เสียกรุงฯอีกครั้ง (กลางอากาศ)
อย่างที่ทราบกันดีว่าเราไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของชาติใด
มันเป็นความภาคภูมิใจลึกๆตั้งแตได้รับรู้เรื่องนี้ครั้งแรกตอนเรียนประวัติศาสตร์ชั้นปฐม
แม้ในสมัยแห่งการล่าอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจ ในช่วงรัชสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 5
เราก็รอดพ้นมาได้ด้วยพระปรีชา
จะมีก็แต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่สยามตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า ในช่วงที่แพ้สงคราม ถึงสองครั้งสองครา
เสียกรุงครั้งที่ 1 สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พศ.2112
เสียกรุงครั้งที่ 2 สมัยพระเจ้าเอกทัศน์ พศ. 2310
แต่นอกนั้นบอกเลยว่า เราไม่เคยตกเป็นของใคร !!!
มาถึงตรงนี้ท่านคงสงสัยว่า Kiwi_brown ต้องการจะสื่ออะไร ทำไมต้องกล่าวอ้างชักแม่น้ำทั้งสามสายของประวัติศาสตร์
เหมือนครั้งที่เรียนตอน ป.2 บอกตามตรงว่าอยากให้ฮึกเหิมตามสักหน่อยก่อน เพื่อเข้าสู่เรื่องราวอันน่าสะพรึงไปด้วยกัน
เรื่องของเรื่องก็คือ เมื่อสัปดาห์ก่อนได้มีโอกาสนำภาพวาด ครั้งสมัยเมื่อ 6 ปีก่อน ที่ไปนั่งวาดสถูปเจดีย์ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยามาอวดโชว์ความขลัง จากนั้นก็เริ่มย้อนมาสนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์อีกครั้ง หลังจากที่แต่ก่อนเคยสนใจเป็นงานอดิเรก ที่สุดเลยตัดสินใจแบกเป้ไปเที่ยวอยุธยาในช่วงเสาร์ อาทิตย์ ที่ผ่านมา เพื่อเก็บความรู้สึกและข้อมูลสถานที่สำคัญนู้นนี่นั่น เก็บรูปถ่ายสวยๆ ตามความตั้งใจ
เมื่อเหนื่อยพอประมาณ ก็เริ่มค้นหาข้อมูล ประวัติศาสตร์ของสิ่งต่างๆ ไปเรื่อย ตามเว็บไซต์ภาษาไทย (เพราะเราถนัดภาษาไทยอยู่แล้ว ตามสไตล์ไทยๆ อย่างเรา) ผลก็คือ Kiwi_brown ได้รับการอนุเคราะห์ จากเว็บไซต์เหล่านั้นพอประมาณ แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้ตอนค้นหาข้อมูล พบว่า ข้อมูลมันกระจัดกระจายตามเว็บต่างๆ เรียบเรียงยาก
ท้ายสุดเกิดแรงบันดาลใจในบัดดลว่า อยากจะรวบรวมสิ่งที่รู้เกี่ยวกับอยุธยาขึ้นมาสักครั้ง ทำแบบงานเขียนของคนนอกวงการประวัติศาสตร์ผสมมุมมองของเราเอง ท้ายที่สุดฝันต่อไปอีกว่า เราจะทำเป็นสื่อออนไลน์ เว็บไซต์ อะไรเทือกนั้น เอาแบบรวมรวมตามความถนัด แต่ให้เห็นภาพรวมและต่อกันเป็นเรื่องราว มีบางมุมที่เขียนเหมือนนิยาย ให้มันดูน่าตื่นเต้น ไม่แข็งเป็นคอนกรีต เหมือนตอนที่เรียน มันคงเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่น่าจดจำ
เมื่อฝันถึงตรงนี้แล้วก็ฝันต่อไปอีกว่า เราจะตั้งชื่อ เว็บว่าไรดีน้า ลองดูสิว่า เว็บไซต์ชื่อ Ayutthaya นี่เขาใช้กันรึยัง
พอมาถึงตรงนี้ก็เกิดสะพรึงขึ้นมา เมื่อพบว่า แบรนด์ Ayutthaya ของเรานั้นถูกตีตราจองไว้อย่างมากมาย มีทั้ง Ayuthaya (แบบ t เดียว)
และ Ayutthaya (แบบ tt) ทั้ง .com .net และ ที่สำคัญโดนจดทะเบียนโดเมนโดยชาวต่างชาติ ร้อยละ 80 เป็นเว็บเชิงพาณิชย์ที่เชิญชวนให้ไปที่นั่นที่นี่ บางทีก็มีแบบคิดค่าเช่าต่อถ้าอยากใช้เว็บชื่อนี้
ที่กล่าวมานั้นบางท่านอาจมองว่า Kiwi_brown แกมันฉลาดน้อยชะมัด หรือ แกไม่เฉลียวบ้างเหรอว่า ดีแค่ไหนที่ชาวต่างชาติเขาเอาไปโปรโมทให้ เราก็นั่งรับทรัพย์ในฐานะเจ้าของประเทศไง เดี๋ยวนี้ใครเขาอยากลำบากแล้วรวยกันบ้าง รวยแบบสบายๆไม่ดีกว่าหรือ
ใช่ร้อยละ 20 ในใจก็คิดอย่างนั้น แต่อีกร้อยละ 80 ในใจมันค้าน เพราะชื่อเฉพาะเหล่านี้เป็นดั่งตัวแทนของเราแต่โบราณกาล ถ้าจะให้กล่าวถึงคุณค่าร่วมสมัย มันก็คือ แบรนด์ พูดคำว่า อยุธยา คำเดียว คนฟังก็คิดภาพออกถึงเรื่องราว วิถีชีวิตแล้ว ถ้าคุณเป็นเจ้าของโดเมนชื่อเฉพาะดังๆ ก็เหมือนมีหน้าร้านชั้นเยี่ยม คุณจะโปรโมทอะไรก็ได้ คนที่เข้าไปหาเขาก็เชื่อไปเกินครึ่ง สามารถให้ดีให้ร้ายได้เลยทีเดียว พอเห็นอย่างนี้จากสะพรึงก็ห่อเหี่ยวเกิดความรู้สึกขึ้นมาเองว่า “นี่มันเสียกรุงฯครั้งที่ 3 นี่หว่า” คิดแบบคนขี้หวง ผสมกับความรู้ที่มีอันน้อยนิด ไม่รู้ล่ะ ชื่อเรา เราหวง
เท่านั้นแหละมันคุกรุ่น ขึ้นมา ในหัวสมองเริ่มจินตนาการถึงการแบ่งเขตแดนบนอากาศ นี่เท่ากับเราตกเป็นเมืองขึ้นกลางอากาศให้เขาเหรอเนี่ย!!! นี่ถ้าเขาผูกขาดโดเมนโดยการต่ออายุไปทุกๆปี เราก็เงิบ ไม่มีโอกาสได้ใช้ชื่อแต่โบราณกาลของเราอ่ะดิ ทำไมๆ เริ่มถามกับตัวเอง ก็เลยไปหาข้อมูลเกี่ยวกับการจดชื่อ โดเมน ก็ถึงบางอ้อ
เพราะการจดโดเมน เป็นแบบ
“ชื่อโดเมนซึ่งตั้งอยู่บนหลักการจดก่อนได้ก่อนมาแต่เดิม (a first come first served basis)”
(อ้างอิงจากข้อมูลจาก
http://thnic.or.th/domain-dispute/ มูลนิธิศูนย์สารสนเทศเครือข่ายไทย)
จริงๆ แล้วก็แค่คิดว่าควรเป็นคนไทยที่ได้ใช้ชื่อเฉพาะสร้างโดเมน เพื่อประโยชน์ทางการค้าสูงสุดและเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ที่สำคัญ ใครที่จะรู้จักเราดีกว่าตัวเราล่ะ
แต่กระนั้น จะให้เราๆ ทำเว็บชื่อ Ayutthaya หรือ Ayuthaya เอง ก็คงมีอุปสรรคหลายอย่าง
