สำหรับหุ้นที่ไม่น่าจะอยู่ในตลาด แต่ว่ายังอยู่ได้ นั้นคือ N PARK เป็นหุ้นที่เรียกว่า “หุ้นนาธาร โอมาน” มีร้อยล้านโปรเจ็ค พยายามสร้างโฆษณาชวนเชื่อต่างๆนาๆจนราคาหุ้นถูกปั่นขึ้นไปสูงลิ่ว สำหรับ ตำนาน N PARK นั้นเรียกว่ามาแรงตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 เสริมสิน สมะลาภา วัยหนุ่มด้วย 30 กว่า ณ ตอนนั้นนำ N PARK เข้าสู่วงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แถมโม้ไว้อย่างดีว่า N PARK นั้นจะยิ่งใหญ่มากกว่า บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไหนๆ แล้ว ณ ปัจจุบันเป็นอย่างไร สำหรับนักลงทุนเกิน 10 ปี คงรู้ฤทธิ์กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างนั้นต้องมีที่มา และที่ไปในทุกๆเรื่องไม่ใช่อยู่ดี N PARK จะล้ม แต่ว่า N PARK ล้มนั้นเอาแบบสั้นๆ เพราะว่าความที่พยายามเปิดโครงการต่างๆมากมาย โดยโครงการ 100 % แท้ที่จริงประสบความสำเร็จแค่ 20 % เท่านั้น ไม่ได้ประสบความสำเร็จจริงตามที่คุยโม้ไว้ จ่าย 100 ได้ 20 ธุรกิจไหนมันจะรอด
ครั้งหนึ่ง เสริมสิน เคยแสดงวิธีคิดไว้อย่างน่าสนใจว่า ถ้าเป็นช่วงที่ธุรกิจสามารถระดมทุนได้เร็วและเศรษฐกิจภาพรวมเป็นขาขึ้น วิธี M&A (Merger and Acquisition) ก็จะเป็นทางลัดที่ธุรกิจจะสามารถโตแบบ "ก้าวกระโดด" แนวคิดนี้ไม่ผิด แต่วิธีการต่างหากที่น่าเคลือบแคลง เพราะเจตนาของการลงทุนไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความพอดี พอเพียง และโปร่งใสเพียงพอ หลังพบว่าโครงการลงทุนส่วนใหญ่มีต้นทุนที่สูงเกินจริง ตัวอย่างเช่น เงินลงทุนในหุ้น SIRI มูลค่า 2,268 ล้านบาท มีต้นทุนสูงถึงหุ้นละ 6.50 บาท
ข้อมูลจากโครงสร้างผู้ถือหุ้น วันที่ 26 ธันวาคม 2551 พบว่ามีนักลงทุน "ติดหุ้น" เอ็นพาร์ค สูงถึง 9,241 ราย และค่อนข้างชัดเจนว่าผู้ถือหุ้นเกือบทั้งหมด "เจ๊งหุ้น" อย่างหนัก สังเกตได้จากทิศทางราคาหุ้นที่เป็น "ขาลง-ขาเดียว" ถ้ายังไม่ลืมกัน เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551 N Park มีการเพิ่มทุนมหาศาลจากการเพิ่มทุนจาก 8,057 ล้านหุ้น เป็น 12,086 ล้านหุ้น อย่างไรก็ตามก่อนจะเพิ่มทุนจำนวนมหาศาลครั้งนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่หลายกลุ่มไหวตัวยอมขายหุ้นขาดทุนออกไปก่อน อาทิ
- วันที่ 29 ธันวาคม 2551 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด ขายหุ้นทั้งหมด 847.15 ล้านหุ้น คิดเป็น 7% อ้างว่าโอนให้ ยุพเยาว์ บุญสม และ สิทธินรี ลาภธนานุกูล อดีตผู้ถือหุ้นอันดับที่สี่และห้า โรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) แต่ปิดสมุดทะเบียนจริงๆทั้งสองกลับไม่มีหุ้นแต่อย่างใด
- ฉัตรชัย เลียงศรีสุข ซึ่งเดิมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองสัดส่วน 5.38% ซึ่งเคยให้คำมั่นสัญญาออกสื่อกับผู้ถือหุ้นว่าจะลงทุนระยะยาว แต่สุดท้ายก็ได้ขายหุ้นออกไปทั้งหมด
- ฉัตรสุดา เบ็ญจนิรัตน์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นนอมินีของ สอง วัชรศรีโรจน์ ก็ได้ขายหุ้นออกไปทั้งหมด
**ถ้าพบ Story หุ้นตัวใดในปัจจุบันเป็นลักษณะนี้โปรดระวังด้วย ราคามันจะไหลลงไปเรื่อยๆเพราะ ORDER จากผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะสั่งขายไม่เลี้ยงทุกๆวัน ถ้ามันประกาศเพิ่มทุนขึ้นมาเมื่อไรมันก็คือ N PARK นี่เอง**
30 เม.ษ. 2552 ได้เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นในที่ประชุมผู้ถือหุ้น N PARK โดยมีผู้ถือหุ้นรายย่อย นางพรทิพย์ (ไม่ทราบนามสกุล) ได้ลุกขึ้นยืนและกล่าวหาผู้บริหารว่า บริหารงานล้มเหลว จนทำให้ราคาหุ้นตกต่ำ และตนได้ดูการประชุมผู้ถือหุ้นในต่างประเทศที่ได้ใช้รองเท้าปาหน้าผู้บริหาร ซึ่งตนมีสิทธิ์เช่นเดียวกันที่ทำแบบนั้น พร้อมกันได้ทำท่าถอดรองเท้าแต่มีผู้ถือหุ้นรายอื่นร้องห้ามไว้ จากนั้น ได้มีพนักงานรักษาความปลอดภัยเข้ามาเชิญตัวนางพรทิพย์ ออกไปนอกห้อง ซึ่งนางพรทิพย์ได้แสดงความไม่พอใจ ด้วยการหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะปาไปยังด้านหน้าโต๊ะผู้บริหารซึ่งนั่งอยู่บนโพเดียม เช่น นายเสริมสิน สมะลาภา, ม.ร.ว. เกษมสโมสร เกษมศรี ประธานกรรมการ เป็นต้น จนแก้วแตกกระจายบนพื้น แต่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
