เรื่องนี้แต่งขึ้น เป็นเรื่องสมมุติ ตามจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น ไม่มีเจตนาพาดพิงใดๆนะคะ
ขอขอบคุณ คุณโยโกะ คามิโอะ ผู้เขียน Hana Yori Dango ต้นฉบับแห่งแรงบันดาลใจ
Fever 4
นายหญิงแห่งเตมีย์กรุ๊ป
Fever 4 (F4 THAILAND) #1 http://pantip.com/topic/30896810
ทานตะวัน หลังจากเลิกงานกว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ดึกมากแล้ว พ่อและแม่ของเธอนอนหลับไปแล้วเช่นกัน เหลือแต่น้องชายตัวแสบที่นั่งรอเธออยู่หน้าบ้าน
"พ่อบังคับให้นั่งรอพี่อีกหละสิ" ทานตะวันทัก ต้นกล้า น้องชายของเธอ
"ใช่สิ ถามได้" ต้นกล้าตอบอย่างหน้าบูดๆ
"พี่มีขนมมาฝากด้วยนะ" ทานตะวันบอก คราวนี่แหละเจ้าตัวแสบของเธอยิ้มออกเลยทันที ทานตะวันได้แต่มองน้องชายอย่างเอ็นดู
ในค่ำคืนนี้ถึงจะดึกมากแล้ว แต่ทานตะวันยังคงนั่งอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบอยู่ เธอละสายตาจากหนังสือเล่มหนา แล้วหยิบใบสมัครออกมาดูเหมือน
สมบัติล้ำค่าของเธอ ไม่ใช่เพราะเป็นใบสมัครที่มีตราประทับของ
เตมีย์ยู แต่เป็นเพราะ เป็นใบสมัคร ที่ทำให้เธอได้เจอกับ
ณาวา
"ณาวา ณาวา" ทานตะวันได้แต่ทวนชื่อของเขาซ้ำไปซ้ำมา เหมือนเธอต้องการที่จะจำชื่อของเขาไว้ ให้
จำได้....จนขึ้นใจ
*** --------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ***
เมื่อถึงวันสอบแข่งขัน ทานตะวันแต่งตัวอย่างมั่นใจ ก่อนที่เธอจะก้าวออกจะห้อง เธอได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เหมือนต้องการปลุกกำลังใจให้ตัวเอง แต่หลังจากนั้น ทานตะวันรู้สึกแปลกที่ในบ้านเงียบผิดปกติ เธอจึงเดินออกไปด้านนอก
"แม่ค่ะ แม่ทำอะไร" ทานตะวันทักขึ้น เมื่อเดินออกมาที่หน้าบ้าน เห็นแม่ของเธอเหมือนทำพิธีอะไรสักอย่างอยู่
ทานตะวันหันมาทางต้นกล้า เหมือนจะถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัย แต่เจ้าตัวแสบกับยักไหล่ทำหน้าแบบ
ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ครับพี่
"วันนี้ ตะวัน จะไปสอบเข้า เตมีย์ยู แม่เลยทำพิธีขอพรให้ลูก โชคดี" แม่ขอเธอบอกด้วยใบหน้าแช่มชื่น แต่ทานตะวันเริ่มรู้สึกแปลกๆ
"ขอบคุณค่ะแม่"
"มา มานั่งตรงนี้ สวดมนต์ขอพรกับแม่ก่อน" แม่ของเธอบอก ทานตะวัน ต้องไปนั่งข้างแม่ๆ อย่างเลี่ยงไปได้
บทสวดมนต์ที่แสนยาวทำให้ทานตะวันหน้าถอดสี ต้นกล้านั่งมองพี่สาวสวดมนต์ที มองนาฬิกาตัวเองที อย่างว้าวุ่นใจ ก่อนจะตัดสินใจถาม
"พี่ตะวัน พี่มีสอบกี่โมง"
"เก้าโมงเช้า" ทานตะวันบอกอย่างไม่ได้เอะใจอะไร
"แล้วตอนนี้กี่โมงแล้วพี่" ต้นกล้าบอกก่อนจะยกข้อมือตัวเองขึ้น เพื่อให้พี่สาวได้ดูเวลา
"
ตายแล้ว" ทานตะวันอุทานขึ้นอย่างตกใจ แม่ของเธอได้ยินก็ใช้มือตีไปที่ไหล่ของเธอเบาๆ
"วันนี้วันดี ห้ามพูดในสิ่งที่ไม่ดี"
"แต่แม่ค่ะ ตะวันสายแล้ว" ทานตะวันอธิบาย
"สายก็ห้ามพูด" แม่ของเธอยังปรามไม่เลิก
"ตะวันต้องไปแล้วค่ะแม่" ทานตะวันบอกด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมกับลุกขึ้นอย่างเร่งรีบ
