ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่อยู่ในโหมดนอยด์เพราะเพิ่งได้เจอกับแฟนมาหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมา 5 เดือน แล้วไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก เหมือนมันไม่มีอนาคตยังไงก็ไม่รู้ จะไปบ่นที่ไหนก็ไม่ค่อยมีใครอยากฟัง 55555
แฟนเราคนอังกฤษค่ะ เป็นคนงานยุ่ง ต้องเดินทางบ่อย บ่อยจนแทบไม่มีโอกาสได้ใช้วันลาพักร้อนในแต่ละปีเพราะเดินทางแต่ละทีพอกลับเข้าออฟฟิศก็มีงานสุมรอยังเคลียร์งานไม่เสร็จดีก็ต้องไปอีกล่ะ เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะลางานมาลั้นลาเมืองไทยนี่ไม่ต้องคิดเลย เราจะได้เจอกันเวลาที่เค้ามาทำงานเมืองไทยหรือประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงเท่านั้น ปีนึงอาจจะประมาณ 2-3 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 1 อาทิตย์ แล้วถ้าไปเจอกันที่ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงก็แปลว่าเราต้องใช้วันลา เพราะฉะนั้นเราก็ไม่เหลือวันลาให้หยุดยาวไปหาเค้าที่อังกฤษได้เหมือนกัน (แต่ไปเที่ยวแถวนี้ก็โอเคนะ ไม่ต้องเดินทางไกล)
แล้วด้วยความที่นางงานยุ่ง การติดต่อสื่อสารอะไรมันก็น้อยนิดอ่ะค่ะ อีเมล์สั้นๆ เมสเสจสั้นๆ โทรศัพท์คุยกัน 2 นาทีเงี้ย!!!! บางทีเราลองดูว่าถ้าเราไม่ติดต่อไปเราต้องรอกี่วันนางถึงจะติดต่อมา นู้นแหละค่ะ 2-3 วันเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่ถ้าเป็นช่วงวางแผนเดินทางก็จะพัฒนาขึ้นมาบ้าง การสื่อสารจะถี่หน่อย แต่ความสั้นไม่ได้พัฒนาเลย
แรงใจของเราในทุกวันนี้คือช่วงเวลาที่ได้เจอกันเท่านั้นเองค่ะ เพราะเวลาอยู่ด้วยกันเค้าดูแลเราดีมาก ใส่ใจทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกรายละเอียด ก่อนนอนก็มีการเอาน้ำมาวางไว้ให้ข้างเตียง ถึงแม้ว่าเค้าก็ต้องไปทำงานของเค้า แต่เสร็จงานก็จะพุ่งกลับมาทันที รายงานความประพฤติทุกระยะว่าตอนนี้เสร็จงานแล้วนะ กำลังจะกลับไปโรงแรมแล้ว ขนาดรถติดยังเมสเสจมาบอก สื่อสารกันถี่กว่าตอนอยู่ห่างกันอีก แล้วด้วยความที่งานเค้าอยู่ในแนว Marketing ก็ต้องไปพบปะกับเอเจ่นต์บ้าง บางทีก็ต้องไปกินข้าวเย็นกับทางนั้นปล่อยให้เรากินข้าวคนเดียว แต่เค้าก็จะแค่ไปกินข้าว ใครชวนไปต่อไหนก็จะไม่ไป พอว่างก็จะใช้เวลาอยู่กับเราตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรก็เอาความชอบของเราเป็นหลัก ทำแม้กระทั่งหาแผนที่หรือสถานที่ท่องเที่ยวให้เราเอาไว้ใช้ฆ่าเวลาระหว่างเค้าทำงาน ทุกทริปที่ออกนอกประเทศเราเหมือนเป็นเจ้าหญิงน้อยๆ ดีๆ นี่เอง เวลาเค้ามาเมืองไทยก็ไม่ต่างกันมากเพียงแต่เค้าไม่ต้องห่วงเรามากนัก เพราะกลางวันเราก็ต้องไปทำงานของเรา ถ้าเค้าต้องไปดินเนอร์เราก็อยู่ของเราได้เพราะกรุงเทพฯ คือบ้านของเราอยู่แล้ว
