คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
กาเมสุมิจฉาจาร แปลว่า ประพฤติผิดในกาม...
สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองเป็นความประพฤติถูกในกามครับ lol..
แต่ถ้าไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงหรือชายอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาสามีตน หรือหญิงชายที่ประเพณีและกฏหมายห้าม นั้นจึงเรียกว่าประพฤติผิดในกาม
ถ้าศีลห้าครอบคลุมเรื่องสำเร็จความใคร่ด้วย มันก็จะห้ามการมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วยน่ะสิครับ ดังนั้น ศีล ๕ ข้อที่ ๓ไม่ครอบคลุมถึงการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง
องค์ประกอบของศีลข้อ ๓ มีดังนี้
๑. เป็นบุคคลต้องห้าม (หญิงชายอีกฝ่ายนั้น เป็นบุคคลต้องห้ามโดยประเพณี โดยกฏหมาย หรือมีคู่ครองอยู่แล้ว
๒. จิตคิดจะเสพ(มีความต้องการจะมีเพศสัมพันธ์) ในบุคคลต้องห้ามนั้น
๓. การประกอบการเสพ (กระทำการมีเพศสัมพันธ์)
๔. การยังมรรคให้ดำเนินไปในมรรคหรือหยุดอยู่ (อวัยวะเพศทั้งสองฝ่ายได้สัมผัสถูกหรือล่วงล้ำเข้าไป)
มรรคในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงมรรคในการปฏิบัติธรรม หรือมรรคในอริยสัจ๔ แต่หมายถึงอวัยวะที่เกี่ยวเนื่องกับการมีเพศสัมพันธ์ ถ้าเอาตามพระวินัย คือ มุขมรรค (ทางปาก) วัจจมรรค (ทางทวารหนัก) และ ปัสสาวะมรรค (ทางทวารเบา ในที่นี้ก็คือส่วนอวัยวะเพศ)
พูดง่ายๆ ก็คือ การมีเพศสัมพันธ์โดยปาก (ชายเลีย หรือหญิงอม) โดยทางทวารหนัก และทางทวารเบา เป็นต้น ถ้านอกจากความเกี่ยวเนื่องในสามทางนี้ ไม่ใช้การผิดศีลข้อ ๓ โดยสมบูรณ์ แต่ถ้าหากมีประโยคใกล้เคียง ก็จะเรียกว่าเป็นการด่างพร้อยของศีล ยกตัวอย่างเช่น ชายผู้หนึ่งต้องการมีเพศสัมพันธ์กับสตรีที่มีสามีแล้ว สตรีนั้นแม้ยินยอมแต่ก็ยังรู้สึกผิดต่อสามี จึงใช้วิธีใช้มือปล่อยอสุจิให้ชายนั้น อย่างนี้แม้อวัยวะเพศทั้งสองไม่ถึงแก่กัน ศีลข้อ ๓ ไม่ขาด แต่ก็เป็นความด่างพร้อยแห่งศีล
สำหรับเรื่องการปล่อยน้ำอสุจิ หรือการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง
การสำเร็จความใคร่หรือการทำให้น้ำอสุจิเคลื่อนด้วยเจตนานั้น มีห้ามเฉพาะวินัยของพระ คือสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ ทรงบัญญัติห้ามพระภิกษุเจตนาทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน (ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็แล้วแต่ หรือแม้ให้ผู้อื่นทำให้ก็ตาม)
ในพระวินัยปิฎก กล่าวถึงหญิงผู้หนึ่งมีศรัทธาวิปริต (ในคัมภีร์ใช้คำว่าศรัทธายังอ่อน แต่ผมเห็นว่าน่าจะเรียกว่าศรัทธาวิปริตมากกว่า) ชื่อว่า สุปัพพาได้กล่าวกับพระภิกษุว่า ขอพระคุณเจ้าจงมาเสพเมถุน (มีเพศสัมพันธ์)กับตน โดยเชื่อว่าการทำอย่างนี้ตนเองจะได้บุญมาก เป็นการให้ทานอันเลิศ พระภิกษุไม่ทำ เพราะเป็นอาบัติปาราชิก นางจึงกล่าวเสนอโดยนัยต่างๆ เช่นว่า ให้พระภิกษุกระทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน โดยกระทำที่ขาอ่อนของเธอ, ที่สะดือ, เกลียวท้อง, ซอกรักแร้, ช่องหู, มวยผม, ง่ามมือ และ นางจะใช้มือทำเพื่อให้น้ำอสุจิของพระภิกษุนั้นเคลื่อน