"เดี่ยวอย่าเพิ่งไปลูก แม่ไปหยิบเครื่องรางให้ก่อน" แม่ร้องห้าม ก่อนจะหายเข้าไปในบ้าน
"
อยู่ไหนน้า อยู่ไหน" แม่ของเธอเปิดตามลิ้นชักไปมา
"แม่ค่ะ" ทานตะวันเริ่มร้อนรน
"ไปเลยพี่ อีกนานกว่าแม่จะหาเจอ" เจ้าตัวแสบบอกเธอ ทานตะวัน พยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะรีบวิ่งออกไป
"เจอแล้ว" แม่ของทานตะวันรีบออกมาจากบ้านมองไม่เห็นลูกสาว
ต้นกล้าบอกว่าพี่วิ่งไปแล้ว แม่รีบตามยังทันเห็นหลัง ของทานตะวันอยู่
"ทานตะวัน กลับมาเอาก่อนลูก" แม่ร้องตะโกนขึ้น ทานตะวันได้ยินเสียงแม่เรียก ก็ต้องวิ่งกลับมาเพราะกลัวแม่จะน้อยใจและเสียใจ
ทานตะวันวิ่งกลับมาที่หน้าบ้านตัวเอง ทั้งหอบ ทั้งเหนื่อย มองหน้าเจ้าตัวแสบ
"
พี่ไม่หน้าเชื่อเธอเลย" ทานตะวันบอก ก่อนจะรีบรับของจากแม่แล้วยกมือไหว้ขอบคุณและรีบวิ่งออกไปอีกครั้งทันที
ทานตะวันกำของจากแม่ไว้ในมือจนแน่น คงเป็นเครื่องรางอย่างหนึ่งสินะ แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เธอต้องมาสงสัย
"
รอก่อนก่อนคร้าาาาาาาาา" ทานตะวันรีบวิ่งมาที่ป้ายรถเมล์แต่ไม่ทันเสียแล้ว คงต้องพึ่งพี่วิน (วินมอเตอร์ไซต์) หละคราวนี้
ทานตะวันที่นั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไชต์ การเอาชีวิตรอดให้ได้จนถึง เตมีย์ยู คือสิ่งที่เธอภาวนาอยู่ในตอนนี้
เมื่อถึงที่หมายประตูรั้วที่กว้างใหญ่คล้ายประตูวังของ
เตมีย์ยู (Temee University)
"เข้าไปเลยค่ะพี่" ทานตะวันบอก ทันใดนั้น การ์ด ที่หน้าประตูรีบดึงที่กั้นลงขวางทันที
"เข้าไม่ได้" การ์ดบอกด้วยน้ำเสียงที่ดุ ไม่ต่างอะไรกับหน้าตาและท่าทางของเขา
"ทำไมค่ะ คือหนูต้องรีบเข้าห้องสอบ ใบสมัครหนูก็มีนะคะ" ทานตะวันเริ่มสงสัย
"
ที่นี่รถมอเตอร์ไชต์เข้าไม่ได้" การ์ดบอกด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ทานตะวันอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน เธอแทบไม่อยากเชื่อ
"แล้วหนูต้องทำไง"
"
เดิน" การ์ดตอบอย่างไม่ใยดี ทานตะวันหันมาจ่ายเงินค่ามอเตอร์ไซร์รับจ้าง ก่อนจะมองทางเดินอย่างถอดใจ
ตลอดทางเดินที่ทอดยาว เธอมองเห็นอาคารที่สูงเด่นเป็นสง่าห่างออกไปริบๆ ทานตะวันตั้งท่าเตรียมวิ่ง แต่ยังไม่ทันไรเธอก็สะดุดก้อนหินล้มลง หัวเข่าเธอกระแทกพื้นอย่างแรง เธอมองแผลที่หัวเข่าที่มีเลือดออกซิบๆ อย่างน้อยใจในโชคชะตา
"
ไหนว่าหนูจะโชคดีไงคะแม่" ทานตะวันบ่นกับตัวเอง ก่อนจะมองหาเครื่องรางที่แม่ของเธอให้มา มันกระเด็นไปตรงถนน
ทานตะวันคลานออกไปจะไปหยิบ โดยไม่ทันได้สังเกตุว่ามีรถคันหรูกำลังขับมาด้วยความเร็ว เสียงบีบแตรทำให้เธอสะดุ้งตกใจและทำอะไรไม่ถูก เธอได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง
"
เห้ยยยยยยยย" ทานตะวันร้อง เสียงเธอดังพอๆกับเสียงเบรคของรถคันนั้น ถ้าเบรคไม่ดีจริงคงหยุดรถไม่ได้กระหันทันแบบนี้แน่
ทานตะวันหลับตากำเครื่องรางของแม่ไว้แน่น ก่อนจะลืมตาขึ้นเห็นรถจอดอยู่ห่างจากเธอไม่กี่ฟุต