ปัญหาอย่างเดียวของเราคือเวลาเค้ากลับไปอังกฤษแล้วเหมือนจะลืมๆ เราไปในบางเวลานั่นแหละ เราเคยบ่นหลายทีแล้วก็จะดีขึ้นแป๊บนึง หรือบางทีเลือกที่จะไม่บ่นเงียบหายไปก็จะดีขึ้นมาอีกแป๊บนึง แล้วทุกอย่างก็กลับไปเหมือนเดิม พอเป็นอย่างนี้นานๆ เข้าตอนนี้เราก็เริ่มมีปัญหากับเรื่องที่ว่าอนาคตของเรามันไม่แน่นอนเลย ไม่สามารถกำหนดได้ว่าเมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีกครั้ง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตารางการเดินทางของเค้าซึ่งตัวเค้าเองก็กำหนดล่วงหน้าไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะต้องเดินทางไปประเทศไหน ไอ้งานที่กำหนดตายตัวรู้ตัวล่วงหน้านานๆ ก็จะเป็นงานแฟร์ใหญ่ๆ ไม่ที่ยุโรปก็อเมริกา บอกตามตรงว่าเบื่อไม่อยากจะเจอกันด้วยการ tie-in กับ business trip ของเค้าแล้ว ถ้าเราบ่นเรื่องนี้เค้าก็จะบอกว่าให้เข้าใจเค้าหน่อยว่าเค้ากำหนดไม่ได้จริงๆ แต่ถ้าเราอยากจะวางแผนเพื่อไปหาเค้าที่อังกฤษเค้าก็ไม่มีปัญหา ยินดีต้อนรับ แต่อย่าลืมว่าเค้าต้องทำงาน อาจจะว่างแค่ weekend หรืออาจจะลางานได้แค่ 2-3 วันเพื่อพาเราไปเที่ยวใกล้ๆ แต่ใครจะรู้ว่าถ้าเราวางแผนไปแล้วอยู่ดีๆ พ่อคุณถูกส่งมาทำงานเอเชีย, อเมริกาหรือแอฟริกาช่วงนั้นพอดีล่ะ คือถ้าถูกส่งไปต่างเมืองหรือยุโรปยังพอหอบเราไปด้วยไหว แต่ถ้าเป็นทวีปอื่นก็ซวย เพราะเอากันจริงๆ เราอาจจะพอลางานไปเยี่ยมเค้าได้ซัก 2 อาทิตย์ ถ้าอยู่ดีๆ พ่อตัวดีต้องไปต่างประเทศอาทิตย์นึงในช่วงนั้นนี่ซวยมากๆๆๆๆ แล้วไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ด้วยเพราะทริปกะทันหันแบบลูกค้าโทรฯ มาบอกล่วงหน้าไม่ถึงอาทิตย์นี่มีประจำ
ระหว่างที่เรากำลังพิมพ์บ่นอยู่นี่คุณชายก็อยู่ในระหว่างการเดินทางไปต่างเมืองเพื่อให้ปากคำกับศาลในคดีที่เกี่ยวข้องกับงานเค้า ตอนที่เค้าบอกเราแอบปรี๊ดว่าตกลงต้องทำทุกอย่างเลยป่ะเนี่ย แล้วเรายังเผลอแอบคิดว่า "แม่มมมมมมมมมม...........โกหกตรูป่าววะ" แอบไป google อีกว่ามีคดีที่ว่าจริงเปล่าเท่าที่เค้าให้รายละเอียดมา (ชื่อเมืองที่เกิดเหตุและเหตุการณ์เกี่ยวกับอะไร) ปรากฏว่าก็มีจริงๆ แล้วก็เกี่ยวข้องกับบริษัทเค้าจริงๆ และมีการสืบสวนความกันวันนี้จริงๆ คือตอนนี้ยอมรับว่านอยด์เข้าขั้นสุด เริ่มระแวงสงสัยทั้งๆ ที่ที่ผ่านมาแทบจะไม่สงสัยอะไรเลย เพราะเค้าค่อนข้างเปิดเผย ไปไหนทำอะไรก็บอกตลอด บอกตามตรงว่าเริ่มท้อว่ามันจะเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีอนาคตอ่ะค่ะ


รักทางไกล...........ทำไมมันยากอย่างนี้ฟระ!!!