เช่น อุปสรรคด้านภาษา , อุปสรรคด้านการเรียบเรียงเนื้อหาให้ดูน่าสนใจ เราจึงต้องมีตัวกลางทำให้โดยปริยาย
ท้ายที่สุด เมื่อผ่านความสะพรึงมาช่วงหนึ่งก็ เริ่มมองหาเว็บประวัติศาสตร์ดีๆ อ่านต่อไป ท้ายที่สุดก็เจอเว็บที่ทำให้ชื่นชม และให้คะแนนในเรื่องการรวบรวมเนื้อหา เมื่อเข้าไปดูเว็บนี้
http://www.ayutthaya-history.com/
เป็นเว็บที่ทำ Research เกี่ยวกับอยุธยา โดยคนต่างชาติกลุ่มหนึ่ง เขามาอยู่เพื่อศึกษาเป็นปีๆ ท้ายที่สุดก็สังเคราะห์ออกมาเป็นเนื้อหาได้ดีมาก โดยเฉพาะการรวมเอาแผนที่โบราณมารวมไว้ในที่เดียว ดูสิ ต้องยอมจริงๆ
ไม่รู้สินะเรามีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากมาย ที่ดีกว่าเว็บด้านบน ทว่ามันกระจัดกระจายไปอยู่ในชื่อเว็บอื่นที่ไม่ค่อยสื่อถึงอยุธยา (เพราะชื่อเราโดนยึดไปแล้ว) และเรียบเรียงยาก ในเวลาช่วงสั้นๆที่คนๆหนึ่งอยากอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับอยุธยาแบบเนื้อหาไม่ลึกไม่ตื้นเกินไป ค้นหาง่าย กลับเป็นเว็บไซต์นี้ที่น่าอ่าน แม้จะไม่ได้เป็นภาษาไทย เปรียบเหมือน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่หาง่าย กินอร่อย ได้รสชาติในยามหิว
เพราะแม้กระทั่งเปิดเข้าไปของเราที่เป็น .go.th ก็ไม่มีเนื้อหาประวัติศาสตร์สำเร็จรูปแบบนี้เลย จะมีก็เรื่อง ข่าว ร้องเรียน เว็บบอร์ด แผนผังเว็บไซต์ ใครชื่ออะไร ประมาณนั้น มันก็ดีนะในแง่คนที่เขาใช้งานส่วนนั้น แต่สำหรับเรากลับไม่มีอะไรให้ศึกษา
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงความในใจของคนรู้น้อย เพียงแค่อยากเขียนเรื่องสั้นตามนิสัยขี้หวงเท่านั้นเอง
เสียกรุงฯอีกครั้ง (กลางอากาศ)
เสียกรุงฯอีกครั้ง (กลางอากาศ)
อย่างที่ทราบกันดีว่าเราไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของชาติใด
มันเป็นความภาคภูมิใจลึกๆตั้งแตได้รับรู้เรื่องนี้ครั้งแรกตอนเรียนประวัติศาสตร์ชั้นปฐม
แม้ในสมัยแห่งการล่าอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจ ในช่วงรัชสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 5
เราก็รอดพ้นมาได้ด้วยพระปรีชา
จะมีก็แต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่สยามตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า ในช่วงที่แพ้สงคราม ถึงสองครั้งสองครา
เสียกรุงครั้งที่ 1 สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พศ.2112
เสียกรุงครั้งที่ 2 สมัยพระเจ้าเอกทัศน์ พศ. 2310
แต่นอกนั้นบอกเลยว่า เราไม่เคยตกเป็นของใคร !!!