"อยากตายหรือไง" คนขับรถออกมาต่อว่าเธอนอกรถ
"คุณต้องพูดว่า ขอโทษ ถึงจะถูกนะคะ" ทานตะวันพยายามลุกขึ้นบอกอย่างหัวเสีย
"จะเอาเท่าไหร่" คนขับรถถามเหมือนเป็นเรื่องที่เคยชิน
ทานตะวันมองหน้าคนขับรถคนนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ เธอรู้แต่ว่าเวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า การเข้าห้องสอบให้ทัน
"
เก็บเงินเอาไว้ซื้อยาบำรุงสมองให้กับตัวเองเถอะค่ะ คุณจะได้รู้ว่าเวลาไหนสมควรจะพูดอะไร" ทานตะวันบอกอย่างไม่สนใจเงินของอีกฝ่าย เพราะเรื่องสอบสำคัญกว่าเรื่องนี้เธอปัดกระโปรงเล็กน้อย ก่อนจะเดินกระเผลกขึ้นฟุตบาทไปอย่างเจ็บหัวเข่า รถคันนั้นยังคงมาจอดเทียบดักหน้าเธอ ทานตะวันมองอย่างสงสัย คราวนี้กระจกรถจากด้านหลังเลื่อนลงมาอย่างช้าๆ
"
คุณณาวา" ทานตะวันแทบไม่อยากจะเชื่อ คนขับรถที่เธอทะเลาะด้วยคือคนขับรถของณาวาหรอเนี่ย
ทานตะวันทำตัวไม่ถูกไม่คิดว่าจะเจอเขาในวันที่เธอมีสภาพที่ดูไม่ได้อย่างนี้
"ขึ้นมาสิ เธอต้องรีบไปสอบไม่ใช่หรอ" ณาวา บอกทั้งที่สายตาของเขายังมองไปที่ iPod และกำลังเลื่อนหาเพลงไปเรื่อยๆ
ทานตะวันจำใจก้าวขึ้นรถอย่างประหม่า กล้าๆกลัวๆ เธอต้องหยิ่งและปฏิเสธเขาไปไม่ใช่หรอ แต่ทำไม หัวใจสั่งให้เธอขึ้นรถและนั่งลงข้างๆเขาอย่างง่ายดายก็ไม่รู้ หัวสมองของเธอเคว้งคว้างไปกับท่าที ที่เย็นชาและเมินเฉยของเขา ทำให้เธอรู้สึกได้ว่า
ใกล้ก็เหมือนไกลกันเหลือเกิน ทานตะวันมองเครื่องรางของแม่ที่ถืออยู่ในมือ เธออดที่จะขอบคุณเจ้าสิ่งนี้ไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ณาวาขยับตัวเหมือนล้วงอะไรบางอย่างจากกระเป๋าด้านในเสื้อสูทของเขา เขายื่นผ้าเช็ดหน้าของเขาให้ทานตะวัน
"เช็ดซะ เลือดเธอออก" ณาวาบอก ก่อนจะหันไปสนใจ iPod เหมือนเดิม ทานตะวันรับมาและมาเช็ดที่หัวเข่าเบาๆ
"ขอบคุณมากนะคะ" ทานตะวันบอก แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินเพราะฟังเพลงอยู่ ทานตะวันคิดว่าณาวาคงไม่ได้ยินเธออย่างแน่นอน
เธอเลยกล้าที่จะพูดกับเขาว่า
"วันนั้นฉันไม่รู้จริงๆว่าคุณคือใคร แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้ว ว่าคุณเป็นรุ่นพี่ที่นี่
เป็นหนึ่งใน F4 หนึ่งในสี่บุคคลต้องห้าม แต่ฉันก็ยังดีใจที่ได้เจอคุณอีกครั้งอยู่ดี"
คำพูดเบาๆ ที่คงดังไปไม่ถึงคนนั่งข้างๆ กลิ่นน้ำหอมของเขาในรถคันหรู เสื้อผ้าหน้าผมที่แสนเนี้ยบของเขา ทำให้เธอดูไร้ค่าไปเลย
คงไม่แปลกอะไรที่เขา
จะไม่สนใจเธอ
"ถึงแล้ว" คนขับรถบอก
ทานตะวันหันมาขอบคุณ ณาวา อีกครั้ง แต่เหมือนเขาจะไม่ได้ยิน ทานตะวันหน้าเสียในความเฉยชาของเขา ก่อนจะปิดประตู ที่กั้นระหว่างเธอกับเขาให้ไกลกันเหมือนเดิม เมื่อทานตะวันลงจากรถไปแล้ว ณาวาดึงหูฟังที่เสียบอยู่ที่หูของเขาออก
"เอาไปชาร์จแบตให้ด้วยนะ" ณาวา สั่งคนขับรถของเขา ก่อนจะวาง Ipod ไว้ด้านข้างของเขา
"แบตเพิ่งหมดหรอครับ" คนขับรถถาม
"เปล่า..
