สุด” หรือ the best effort ซึ่งมีความหมายเป็น 2 นัย นัยหนึ่งมีความหมายว่า ที่กระทำมานั้น ยังไม่ใช่สิ่งดีที่สุด จะต้องหาทางทำให้ดียิ่งขึ้นไปอีกด้วยการพัฒนาศักยภาพ แต่อีกนัยหนึ่งก็มีความหมายว่า ที่ทำมานั้น ได้พยายามเต็มที่แล้ว หากเกิดอะไรขึ้นก็ช่วยไม่ได้
ด้านแรกเป็นความหมายเชิงสร้างสรรค์ ด้านหลังเป็นการเอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่น
หากเทรดเดอร์ หรือผู้บริหารพอร์ตโบรกเกอร์ บอกว่าการสมคบคิดกับทุนเก็งกำไรต่างชาติเพื่อเบียดบังผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตนเองเป็นความชอบธรรม ผ่านบทวิเคราะห์ซึ่งชี้ทางให้ตลาดหลงผิด และเป็นการกระทำที่ใช้ “ความพยายามอย่างดีที่สุด” เราก็คงได้เห็นแก๊งบ่ายสี่โมงอาละวาดตลอดไปจนตลาดพังพาบ เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่หมดศรัทธา
ตอนนี้ ใครๆ ก็รู้ไม่ยากเย็นนักว่า แก๊งดันหุ้นหรือทุบหุ้นที่เข้ามาขับเคลื่อนตลาดตั้งแต่บ่ายสี่โมงก่อนตลาดปิดครึ่งชั่วโมงสุดท้ายนั้น ก็คือบรรดาเทรดเดอร์ของพอร์ตโบรกเกอร์นั่นเอง แล้วคนที่กำกับดูแลตลาดจะยังปล่อยให้คนกลุ่มนี้สร้างอิทธิพลครอบงำ คนที่กำกับดูแลก็คงเข้าข่ายร่วมสมคบคิดในการประทับตรายางให้กับการปล้นอันชอบธรรมนี้
ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเรียกร้องให้ผู้บริหาร ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯที่กินเงินเดือนแพงๆ กวดขันค้นหาและลดทอนการปล้นอันชอบธรรมนี้เสียที แล้วก็เลิกพูดถึงเรื่องของความเสี่ยงจากทุนเก็งกำไรต่างชาติเคลื่อนย้ายอย่างพล่อยๆ และเหมารวมเสียที แล้วปล่อยให้อีแอบอย่างพอร์ตโบรกเกอร์ฟันกำไรเงียบๆ จากอิทธิพลเหนือตลาดที่ปิดบังไม่มิด
เว้นเสียแต่จะมีทัศนคติฝังหัวว่า ตราบใดที่โบรกเกอร์ร่ำรวย ก็ถือว่าตลาดยังคงสดใส ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง