ขอปรึกษาเรื่องศีลข้อกาเมฯครับ

กระทู้คำถาม
เรียนถามผู้ทรงภูมิ และผู้รู้ทุกๆท่านนะครับ

ผมกับเพื่อนๆหลายคน ได้นั่งพูดคุยเกี่ยวกับข้อปฏิบัตรของพระสงฆ์

จนเลยมาถึงศีล๕ของฆราวาส และมาถกเถียงกันถึงศีลข้อ๓คือข้อกาเมฯ

เรื่องคือว่า "การสำเร็จความใดร่ด้วยตนเอง" นั้นเป็นการผิดศีลหรือไม่

พวกผมต่างก็ยกข้ออ้างต่างๆว่า ผิดบ้าง ไม่ผิดบ้าง (พูดถึงฆราวาสนะครับ)

จนหาข้อยุติไม่ได้ จึงตกลงกันว่า ขอให้บอร์ดพันทิพห้องศาสนา เป็นผู้ตัดสิน

เนื่องเพราะมีผู้ทรงความรู้มากมาย พอที่จะสรุปให้ความรู้ ยุติตัดสินได้ครับ

จึงขอความกระจ่างจากท่านสมาชิก และผู้ทรงภูมิความรู้ทุกๆท่านด้วยครับ

ขอขอบพระคุณทุกๆความเห็นมาณที่นี้ด้วยครับ ขอบคุณครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
กาเมสุมิจฉาจาร แปลว่า ประพฤติผิดในกาม...

สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองเป็นความประพฤติถูกในกามครับ lol..

แต่ถ้าไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงหรือชายอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาสามีตน หรือหญิงชายที่ประเพณีและกฏหมายห้าม นั้นจึงเรียกว่าประพฤติผิดในกาม

ถ้าศีลห้าครอบคลุมเรื่องสำเร็จความใคร่ด้วย มันก็จะห้ามการมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วยน่ะสิครับ ดังนั้น ศีล ๕ ข้อที่ ๓ไม่ครอบคลุมถึงการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง

องค์ประกอบของศีลข้อ ๓ มีดังนี้

๑. เป็นบุคคลต้องห้าม (หญิงชายอีกฝ่ายนั้น เป็นบุคคลต้องห้ามโดยประเพณี โดยกฏหมาย หรือมีคู่ครองอยู่แล้ว

๒. จิตคิดจะเสพ(มีความต้องการจะมีเพศสัมพันธ์) ในบุคคลต้องห้ามนั้น

๓. การประกอบการเสพ (กระทำการมีเพศสัมพันธ์)

๔.  การยังมรรคให้ดำเนินไปในมรรคหรือหยุดอยู่   (อวัยวะเพศทั้งสองฝ่ายได้สัมผัสถูกหรือล่วงล้ำเข้าไป)

มรรคในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงมรรคในการปฏิบัติธรรม หรือมรรคในอริยสัจ๔ แต่หมายถึงอวัยวะที่เกี่ยวเนื่องกับการมีเพศสัมพันธ์  ถ้าเอาตามพระวินัย คือ มุขมรรค (ทางปาก) วัจจมรรค (ทางทวารหนัก)  และ ปัสสาวะมรรค (ทางทวารเบา ในที่นี้ก็คือส่วนอวัยวะเพศ)  

พูดง่ายๆ ก็คือ การมีเพศสัมพันธ์โดยปาก (ชายเลีย หรือหญิงอม) โดยทางทวารหนัก และทางทวารเบา เป็นต้น  ถ้านอกจากความเกี่ยวเนื่องในสามทางนี้ ไม่ใช้การผิดศีลข้อ ๓ โดยสมบูรณ์ แต่ถ้าหากมีประโยคใกล้เคียง ก็จะเรียกว่าเป็นการด่างพร้อยของศีล ยกตัวอย่างเช่น ชายผู้หนึ่งต้องการมีเพศสัมพันธ์กับสตรีที่มีสามีแล้ว สตรีนั้นแม้ยินยอมแต่ก็ยังรู้สึกผิดต่อสามี จึงใช้วิธีใช้มือปล่อยอสุจิให้ชายนั้น อย่างนี้แม้อวัยวะเพศทั้งสองไม่ถึงแก่กัน ศีลข้อ ๓ ไม่ขาด แต่ก็เป็นความด่างพร้อยแห่งศีล

สำหรับเรื่องการปล่อยน้ำอสุจิ หรือการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง

การสำเร็จความใคร่หรือการทำให้น้ำอสุจิเคลื่อนด้วยเจตนานั้น มีห้ามเฉพาะวินัยของพระ คือสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ ทรงบัญญัติห้ามพระภิกษุเจตนาทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน (ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็แล้วแต่ หรือแม้ให้ผู้อื่นทำให้ก็ตาม)

ในพระวินัยปิฎก กล่าวถึงหญิงผู้หนึ่งมีศรัทธาวิปริต (ในคัมภีร์ใช้คำว่าศรัทธายังอ่อน แต่ผมเห็นว่าน่าจะเรียกว่าศรัทธาวิปริตมากกว่า)  ชื่อว่า สุปัพพาได้กล่าวกับพระภิกษุว่า ขอพระคุณเจ้าจงมาเสพเมถุน (มีเพศสัมพันธ์)กับตน โดยเชื่อว่าการทำอย่างนี้ตนเองจะได้บุญมาก  เป็นการให้ทานอันเลิศ  พระภิกษุไม่ทำ เพราะเป็นอาบัติปาราชิก  นางจึงกล่าวเสนอโดยนัยต่างๆ เช่นว่า  ให้พระภิกษุกระทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน โดยกระทำที่ขาอ่อนของเธอ, ที่สะดือ, เกลียวท้อง, ซอกรักแร้, ช่องหู, มวยผม, ง่ามมือ และ นางจะใช้มือทำเพื่อให้น้ำอสุจิของพระภิกษุนั้นเคลื่อน

เมื่อพระภิกษุกระทำอย่างนี้แล้ว (ในพระวินัยมี ๙ เรื่อง ก็คือมีพระภิกษุ ๙ รูปที่กระทำเรื่องนี้) ได้กังวลว่าตนต้องอาบัติปาราชิกแล้วหรือไม่ จึงไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัสว่า พระภิกษุไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ป.ล. ผมเคยไปสนทนาธรรมกับพระคุณเจ้ารูปหนึ่ง  เรื่องวินัยของพระ แล้วในที่นั้นมีพระใหม่นั่งอยู่ พระใหม่ท่านก็ถามทำนองพิเรนทร์เกี่ยวกับเรื่องนางสุปัพพาที่ว่านี้ โดยท่านถามว่า   "ถ้าการที่พระภิกษุกระทำในส่วนต่างๆ นั้นแล้วน้ำอสุจิเคลื่อน แม้หญิงนั้นใช้มือทำก็ตาม ยังเป็นสังฆาทิเสสไม่ถึงปาราชิก  แล้วถ้าสตรีใช้หน้าอกกระทำให้ภิกษุน้ำอสุจิเคลื่อน ก็เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ไม่ถึงปาราชิกใช่ไหม"

ผมนมัสการตอบท่านไปว่า "ถ้ามันถึงขั้นนั้นผมว่าพระคุณเจ้าก็คงจะไม่หยุดแค่นั้นแล้วล่ะครับ...."
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่