มันหมดตั้งนานแล้ว" ณาวาตอบ ก่อนจะนึกถึงคำพูดของทานตะวันที่เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ทั้งที่เขานั้นได้ยินทุกคำพูดของเธอนั้น
อย่างชัดเจน
เตชินท์ ยืนอยู่ที่ระเบียงอาคารตึก VC ( VIP CLASS ) เขามองรถของ ณาวา อย่างสงสัย
"ไปทำอะไรที่นั่น สืบมาให้ที่สิ แต่แค่ห้านาทีนะ" เตชินท์ สั่ง บอดี้การ์ด ของเขา
"ครับ ภายในห้านาที" บอดี้การ์ดของเขาทวนคำสั่ง ก่อนจะส่ายหัวให้กับนิสัยเอาแต่ใจของนายน้อย แห่งเตมีย์กรุ๊ป
ณาวา เดินขึ้นมาบน อาคารตึก VC แม้วันนี้จะยังไปใช่วันที่เปิดเรียน แต่ยังพอมีนักศึกษาอยู่บ้าง ทำให้ทุกย่างก้าวของเขาต่างเป็นที่สนใจของคนรอบข้างยิ่งนัก
"คิรินท์ ยังไม่มาอีกหรอ" ณาวาถาม เมื่อเห็น เตชินท์อยู่ในห้องคนเดียว
"ถ้าเห็นก็มาแล้วสิ" เตชินท์ตอบตามสไตล์ของเขา บอดี้การ์ดของเตชินท์ได้แต่มองหน้า ณาวา อย่างเข้าใจความรู้สึก
"วันนี้ก็ไม่มีเรียนสักหน่อย นัดกันมาที่นี่ทำไม" ณาวา ถามก่อนจะมายืนใช้สองมือค้ำที่โต๊ะของเตชินท์ เหมือนต้องการคำตอบ
"ก็หาเรื่องจะไปเที่ยวต่อหนะสิ" คิรินท์ที่เดินเข้ามาพอดี ตอบคำถามของณาวา อย่างรู้ใจเตชินท์
"ถูกต้อง" เตชินท์ตอบพร้อมกับดีดนิ้วเพื่อยืนยัน
"เพื่อความแนบเนียน" ณาวาพูดขึ้น ก่อนจะมองหน้าคิรินท์ คิรินท์ได้แต่ยิ้ม
ความเป็นอิสระ คงเป็นสิ่งเดียวที่นายน้อยแห่งเตมีย์กรุ๊ปซื้อไม่ได้
"อย่าบอกนะ ว่าเราต้องรอ คุณชายวีร์" คิรินท์ถามขึ้น
"ใช่" ณาวาตอบ
"
ไอ้คุณชาย สายเสมอ" ทั้งสามพูดพร้อมกัน เพราะถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาเคยชินกับนิสัยของเพื่อนเขาแล้ว
(ตื้ดดดดดดดดดดดด ตื้ด) เสียงข้อความโทรศัพท์ของเตชินท์ ดังขึ้น เขาเปิดอ่านข้อมูลที่เขาต้องการรู้เกี่ยวกับณาวา ก่อนจะโหลด
ไฟล์ภาพมาดู
เป็นภาพของทานตะวัน เตชินท์ได้แต่ยิ้ม
"ถึงเวลาสนุกแล้วสิ" เตชินท์พูดขึ้น เพื่อนทั้งสองมองมาอย่างสงสัย
"เปล่าไม่มีอะไร" เตชินท์ยิ้มกลบเกลื่อน ก่อนจะแอบมองไปที่ ณาวา เพื่อนที่แสนจะเย็นชาและไม่สนใจสิ่งรอบข้างใดๆ นอกจาก
พี่แพร แพรธารา รักแรกของ
Snowman ฉายาของ ณาวา ที่เพื่อนในกลุ่มตั้งให้
Fever 4 (F4 THAILAND) โดย Na Patchara #2
Fever 4 (F4 THAILAND) #1 http://pantip.com/topic/30896810
ทานตะวัน หลังจากเลิกงานกว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ดึกมากแล้ว พ่อและแม่ของเธอนอนหลับไปแล้วเช่นกัน เหลือแต่น้องชายตัวแสบที่นั่งรอเธออยู่หน้าบ้าน
"พ่อบังคับให้นั่งรอพี่อีกหละสิ" ทานตะวันทัก ต้นกล้า น้องชายของเธอ