แฟนเราคนอังกฤษค่ะ เป็นคนงานยุ่ง ต้องเดินทางบ่อย บ่อยจนแทบไม่มีโอกาสได้ใช้วันลาพักร้อนในแต่ละปีเพราะเดินทางแต่ละทีพอกลับเข้าออฟฟิศก็มีงานสุมรอยังเคลียร์งานไม่เสร็จดีก็ต้องไปอีกล่ะ เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะลางานมาลั้นลาเมืองไทยนี่ไม่ต้องคิดเลย เราจะได้เจอกันเวลาที่เค้ามาทำงานเมืองไทยหรือประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงเท่านั้น ปีนึงอาจจะประมาณ 2-3 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 1 อาทิตย์ แล้วถ้าไปเจอกันที่ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงก็แปลว่าเราต้องใช้วันลา เพราะฉะนั้นเราก็ไม่เหลือวันลาให้หยุดยาวไปหาเค้าที่อังกฤษได้เหมือนกัน (แต่ไปเที่ยวแถวนี้ก็โอเคนะ ไม่ต้องเดินทางไกล)
แล้วด้วยความที่นางงานยุ่ง การติดต่อสื่อสารอะไรมันก็น้อยนิดอ่ะค่ะ อีเมล์สั้นๆ เมสเสจสั้นๆ โทรศัพท์คุยกัน 2 นาทีเงี้ย!!!! บางทีเราลองดูว่าถ้าเราไม่ติดต่อไปเราต้องรอกี่วันนางถึงจะติดต่อมา นู้นแหละค่ะ 2-3 วันเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่ถ้าเป็นช่วงวางแผนเดินทางก็จะพัฒนาขึ้นมาบ้าง การสื่อสารจะถี่หน่อย แต่ความสั้นไม่ได้พัฒนาเลย
แรงใจของเราในทุกวันนี้คือช่วงเวลาที่ได้เจอกันเท่านั้นเองค่ะ เพราะเวลาอยู่ด้วยกันเค้าดูแลเราดีมาก ใส่ใจทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกรายละเอียด ก่อนนอนก็มีการเอาน้ำมาวางไว้ให้ข้างเตียง ถึงแม้ว่าเค้าก็ต้องไปทำงานของเค้า แต่เสร็จงานก็จะพุ่งกลับมาทันที รายงานความประพฤติทุกระยะว่าตอนนี้เสร็จงานแล้วนะ กำลังจะกลับไปโรงแรมแล้ว ขนาดรถติดยังเมสเสจมาบอก สื่อสารกันถี่กว่าตอนอยู่ห่างกันอีก แล้วด้วยความที่งานเค้าอยู่ในแนว Marketing ก็ต้องไปพบปะกับเอเจ่นต์บ้าง บางทีก็ต้องไปกินข้าวเย็นกับทางนั้นปล่อยให้เรากินข้าวคนเดียว แต่เค้าก็จะแค่ไปกินข้าว ใครชวนไปต่อไหนก็จะไม่ไป พอว่างก็จะใช้เวลาอยู่กับเราตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรก็เอาความชอบของเราเป็นหลัก ทำแม้กระทั่งหาแผนที่หรือสถานที่ท่องเที่ยวให้เราเอาไว้ใช้ฆ่าเวลาระหว่างเค้าทำงาน ทุกทริปที่ออกนอกประเทศเราเหมือนเป็นเจ้าหญิงน้อยๆ ดีๆ นี่เอง เวลาเค้ามาเมืองไทยก็ไม่ต่างกันมากเพียงแต่เค้าไม่ต้องห่วงเรามากนัก เพราะกลางวันเราก็ต้องไปทำงานของเรา ถ้าเค้าต้องไปดินเนอร์เราก็อยู่ของเราได้เพราะกรุงเทพฯ คือบ้านของเราอยู่แล้ว