เมื่อพระภิกษุกระทำอย่างนี้แล้ว (ในพระวินัยมี ๙ เรื่อง ก็คือมีพระภิกษุ ๙ รูปที่กระทำเรื่องนี้) ได้กังวลว่าตนต้องอาบัติปาราชิกแล้วหรือไม่ จึงไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัสว่า พระภิกษุไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ป.ล. ผมเคยไปสนทนาธรรมกับพระคุณเจ้ารูปหนึ่ง เรื่องวินัยของพระ แล้วในที่นั้นมีพระใหม่นั่งอยู่ พระใหม่ท่านก็ถามทำนองพิเรนทร์เกี่ยวกับเรื่องนางสุปัพพาที่ว่านี้ โดยท่านถามว่า "ถ้าการที่พระภิกษุกระทำในส่วนต่างๆ นั้นแล้วน้ำอสุจิเคลื่อน แม้หญิงนั้นใช้มือทำก็ตาม ยังเป็นสังฆาทิเสสไม่ถึงปาราชิก แล้วถ้าสตรีใช้หน้าอกกระทำให้ภิกษุน้ำอสุจิเคลื่อน ก็เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ไม่ถึงปาราชิกใช่ไหม"
ผมนมัสการตอบท่านไปว่า "ถ้ามันถึงขั้นนั้นผมว่าพระคุณเจ้าก็คงจะไม่หยุดแค่นั้นแล้วล่ะครับ...."
สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองเป็นความประพฤติถูกในกามครับ lol..
แต่ถ้าไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงหรือชายอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาสามีตน หรือหญิงชายที่ประเพณีและกฏหมายห้าม นั้นจึงเรียกว่าประพฤติผิดในกาม
ถ้าศีลห้าครอบคลุมเรื่องสำเร็จความใคร่ด้วย มันก็จะห้ามการมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วยน่ะสิครับ ดังนั้น ศีล ๕ ข้อที่ ๓ไม่ครอบคลุมถึงการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง
องค์ประกอบของศีลข้อ ๓ มีดังนี้
๑. เป็นบุคคลต้องห้าม (หญิงชายอีกฝ่ายนั้น เป็นบุคคลต้องห้ามโดยประเพณี โดยกฏหมาย หรือมีคู่ครองอยู่แล้ว
๒. จิตคิดจะเสพ(มีความต้องการจะมีเพศสัมพันธ์) ในบุคคลต้องห้ามนั้น
๓. การประกอบการเสพ (กระทำการมีเพศสัมพันธ์)
๔. การยังมรรคให้ดำเนินไปในมรรคหรือหยุดอยู่ (อวัยวะเพศทั้งสองฝ่ายได้สัมผัสถูกหรือล่วงล้ำเข้าไป)
มรรคในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงมรรคในการปฏิบัติธรรม หรือมรรคในอริยสัจ๔ แต่หมายถึงอวัยวะที่เกี่ยวเนื่องกับการมีเพศสัมพันธ์ ถ้าเอาตามพระวินัย คือ มุขมรรค (ทางปาก) วัจจมรรค (ทางทวารหนัก) และ ปัสสาวะมรรค (ทางทวารเบา ในที่นี้ก็คือส่วนอวัยวะเพศ)
พูดง่ายๆ ก็คือ การมีเพศสัมพันธ์โดยปาก (ชายเลีย หรือหญิงอม) โดยทางทวารหนัก และทางทวารเบา เป็นต้น ถ้านอกจากความเกี่ยวเนื่องในสามทางนี้ ไม่ใช้การผิดศีลข้อ ๓ โดยสมบูรณ์ แต่ถ้าหากมีประโยคใกล้เคียง ก็จะเรียกว่าเป็นการด่างพร้อยของศีล ยกตัวอย่างเช่น ชายผู้หนึ่งต้องการมีเพศสัมพันธ์กับสตรีที่มีสามีแล้ว สตรีนั้นแม้ยินยอมแต่ก็ยังรู้สึกผิดต่อสามี จึงใช้วิธีใช้มือปล่อยอสุจิให้ชายนั้น อย่างนี้แม้อวัยวะเพศทั้งสองไม่ถึงแก่กัน ศีลข้อ ๓ ไม่ขาด แต่ก็เป็นความด่างพร้อยแห่งศีล