"ใช่สิ ถามได้" ต้นกล้าตอบอย่างหน้าบูดๆ
"พี่มีขนมมาฝากด้วยนะ" ทานตะวันบอก คราวนี่แหละเจ้าตัวแสบของเธอยิ้มออกเลยทันที ทานตะวันได้แต่มองน้องชายอย่างเอ็นดู
ในค่ำคืนนี้ถึงจะดึกมากแล้ว แต่ทานตะวันยังคงนั่งอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบอยู่ เธอละสายตาจากหนังสือเล่มหนา แล้วหยิบใบสมัครออกมาดูเหมือนสมบัติล้ำค่าของเธอ ไม่ใช่เพราะเป็นใบสมัครที่มีตราประทับของเตมีย์ยู แต่เป็นเพราะ เป็นใบสมัคร ที่ทำให้เธอได้เจอกับ ณาวา
"ณาวา ณาวา" ทานตะวันได้แต่ทวนชื่อของเขาซ้ำไปซ้ำมา เหมือนเธอต้องการที่จะจำชื่อของเขาไว้ ให้ จำได้....จนขึ้นใจ
เมื่อถึงวันสอบแข่งขัน ทานตะวันแต่งตัวอย่างมั่นใจ ก่อนที่เธอจะก้าวออกจะห้อง เธอได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เหมือนต้องการปลุกกำลังใจให้ตัวเอง แต่หลังจากนั้น ทานตะวันรู้สึกแปลกที่ในบ้านเงียบผิดปกติ เธอจึงเดินออกไปด้านนอก
"แม่ค่ะ แม่ทำอะไร" ทานตะวันทักขึ้น เมื่อเดินออกมาที่หน้าบ้าน เห็นแม่ของเธอเหมือนทำพิธีอะไรสักอย่างอยู่
ทานตะวันหันมาทางต้นกล้า เหมือนจะถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัย แต่เจ้าตัวแสบกับยักไหล่ทำหน้าแบบ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ครับพี่
"วันนี้ ตะวัน จะไปสอบเข้า เตมีย์ยู แม่เลยทำพิธีขอพรให้ลูก โชคดี" แม่ขอเธอบอกด้วยใบหน้าแช่มชื่น แต่ทานตะวันเริ่มรู้สึกแปลกๆ
"ขอบคุณค่ะแม่"
"มา มานั่งตรงนี้ สวดมนต์ขอพรกับแม่ก่อน" แม่ของเธอบอก ทานตะวัน ต้องไปนั่งข้างแม่ๆ อย่างเลี่ยงไปได้
บทสวดมนต์ที่แสนยาวทำให้ทานตะวันหน้าถอดสี ต้นกล้านั่งมองพี่สาวสวดมนต์ที มองนาฬิกาตัวเองที อย่างว้าวุ่นใจ ก่อนจะตัดสินใจถาม
"พี่ตะวัน พี่มีสอบกี่โมง"
"เก้าโมงเช้า" ทานตะวันบอกอย่างไม่ได้เอะใจอะไร
"แล้วตอนนี้กี่โมงแล้วพี่" ต้นกล้าบอกก่อนจะยกข้อมือตัวเองขึ้น เพื่อให้พี่สาวได้ดูเวลา
"ตายแล้ว" ทานตะวันอุทานขึ้นอย่างตกใจ แม่ของเธอได้ยินก็ใช้มือตีไปที่ไหล่ของเธอเบาๆ
"วันนี้วันดี ห้ามพูดในสิ่งที่ไม่ดี"
"แต่แม่ค่ะ ตะวันสายแล้ว" ทานตะวันอธิบาย
"สายก็ห้ามพูด" แม่ของเธอยังปรามไม่เลิก
"ตะวันต้องไปแล้วค่ะแม่" ทานตะวันบอกด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมกับลุกขึ้นอย่างเร่งรีบ
"เดี่ยวอย่าเพิ่งไปลูก แม่ไปหยิบเครื่องรางให้ก่อน" แม่ร้องห้าม ก่อนจะหายเข้าไปในบ้าน
"อยู่ไหนน้า อยู่ไหน" แม่ของเธอเปิดตามลิ้นชักไปมา
"แม่ค่ะ" ทานตะวันเริ่มร้อนรน
