ช่วงนี้มีคำถามกันมากเกี่ยวกับทิศทางของดัชนีตลาดว่าจะไปทางใดหลังจากมีการขายของนักลงทุนต่างชาติออกมา โดยเฉพาะเดือนมิถุนายน ผ่านมายังไม่ครบเดือน ปรากฏว่าได้ขายหุ้นออกมาประมาณ 4 หมื่นกว่าล้านบาท และหากรวมตั้งแต่ต้นปี 2556 ก็ปรากฏว่ายอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติได้ขายออกมาแล้วทั้งสิ้น ประมาณ 6 หมื่นกว่าล้านบาท นักวิเคราะห์บางสำนักได้กล่าวว่า เม็ดเงินที่นักลงทุนต่างชาติยังเหลือไม่มากนัก เนื่องจากนับตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา ต่างชาติได้ซื้อสุทธิเป็นเงินประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ดังนั้นที่ขายมาทำให้ยังเหลือหุ้นให้ขายไม่มากนัก และดัชนีน่าจะทำการปรับฐานเสร็จและมีโอกาสจะเดินหน้าต่อไปได้ ผมเองไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ ไม่ขอวิจารณ์ หรือให้ทัศนะใดๆ แต่ส่วนตัวจากประสบการณ์ที่ได้พบมา และจากการเรียนรู้แนวคิดของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหลายคน ไม่แนะนำให้ฝืนกระแส Fund Flow หรือทิศทางของนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากอดีตที่ผ่านมานั้นเป็นเหมือนสิ่งที่ยืนยันความจริงตลอดมา ว่าไม่มีใครที่ฝืนกระแส Fund Flow ได้ หากอยากเอาตัวรอดในตลาดหุ้นได้ปลอดภัย ถ้าถามผมว่าต่างชาติจะหยุดขายเมื่อไหร่ ผมขอตอบตามความรู้สึกว่าผมเองก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่ผมทำได้คือนำข้อได้เปรียบของรายย่อยต่อต่างชาติที่ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างนักนั่นคือความคล่องตัวและว่องไวในการซื้อขายที่เหนือกว่าเท่านั้น
ข้อมูลการซื้อขายที่ผมนำมาให้เพื่อนนักลงทุนได้ทราบข้อเท็จจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว เม็ดเงินลงทุนของต่างชาติมีอยู่เท่าไหร่ และต้นทุนของรายย่อยส่วนใหญ่ ต่างชาติ สถาบัน และโบรกเกอร์ อยู่ที่เท่าไหร่บ้าง และเป็นความจริงหรือไม่ที่ต่างชาติใกล้ขายหมดแล้วอย่างที่นักวิเคราะห์บางสำนักพูด หรือแม้กระทั่งผู้บริหารโบรกเกอร์ที่บอกว่าให้ช่วยกันลงทุน อย่าเก็งกำไร และแสดงบทบาทที่ค่อนข้างรุนแรงกับต่างชาตินั้น ที่จริงแล้วช่วงที่ผ่านมาหลายปีท่านมีบทบาทอย่างไรต่อการชี้นำดัชนีบ้างไหม หรือมีรูปแบบการลงทุนหรือเก็งกำไรอย่างไร การไม่พอใจในต่างชาติที่ได้ขายออกมานั้น หากท่านได้เห็นข้อมูลเหล่านี้อย่างชัดแจ้ง แท้ที่จริงแล้วท่านคิดว่าสมควรหรือไม่อย่างไรในการฝืนกระแสความจริง และจะได้พบว่าการพูดกับการปฏิบัติของผู้บริหารโบรกเกอร์นั้นสวนทางหรือพูดแล้วทำตามนั้นหรือไม่อย่างไร
ขออธิบายตารางดังนี้นะครับ ในช่องสีเหลืองคือราคาปิดของดัชนีในสิ้นสุดของเดือนในแต่ละเดือน และในกรอบเข้มด้านล่างเป็นค่าเฉลี่ยดัชนีในปีนั้นๆ ส่วนช่องสีฟ้าเป็นยอดซื้อขายของต่างชาติที่เรามักสนใจกัน โดยหากเป็นลบนั่นหมายถึงต่างชาติได้ขายสุทธิในเดือนนั้นๆ หากเป็นบวกก็หมายถึงการซื้อสุทธิ โดยในกรอบเข้มล่างสุดคือยอดสุทธิประจำปีนั้นๆ