อภิมหาตำนานสุสานฝังนักลงทุน N PARK
ครั้งหนึ่ง เสริมสิน เคยแสดงวิธีคิดไว้อย่างน่าสนใจว่า ถ้าเป็นช่วงที่ธุรกิจสามารถระดมทุนได้เร็วและเศรษฐกิจภาพรวมเป็นขาขึ้น วิธี M&A (Merger and Acquisition) ก็จะเป็นทางลัดที่ธุรกิจจะสามารถโตแบบ "ก้าวกระโดด" แนวคิดนี้ไม่ผิด แต่วิธีการต่างหากที่น่าเคลือบแคลง เพราะเจตนาของการลงทุนไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความพอดี พอเพียง และโปร่งใสเพียงพอ หลังพบว่าโครงการลงทุนส่วนใหญ่มีต้นทุนที่สูงเกินจริง ตัวอย่างเช่น เงินลงทุนในหุ้น SIRI มูลค่า 2,268 ล้านบาท มีต้นทุนสูงถึงหุ้นละ 6.50 บาท
ข้อมูลจากโครงสร้างผู้ถือหุ้น วันที่ 26 ธันวาคม 2551 พบว่ามีนักลงทุน "ติดหุ้น" เอ็นพาร์ค สูงถึง 9,241 ราย และค่อนข้างชัดเจนว่าผู้ถือหุ้นเกือบทั้งหมด "เจ๊งหุ้น" อย่างหนัก สังเกตได้จากทิศทางราคาหุ้นที่เป็น "ขาลง-ขาเดียว" ถ้ายังไม่ลืมกัน เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551 N Park มีการเพิ่มทุนมหาศาลจากการเพิ่มทุนจาก 8,057 ล้านหุ้น เป็น 12,086 ล้านหุ้น อย่างไรก็ตามก่อนจะเพิ่มทุนจำนวนมหาศาลครั้งนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่หลายกลุ่มไหวตัวยอมขายหุ้นขาดทุนออกไปก่อน อาทิ
- วันที่ 29 ธันวาคม 2551 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด ขายหุ้นทั้งหมด 847.15 ล้านหุ้น คิดเป็น 7% อ้างว่าโอนให้ ยุพเยาว์ บุญสม และ สิทธินรี ลาภธนานุกูล อดีตผู้ถือหุ้นอันดับที่สี่และห้า โรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) แต่ปิดสมุดทะเบียนจริงๆทั้งสองกลับไม่มีหุ้นแต่อย่างใด
- ฉัตรชัย เลียงศรีสุข ซึ่งเดิมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองสัดส่วน 5.38% ซึ่งเคยให้คำมั่นสัญญาออกสื่อกับผู้ถือหุ้นว่าจะลงทุนระยะยาว แต่สุดท้ายก็ได้ขายหุ้นออกไปทั้งหมด
- ฉัตรสุดา เบ็ญจนิรัตน์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นนอมินีของ สอง วัชรศรีโรจน์ ก็ได้ขายหุ้นออกไปทั้งหมด
**ถ้าพบ Story หุ้นตัวใดในปัจจุบันเป็นลักษณะนี้โปรดระวังด้วย ราคามันจะไหลลงไปเรื่อยๆเพราะ ORDER จากผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะสั่งขายไม่เลี้ยงทุกๆวัน ถ้ามันประกาศเพิ่มทุนขึ้นมาเมื่อไรมันก็คือ N PARK นี่เอง**
30 เม.ษ. 2552 ได้เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นในที่ประชุมผู้ถือหุ้น N PARK โดยมีผู้ถือหุ้นรายย่อย นางพรทิพย์ (ไม่ทราบนามสกุล) ได้ลุกขึ้นยืนและกล่าวหาผู้บริหารว่า บริหารงานล้มเหลว จนทำให้ราคาหุ้นตกต่ำ และตนได้ดูการประชุมผู้ถือหุ้นในต่างประเทศที่ได้ใช้รองเท้าปาหน้าผู้บริหาร ซึ่งตนมีสิทธิ์เช่นเดียวกันที่ทำแบบนั้น พร้อมกันได้ทำท่าถอดรองเท้าแต่มีผู้ถือหุ้นรายอื่นร้องห้ามไว้ จากนั้น ได้มีพนักงานรักษาความปลอดภัยเข้ามาเชิญตัวนางพรทิพย์ ออกไปนอกห้อง ซึ่งนางพรทิพย์ได้แสดงความไม่พอใจ ด้วยการหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะปาไปยังด้านหน้าโต๊ะผู้บริหารซึ่งนั่งอยู่บนโพเดียม เช่น นายเสริมสิน สมะลาภา, ม.ร.ว. เกษมสโมสร เกษมศรี ประธานกรรมการ เป็นต้น จนแก้วแตกกระจายบนพื้น แต่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