"ไปเลยพี่ อีกนานกว่าแม่จะหาเจอ" เจ้าตัวแสบบอกเธอ ทานตะวัน พยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะรีบวิ่งออกไป
"เจอแล้ว" แม่ของทานตะวันรีบออกมาจากบ้านมองไม่เห็นลูกสาว
ต้นกล้าบอกว่าพี่วิ่งไปแล้ว แม่รีบตามยังทันเห็นหลัง ของทานตะวันอยู่
"ทานตะวัน กลับมาเอาก่อนลูก" แม่ร้องตะโกนขึ้น ทานตะวันได้ยินเสียงแม่เรียก ก็ต้องวิ่งกลับมาเพราะกลัวแม่จะน้อยใจและเสียใจ
ทานตะวันวิ่งกลับมาที่หน้าบ้านตัวเอง ทั้งหอบ ทั้งเหนื่อย มองหน้าเจ้าตัวแสบ
"พี่ไม่หน้าเชื่อเธอเลย" ทานตะวันบอก ก่อนจะรีบรับของจากแม่แล้วยกมือไหว้ขอบคุณและรีบวิ่งออกไปอีกครั้งทันที
ทานตะวันกำของจากแม่ไว้ในมือจนแน่น คงเป็นเครื่องรางอย่างหนึ่งสินะ แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เธอต้องมาสงสัย
"รอก่อนก่อนคร้าาาาาาาาา" ทานตะวันรีบวิ่งมาที่ป้ายรถเมล์แต่ไม่ทันเสียแล้ว คงต้องพึ่งพี่วิน (วินมอเตอร์ไซต์) หละคราวนี้
ทานตะวันที่นั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไชต์ การเอาชีวิตรอดให้ได้จนถึง เตมีย์ยู คือสิ่งที่เธอภาวนาอยู่ในตอนนี้
เมื่อถึงที่หมายประตูรั้วที่กว้างใหญ่คล้ายประตูวังของ เตมีย์ยู (Temee University)
"เข้าไปเลยค่ะพี่" ทานตะวันบอก ทันใดนั้น การ์ด ที่หน้าประตูรีบดึงที่กั้นลงขวางทันที
"เข้าไม่ได้" การ์ดบอกด้วยน้ำเสียงที่ดุ ไม่ต่างอะไรกับหน้าตาและท่าทางของเขา
"ทำไมค่ะ คือหนูต้องรีบเข้าห้องสอบ ใบสมัครหนูก็มีนะคะ" ทานตะวันเริ่มสงสัย
"ที่นี่รถมอเตอร์ไชต์เข้าไม่ได้" การ์ดบอกด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ทานตะวันอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน เธอแทบไม่อยากเชื่อ
"แล้วหนูต้องทำไง"
"เดิน" การ์ดตอบอย่างไม่ใยดี ทานตะวันหันมาจ่ายเงินค่ามอเตอร์ไซร์รับจ้าง ก่อนจะมองทางเดินอย่างถอดใจ
ตลอดทางเดินที่ทอดยาว เธอมองเห็นอาคารที่สูงเด่นเป็นสง่าห่างออกไปริบๆ ทานตะวันตั้งท่าเตรียมวิ่ง แต่ยังไม่ทันไรเธอก็สะดุดก้อนหินล้มลง หัวเข่าเธอกระแทกพื้นอย่างแรง เธอมองแผลที่หัวเข่าที่มีเลือดออกซิบๆ อย่างน้อยใจในโชคชะตา
"ไหนว่าหนูจะโชคดีไงคะแม่" ทานตะวันบ่นกับตัวเอง ก่อนจะมองหาเครื่องรางที่แม่ของเธอให้มา มันกระเด็นไปตรงถนน
ทานตะวันคลานออกไปจะไปหยิบ โดยไม่ทันได้สังเกตุว่ามีรถคันหรูกำลังขับมาด้วยความเร็ว เสียงบีบแตรทำให้เธอสะดุ้งตกใจและทำอะไรไม่ถูก เธอได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง
"เห้ยยยยยยยย" ทานตะวันร้อง เสียงเธอดังพอๆกับเสียงเบรคของรถคันนั้น ถ้าเบรคไม่ดีจริงคงหยุดรถไม่ได้กระหันทันแบบนี้แน่