โดยสรุป ต่างชาติได้มีบทบาทอย่างต่อเนื่องในการดันดัชนีขึ้นมาจาก 500 จุด จนถึง 1650 จุด โดยกองทุนในประเทศและรายย่อยเป็นฝ่ายขายออกมาตลอดทาง ยกเว้นช่วงปรับฐานแถว 1000 จุดในปี 2554 ที่รายย่อยเป็นฝ่ายรับหุ้นจำนวนมากจากกองทุนซึ่งก็ยังขายต่อเนื่องออกมาตลอดเวลา โดยมีปีนี้ซึ่งดัชนีอยู่แถว 1500 จุดเท่านั้นที่กองทุนมีบทบาทในการซื้อหุ้นรับไม้ต่อจากต่างชาติอย่างหนักถึง 6 หมื่นล้านบาท ขณะที่รายย่อยเองก็มีบทบาทเช่นกันในการเริ่มรับหุ้นจากต่างชาติร่วมกับกองทุน ส่วนการซื้อขายของโบรกเกอร์ผมไม่ขอเอ่ยถึง เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีบทบาทใดๆที่ชัดเจน และไม่มีนัยใดๆในการแสดงออกของการซื้อขาย น่าจะเป็นการซื้อขายตามน้ำหรือระยะสั้นมากกว่าครับ การที่ผมนำยอดสรุปส่วนแบ่งนักลงทุนมาให้ดูนั้นไม่มีเจตนาจะชี้นำใดๆ และไม่ได้หมายความว่าต่อไปนี้หุ้นจะต้องลงต่อ หรือหุ้นจะขึ้นไปต่อ ขอให้ท่านๆได้นำไปประกอบการตัดสินใจการลงทุนต่อไปครับ
สรุปยอดซื้อขายแบ่งตามกลุ่มนักลงทุนตั้งแต่หลัง Sub Prime เป็นต้นมา
ข้อมูลการซื้อขายที่ผมนำมาให้เพื่อนนักลงทุนได้ทราบข้อเท็จจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว เม็ดเงินลงทุนของต่างชาติมีอยู่เท่าไหร่ และต้นทุนของรายย่อยส่วนใหญ่ ต่างชาติ สถาบัน และโบรกเกอร์ อยู่ที่เท่าไหร่บ้าง และเป็นความจริงหรือไม่ที่ต่างชาติใกล้ขายหมดแล้วอย่างที่นักวิเคราะห์บางสำนักพูด หรือแม้กระทั่งผู้บริหารโบรกเกอร์ที่บอกว่าให้ช่วยกันลงทุน อย่าเก็งกำไร และแสดงบทบาทที่ค่อนข้างรุนแรงกับต่างชาตินั้น ที่จริงแล้วช่วงที่ผ่านมาหลายปีท่านมีบทบาทอย่างไรต่อการชี้นำดัชนีบ้างไหม หรือมีรูปแบบการลงทุนหรือเก็งกำไรอย่างไร การไม่พอใจในต่างชาติที่ได้ขายออกมานั้น หากท่านได้เห็นข้อมูลเหล่านี้อย่างชัดแจ้ง แท้ที่จริงแล้วท่านคิดว่าสมควรหรือไม่อย่างไรในการฝืนกระแสความจริง และจะได้พบว่าการพูดกับการปฏิบัติของผู้บริหารโบรกเกอร์นั้นสวนทางหรือพูดแล้วทำตามนั้นหรือไม่อย่างไร
ขออธิบายตารางดังนี้นะครับ ในช่องสีเหลืองคือราคาปิดของดัชนีในสิ้นสุดของเดือนในแต่ละเดือน และในกรอบเข้มด้านล่างเป็นค่าเฉลี่ยดัชนีในปีนั้นๆ ส่วนช่องสีฟ้าเป็นยอดซื้อขายของต่างชาติที่เรามักสนใจกัน โดยหากเป็นลบนั่นหมายถึงต่างชาติได้ขายสุทธิในเดือนนั้นๆ หากเป็นบวกก็หมายถึงการซื้อสุทธิ โดยในกรอบเข้มล่างสุดคือยอดสุทธิประจำปีนั้นๆ
โดยสรุป ต่างชาติได้มีบทบาทอย่างต่อเนื่องในการดันดัชนีขึ้นมาจาก 500 จุด จนถึง 1650 จุด โดยกองทุนในประเทศและรายย่อยเป็นฝ่ายขายออกมาตลอดทาง ยกเว้นช่วงปรับฐานแถว 1000 จุดในปี 2554 ที่รายย่อยเป็นฝ่ายรับหุ้นจำนวนมากจากกองทุนซึ่งก็ยังขายต่อเนื่องออกมาตลอดเวลา โดยมีปีนี้ซึ่งดัชนีอยู่แถว 1500 จุดเท่านั้นที่กองทุนมีบทบาทในการซื้อหุ้นรับไม้ต่อจากต่างชาติอย่างหนักถึง 6 หมื่นล้านบาท ขณะที่รายย่อยเองก็มีบทบาทเช่นกันในการเริ่มรับหุ้นจากต่างชาติร่วมกับกองทุน ส่วนการซื้อขายของโบรกเกอร์ผมไม่ขอเอ่ยถึง เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีบทบาทใดๆที่ชัดเจน และไม่มีนัยใดๆในการแสดงออกของการซื้อขาย น่าจะเป็นการซื้อขายตามน้ำหรือระยะสั้นมากกว่าครับ การที่ผมนำยอดสรุปส่วนแบ่งนักลงทุนมาให้ดูนั้นไม่มีเจตนาจะชี้นำใดๆ และไม่ได้หมายความว่าต่อไปนี้หุ้นจะต้องลงต่อ หรือหุ้นจะขึ้นไปต่อ ขอให้ท่านๆได้นำไปประกอบการตัดสินใจการลงทุนต่อไปครับ