มาถึงตรงนี้ท่านคงสงสัยว่า Kiwi_brown ต้องการจะสื่ออะไร ทำไมต้องกล่าวอ้างชักแม่น้ำทั้งสามสายของประวัติศาสตร์
เหมือนครั้งที่เรียนตอน ป.2 บอกตามตรงว่าอยากให้ฮึกเหิมตามสักหน่อยก่อน เพื่อเข้าสู่เรื่องราวอันน่าสะพรึงไปด้วยกัน
เรื่องของเรื่องก็คือ เมื่อสัปดาห์ก่อนได้มีโอกาสนำภาพวาด ครั้งสมัยเมื่อ 6 ปีก่อน ที่ไปนั่งวาดสถูปเจดีย์ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยามาอวดโชว์ความขลัง จากนั้นก็เริ่มย้อนมาสนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์อีกครั้ง หลังจากที่แต่ก่อนเคยสนใจเป็นงานอดิเรก ที่สุดเลยตัดสินใจแบกเป้ไปเที่ยวอยุธยาในช่วงเสาร์ อาทิตย์ ที่ผ่านมา เพื่อเก็บความรู้สึกและข้อมูลสถานที่สำคัญนู้นนี่นั่น เก็บรูปถ่ายสวยๆ ตามความตั้งใจ
เมื่อเหนื่อยพอประมาณ ก็เริ่มค้นหาข้อมูล ประวัติศาสตร์ของสิ่งต่างๆ ไปเรื่อย ตามเว็บไซต์ภาษาไทย (เพราะเราถนัดภาษาไทยอยู่แล้ว ตามสไตล์ไทยๆ อย่างเรา) ผลก็คือ Kiwi_brown ได้รับการอนุเคราะห์ จากเว็บไซต์เหล่านั้นพอประมาณ แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้ตอนค้นหาข้อมูล พบว่า ข้อมูลมันกระจัดกระจายตามเว็บต่างๆ เรียบเรียงยาก
ท้ายสุดเกิดแรงบันดาลใจในบัดดลว่า อยากจะรวบรวมสิ่งที่รู้เกี่ยวกับอยุธยาขึ้นมาสักครั้ง ทำแบบงานเขียนของคนนอกวงการประวัติศาสตร์ผสมมุมมองของเราเอง ท้ายที่สุดฝันต่อไปอีกว่า เราจะทำเป็นสื่อออนไลน์ เว็บไซต์ อะไรเทือกนั้น เอาแบบรวมรวมตามความถนัด แต่ให้เห็นภาพรวมและต่อกันเป็นเรื่องราว มีบางมุมที่เขียนเหมือนนิยาย ให้มันดูน่าตื่นเต้น ไม่แข็งเป็นคอนกรีต เหมือนตอนที่เรียน มันคงเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่น่าจดจำ
เมื่อฝันถึงตรงนี้แล้วก็ฝันต่อไปอีกว่า เราจะตั้งชื่อ เว็บว่าไรดีน้า ลองดูสิว่า เว็บไซต์ชื่อ Ayutthaya นี่เขาใช้กันรึยัง
พอมาถึงตรงนี้ก็เกิดสะพรึงขึ้นมา เมื่อพบว่า แบรนด์ Ayutthaya ของเรานั้นถูกตีตราจองไว้อย่างมากมาย มีทั้ง Ayuthaya (แบบ t เดียว)
และ Ayutthaya (แบบ tt) ทั้ง .com .net และ ที่สำคัญโดนจดทะเบียนโดเมนโดยชาวต่างชาติ ร้อยละ 80 เป็นเว็บเชิงพาณิชย์ที่เชิญชวนให้ไปที่นั่นที่นี่ บางทีก็มีแบบคิดค่าเช่าต่อถ้าอยากใช้เว็บชื่อนี้
ที่กล่าวมานั้นบางท่านอาจมองว่า Kiwi_brown แกมันฉลาดน้อยชะมัด หรือ แกไม่เฉลียวบ้างเหรอว่า ดีแค่ไหนที่ชาวต่างชาติเขาเอาไปโปรโมทให้ เราก็นั่งรับทรัพย์ในฐานะเจ้าของประเทศไง เดี๋ยวนี้ใครเขาอยากลำบากแล้วรวยกันบ้าง รวยแบบสบายๆไม่ดีกว่าหรือ
ใช่ร้อยละ 20 ในใจก็คิดอย่างนั้น แต่อีกร้อยละ 80 ในใจมันค้าน เพราะชื่อเฉพาะเหล่านี้เป็นดั่งตัวแทนของเราแต่โบราณกาล ถ้าจะให้กล่าวถึงคุณค่าร่วมสมัย มันก็คือ แบรนด์ พูดคำว่า อยุธยา คำเดียว คนฟังก็คิดภาพออกถึงเรื่องราว วิถีชีวิตแล้ว ถ้าคุณเป็นเจ้าของโดเมนชื่อเฉพาะดังๆ ก็เหมือนมีหน้าร้านชั้นเยี่ยม คุณจะโปรโมทอะไรก็ได้ คนที่เข้าไปหาเขาก็เชื่อไปเกินครึ่ง สามารถให้ดีให้ร้ายได้เลยทีเดียว พอเห็นอย่างนี้จากสะพรึงก็ห่อเหี่ยวเกิดความรู้สึกขึ้นมาเองว่า “นี่มันเสียกรุงฯครั้งที่ 3 นี่หว่า” คิดแบบคนขี้หวง ผสมกับความรู้ที่มีอันน้อยนิด ไม่รู้ล่ะ ชื่อเรา เราหวง