ปัญหาอย่างเดียวของเราคือเวลาเค้ากลับไปอังกฤษแล้วเหมือนจะลืมๆ เราไปในบางเวลานั่นแหละ เราเคยบ่นหลายทีแล้วก็จะดีขึ้นแป๊บนึง หรือบางทีเลือกที่จะไม่บ่นเงียบหายไปก็จะดีขึ้นมาอีกแป๊บนึง แล้วทุกอย่างก็กลับไปเหมือนเดิม พอเป็นอย่างนี้นานๆ เข้าตอนนี้เราก็เริ่มมีปัญหากับเรื่องที่ว่าอนาคตของเรามันไม่แน่นอนเลย ไม่สามารถกำหนดได้ว่าเมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีกครั้ง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตารางการเดินทางของเค้าซึ่งตัวเค้าเองก็กำหนดล่วงหน้าไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะต้องเดินทางไปประเทศไหน ไอ้งานที่กำหนดตายตัวรู้ตัวล่วงหน้านานๆ ก็จะเป็นงานแฟร์ใหญ่ๆ ไม่ที่ยุโรปก็อเมริกา บอกตามตรงว่าเบื่อไม่อยากจะเจอกันด้วยการ tie-in กับ business trip ของเค้าแล้ว ถ้าเราบ่นเรื่องนี้เค้าก็จะบอกว่าให้เข้าใจเค้าหน่อยว่าเค้ากำหนดไม่ได้จริงๆ แต่ถ้าเราอยากจะวางแผนเพื่อไปหาเค้าที่อังกฤษเค้าก็ไม่มีปัญหา ยินดีต้อนรับ แต่อย่าลืมว่าเค้าต้องทำงาน อาจจะว่างแค่ weekend หรืออาจจะลางานได้แค่ 2-3 วันเพื่อพาเราไปเที่ยวใกล้ๆ แต่ใครจะรู้ว่าถ้าเราวางแผนไปแล้วอยู่ดีๆ พ่อคุณถูกส่งมาทำงานเอเชีย, อเมริกาหรือแอฟริกาช่วงนั้นพอดีล่ะ คือถ้าถูกส่งไปต่างเมืองหรือยุโรปยังพอหอบเราไปด้วยไหว แต่ถ้าเป็นทวีปอื่นก็ซวย เพราะเอากันจริงๆ เราอาจจะพอลางานไปเยี่ยมเค้าได้ซัก 2 อาทิตย์ ถ้าอยู่ดีๆ พ่อตัวดีต้องไปต่างประเทศอาทิตย์นึงในช่วงนั้นนี่ซวยมากๆๆๆๆ แล้วไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ด้วยเพราะทริปกะทันหันแบบลูกค้าโทรฯ มาบอกล่วงหน้าไม่ถึงอาทิตย์นี่มีประจำ
ระหว่างที่เรากำลังพิมพ์บ่นอยู่นี่คุณชายก็อยู่ในระหว่างการเดินทางไปต่างเมืองเพื่อให้ปากคำกับศาลในคดีที่เกี่ยวข้องกับงานเค้า ตอนที่เค้าบอกเราแอบปรี๊ดว่าตกลงต้องทำทุกอย่างเลยป่ะเนี่ย แล้วเรายังเผลอแอบคิดว่า "แม่มมมมมมมมมม...........โกหกตรูป่าววะ" แอบไป google อีกว่ามีคดีที่ว่าจริงเปล่าเท่าที่เค้าให้รายละเอียดมา (ชื่อเมืองที่เกิดเหตุและเหตุการณ์เกี่ยวกับอะไร) ปรากฏว่าก็มีจริงๆ แล้วก็เกี่ยวข้องกับบริษัทเค้าจริงๆ และมีการสืบสวนความกันวันนี้จริงๆ คือตอนนี้ยอมรับว่านอยด์เข้าขั้นสุด เริ่มระแวงสงสัยทั้งๆ ที่ที่ผ่านมาแทบจะไม่สงสัยอะไรเลย เพราะเค้าค่อนข้างเปิดเผย ไปไหนทำอะไรก็บอกตลอด บอกตามตรงว่าเริ่มท้อว่ามันจะเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีอนาคตอ่ะค่ะ