ทานตะวันหลับตากำเครื่องรางของแม่ไว้แน่น ก่อนจะลืมตาขึ้นเห็นรถจอดอยู่ห่างจากเธอไม่กี่ฟุต
"อยากตายหรือไง" คนขับรถออกมาต่อว่าเธอนอกรถ
"คุณต้องพูดว่า ขอโทษ ถึงจะถูกนะคะ" ทานตะวันพยายามลุกขึ้นบอกอย่างหัวเสีย
"จะเอาเท่าไหร่" คนขับรถถามเหมือนเป็นเรื่องที่เคยชิน
ทานตะวันมองหน้าคนขับรถคนนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ เธอรู้แต่ว่าเวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า การเข้าห้องสอบให้ทัน
"เก็บเงินเอาไว้ซื้อยาบำรุงสมองให้กับตัวเองเถอะค่ะ คุณจะได้รู้ว่าเวลาไหนสมควรจะพูดอะไร" ทานตะวันบอกอย่างไม่สนใจเงินของอีกฝ่าย เพราะเรื่องสอบสำคัญกว่าเรื่องนี้เธอปัดกระโปรงเล็กน้อย ก่อนจะเดินกระเผลกขึ้นฟุตบาทไปอย่างเจ็บหัวเข่า รถคันนั้นยังคงมาจอดเทียบดักหน้าเธอ ทานตะวันมองอย่างสงสัย คราวนี้กระจกรถจากด้านหลังเลื่อนลงมาอย่างช้าๆ
"คุณณาวา" ทานตะวันแทบไม่อยากจะเชื่อ คนขับรถที่เธอทะเลาะด้วยคือคนขับรถของณาวาหรอเนี่ย
ทานตะวันทำตัวไม่ถูกไม่คิดว่าจะเจอเขาในวันที่เธอมีสภาพที่ดูไม่ได้อย่างนี้
"ขึ้นมาสิ เธอต้องรีบไปสอบไม่ใช่หรอ" ณาวา บอกทั้งที่สายตาของเขายังมองไปที่ iPod และกำลังเลื่อนหาเพลงไปเรื่อยๆ
ทานตะวันจำใจก้าวขึ้นรถอย่างประหม่า กล้าๆกลัวๆ เธอต้องหยิ่งและปฏิเสธเขาไปไม่ใช่หรอ แต่ทำไม หัวใจสั่งให้เธอขึ้นรถและนั่งลงข้างๆเขาอย่างง่ายดายก็ไม่รู้ หัวสมองของเธอเคว้งคว้างไปกับท่าที ที่เย็นชาและเมินเฉยของเขา ทำให้เธอรู้สึกได้ว่า ใกล้ก็เหมือนไกลกันเหลือเกิน ทานตะวันมองเครื่องรางของแม่ที่ถืออยู่ในมือ เธออดที่จะขอบคุณเจ้าสิ่งนี้ไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ณาวาขยับตัวเหมือนล้วงอะไรบางอย่างจากกระเป๋าด้านในเสื้อสูทของเขา เขายื่นผ้าเช็ดหน้าของเขาให้ทานตะวัน
"เช็ดซะ เลือดเธอออก" ณาวาบอก ก่อนจะหันไปสนใจ iPod เหมือนเดิม ทานตะวันรับมาและมาเช็ดที่หัวเข่าเบาๆ
"ขอบคุณมากนะคะ" ทานตะวันบอก แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินเพราะฟังเพลงอยู่ ทานตะวันคิดว่าณาวาคงไม่ได้ยินเธออย่างแน่นอน
เธอเลยกล้าที่จะพูดกับเขาว่า
เป็นหนึ่งใน F4 หนึ่งในสี่บุคคลต้องห้าม แต่ฉันก็ยังดีใจที่ได้เจอคุณอีกครั้งอยู่ดี"
คำพูดเบาๆ ที่คงดังไปไม่ถึงคนนั่งข้างๆ กลิ่นน้ำหอมของเขาในรถคันหรู เสื้อผ้าหน้าผมที่แสนเนี้ยบของเขา ทำให้เธอดูไร้ค่าไปเลย
คงไม่แปลกอะไรที่เขา จะไม่สนใจเธอ
"ถึงแล้ว" คนขับรถบอก