เท่านั้นแหละมันคุกรุ่น ขึ้นมา ในหัวสมองเริ่มจินตนาการถึงการแบ่งเขตแดนบนอากาศ นี่เท่ากับเราตกเป็นเมืองขึ้นกลางอากาศให้เขาเหรอเนี่ย!!! นี่ถ้าเขาผูกขาดโดเมนโดยการต่ออายุไปทุกๆปี เราก็เงิบ ไม่มีโอกาสได้ใช้ชื่อแต่โบราณกาลของเราอ่ะดิ ทำไมๆ เริ่มถามกับตัวเอง ก็เลยไปหาข้อมูลเกี่ยวกับการจดชื่อ โดเมน ก็ถึงบางอ้อ
เพราะการจดโดเมน เป็นแบบ
“ชื่อโดเมนซึ่งตั้งอยู่บนหลักการจดก่อนได้ก่อนมาแต่เดิม (a first come first served basis)”
(อ้างอิงจากข้อมูลจาก http://thnic.or.th/domain-dispute/ มูลนิธิศูนย์สารสนเทศเครือข่ายไทย)
จริงๆ แล้วก็แค่คิดว่าควรเป็นคนไทยที่ได้ใช้ชื่อเฉพาะสร้างโดเมน เพื่อประโยชน์ทางการค้าสูงสุดและเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ที่สำคัญ ใครที่จะรู้จักเราดีกว่าตัวเราล่ะ
แต่กระนั้น จะให้เราๆ ทำเว็บชื่อ Ayutthaya หรือ Ayuthaya เอง ก็คงมีอุปสรรคหลายอย่าง
เช่น อุปสรรคด้านภาษา , อุปสรรคด้านการเรียบเรียงเนื้อหาให้ดูน่าสนใจ เราจึงต้องมีตัวกลางทำให้โดยปริยาย
ท้ายที่สุด เมื่อผ่านความสะพรึงมาช่วงหนึ่งก็ เริ่มมองหาเว็บประวัติศาสตร์ดีๆ อ่านต่อไป ท้ายที่สุดก็เจอเว็บที่ทำให้ชื่นชม และให้คะแนนในเรื่องการรวบรวมเนื้อหา เมื่อเข้าไปดูเว็บนี้
http://www.ayutthaya-history.com/
เป็นเว็บที่ทำ Research เกี่ยวกับอยุธยา โดยคนต่างชาติกลุ่มหนึ่ง เขามาอยู่เพื่อศึกษาเป็นปีๆ ท้ายที่สุดก็สังเคราะห์ออกมาเป็นเนื้อหาได้ดีมาก โดยเฉพาะการรวมเอาแผนที่โบราณมารวมไว้ในที่เดียว ดูสิ ต้องยอมจริงๆ
ไม่รู้สินะเรามีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากมาย ที่ดีกว่าเว็บด้านบน ทว่ามันกระจัดกระจายไปอยู่ในชื่อเว็บอื่นที่ไม่ค่อยสื่อถึงอยุธยา (เพราะชื่อเราโดนยึดไปแล้ว) และเรียบเรียงยาก ในเวลาช่วงสั้นๆที่คนๆหนึ่งอยากอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับอยุธยาแบบเนื้อหาไม่ลึกไม่ตื้นเกินไป ค้นหาง่าย กลับเป็นเว็บไซต์นี้ที่น่าอ่าน แม้จะไม่ได้เป็นภาษาไทย เปรียบเหมือน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่หาง่าย กินอร่อย ได้รสชาติในยามหิว
เพราะแม้กระทั่งเปิดเข้าไปของเราที่เป็น .go.th ก็ไม่มีเนื้อหาประวัติศาสตร์สำเร็จรูปแบบนี้เลย จะมีก็เรื่อง ข่าว ร้องเรียน เว็บบอร์ด แผนผังเว็บไซต์ ใครชื่ออะไร ประมาณนั้น มันก็ดีนะในแง่คนที่เขาใช้งานส่วนนั้น แต่สำหรับเรากลับไม่มีอะไรให้ศึกษา
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงความในใจของคนรู้น้อย เพียงแค่อยากเขียนเรื่องสั้นตามนิสัยขี้หวงเท่านั้นเอง