สำหรับเรื่องการปล่อยน้ำอสุจิ หรือการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง
การสำเร็จความใคร่หรือการทำให้น้ำอสุจิเคลื่อนด้วยเจตนานั้น มีห้ามเฉพาะวินัยของพระ คือสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ ทรงบัญญัติห้ามพระภิกษุเจตนาทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน (ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็แล้วแต่ หรือแม้ให้ผู้อื่นทำให้ก็ตาม)
ในพระวินัยปิฎก กล่าวถึงหญิงผู้หนึ่งมีศรัทธาวิปริต (ในคัมภีร์ใช้คำว่าศรัทธายังอ่อน แต่ผมเห็นว่าน่าจะเรียกว่าศรัทธาวิปริตมากกว่า) ชื่อว่า สุปัพพาได้กล่าวกับพระภิกษุว่า ขอพระคุณเจ้าจงมาเสพเมถุน (มีเพศสัมพันธ์)กับตน โดยเชื่อว่าการทำอย่างนี้ตนเองจะได้บุญมาก เป็นการให้ทานอันเลิศ พระภิกษุไม่ทำ เพราะเป็นอาบัติปาราชิก นางจึงกล่าวเสนอโดยนัยต่างๆ เช่นว่า ให้พระภิกษุกระทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน โดยกระทำที่ขาอ่อนของเธอ, ที่สะดือ, เกลียวท้อง, ซอกรักแร้, ช่องหู, มวยผม, ง่ามมือ และ นางจะใช้มือทำเพื่อให้น้ำอสุจิของพระภิกษุนั้นเคลื่อน
เมื่อพระภิกษุกระทำอย่างนี้แล้ว (ในพระวินัยมี ๙ เรื่อง ก็คือมีพระภิกษุ ๙ รูปที่กระทำเรื่องนี้) ได้กังวลว่าตนต้องอาบัติปาราชิกแล้วหรือไม่ จึงไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัสว่า พระภิกษุไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ป.ล. ผมเคยไปสนทนาธรรมกับพระคุณเจ้ารูปหนึ่ง เรื่องวินัยของพระ แล้วในที่นั้นมีพระใหม่นั่งอยู่ พระใหม่ท่านก็ถามทำนองพิเรนทร์เกี่ยวกับเรื่องนางสุปัพพาที่ว่านี้ โดยท่านถามว่า "ถ้าการที่พระภิกษุกระทำในส่วนต่างๆ นั้นแล้วน้ำอสุจิเคลื่อน แม้หญิงนั้นใช้มือทำก็ตาม ยังเป็นสังฆาทิเสสไม่ถึงปาราชิก แล้วถ้าสตรีใช้หน้าอกกระทำให้ภิกษุน้ำอสุจิเคลื่อน ก็เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ไม่ถึงปาราชิกใช่ไหม"
ผมนมัสการตอบท่านไปว่า "ถ้ามันถึงขั้นนั้นผมว่าพระคุณเจ้าก็คงจะไม่หยุดแค่นั้นแล้วล่ะครับ...."
แสดงความคิดเห็น
ขอปรึกษาเรื่องศีลข้อกาเมฯครับ
ผมกับเพื่อนๆหลายคน ได้นั่งพูดคุยเกี่ยวกับข้อปฏิบัตรของพระสงฆ์
จนเลยมาถึงศีล๕ของฆราวาส และมาถกเถียงกันถึงศีลข้อ๓คือข้อกาเมฯ
เรื่องคือว่า "การสำเร็จความใดร่ด้วยตนเอง" นั้นเป็นการผิดศีลหรือไม่
พวกผมต่างก็ยกข้ออ้างต่างๆว่า ผิดบ้าง ไม่ผิดบ้าง (พูดถึงฆราวาสนะครับ)
จนหาข้อยุติไม่ได้ จึงตกลงกันว่า ขอให้บอร์ดพันทิพห้องศาสนา เป็นผู้ตัดสิน
เนื่องเพราะมีผู้ทรงความรู้มากมาย พอที่จะสรุปให้ความรู้ ยุติตัดสินได้ครับ
จึงขอความกระจ่างจากท่านสมาชิก และผู้ทรงภูมิความรู้ทุกๆท่านด้วยครับ
ขอขอบพระคุณทุกๆความเห็นมาณที่นี้ด้วยครับ ขอบคุณครับ