ทานตะวันหันมาขอบคุณ ณาวา อีกครั้ง แต่เหมือนเขาจะไม่ได้ยิน ทานตะวันหน้าเสียในความเฉยชาของเขา ก่อนจะปิดประตู ที่กั้นระหว่างเธอกับเขาให้ไกลกันเหมือนเดิม เมื่อทานตะวันลงจากรถไปแล้ว ณาวาดึงหูฟังที่เสียบอยู่ที่หูของเขาออก
"เอาไปชาร์จแบตให้ด้วยนะ" ณาวา สั่งคนขับรถของเขา ก่อนจะวาง Ipod ไว้ด้านข้างของเขา
"แบตเพิ่งหมดหรอครับ" คนขับรถถาม
"เปล่า..มันหมดตั้งนานแล้ว" ณาวาตอบ ก่อนจะนึกถึงคำพูดของทานตะวันที่เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ทั้งที่เขานั้นได้ยินทุกคำพูดของเธอนั้น อย่างชัดเจน
เตชินท์ ยืนอยู่ที่ระเบียงอาคารตึก VC ( VIP CLASS ) เขามองรถของ ณาวา อย่างสงสัย
"ไปทำอะไรที่นั่น สืบมาให้ที่สิ แต่แค่ห้านาทีนะ" เตชินท์ สั่ง บอดี้การ์ด ของเขา
"ครับ ภายในห้านาที" บอดี้การ์ดของเขาทวนคำสั่ง ก่อนจะส่ายหัวให้กับนิสัยเอาแต่ใจของนายน้อย แห่งเตมีย์กรุ๊ป
ณาวา เดินขึ้นมาบน อาคารตึก VC แม้วันนี้จะยังไปใช่วันที่เปิดเรียน แต่ยังพอมีนักศึกษาอยู่บ้าง ทำให้ทุกย่างก้าวของเขาต่างเป็นที่สนใจของคนรอบข้างยิ่งนัก
"คิรินท์ ยังไม่มาอีกหรอ" ณาวาถาม เมื่อเห็น เตชินท์อยู่ในห้องคนเดียว
"ถ้าเห็นก็มาแล้วสิ" เตชินท์ตอบตามสไตล์ของเขา บอดี้การ์ดของเตชินท์ได้แต่มองหน้า ณาวา อย่างเข้าใจความรู้สึก
"วันนี้ก็ไม่มีเรียนสักหน่อย นัดกันมาที่นี่ทำไม" ณาวา ถามก่อนจะมายืนใช้สองมือค้ำที่โต๊ะของเตชินท์ เหมือนต้องการคำตอบ
"ก็หาเรื่องจะไปเที่ยวต่อหนะสิ" คิรินท์ที่เดินเข้ามาพอดี ตอบคำถามของณาวา อย่างรู้ใจเตชินท์
"ถูกต้อง" เตชินท์ตอบพร้อมกับดีดนิ้วเพื่อยืนยัน
"เพื่อความแนบเนียน" ณาวาพูดขึ้น ก่อนจะมองหน้าคิรินท์ คิรินท์ได้แต่ยิ้ม ความเป็นอิสระ คงเป็นสิ่งเดียวที่นายน้อยแห่งเตมีย์กรุ๊ปซื้อไม่ได้
"อย่าบอกนะ ว่าเราต้องรอ คุณชายวีร์" คิรินท์ถามขึ้น
"ใช่" ณาวาตอบ
"ไอ้คุณชาย สายเสมอ" ทั้งสามพูดพร้อมกัน เพราะถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาเคยชินกับนิสัยของเพื่อนเขาแล้ว
(ตื้ดดดดดดดดดดดด ตื้ด) เสียงข้อความโทรศัพท์ของเตชินท์ ดังขึ้น เขาเปิดอ่านข้อมูลที่เขาต้องการรู้เกี่ยวกับณาวา ก่อนจะโหลด
ไฟล์ภาพมาดู เป็นภาพของทานตะวัน เตชินท์ได้แต่ยิ้ม
"ถึงเวลาสนุกแล้วสิ" เตชินท์พูดขึ้น เพื่อนทั้งสองมองมาอย่างสงสัย
"เปล่าไม่มีอะไร" เตชินท์ยิ้มกลบเกลื่อน ก่อนจะแอบมองไปที่ ณาวา เพื่อนที่แสนจะเย็นชาและไม่สนใจสิ่งรอบข้างใดๆ นอกจาก
พี่แพร แพรธารา รักแรกของ Snowman ฉายาของ ณาวา ที่เพื่อนในกลุ่มตั้งให้