เอาคนชุดดำมาสวมชุดตำรวจ...รัฐต้องให้คำตอบ!

เป็นธรรมดาของการต่อสู้ที่ไม่มีการต่อสู้ใดจะได้รับชัยชนะในการต่อสู้เพียงครั้งเดียว การต่อสู้ของภาคประชาชนกับนักการเมืองที่ระบุว่า เพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณนั้น ก็ไม่มีวันที่จะได้รับชัยชนะในเพลงกระบี่เดียว

พระเจ้าฮั่นโกโจพระมหากษัตริย์อันประเสริฐทำสงครามกับพระเจ้าฌ้อปาอ๋องปราชัยต่อเนื่องกันถึง 7 ครั้ง ครั้นได้สองยอดขุนพลคือเตียวเหลียงกับฮั่นสินมาเป็นกำลังแล้ว ในการสงครามครั้งสุดท้าย พระเจ้าฮั่นโกโจจึงได้ชัยชนะต่อพระเจ้าฌ้อปาอ๋องอย่างเด็ดขาด

จากนั้นจึงสถาปนาราชวงศ์ฮั่น ครองแผ่นดินจีนต่อเนื่องมากว่า 400 ปี เป็นระยะเวลาเท่าๆ หรือยาวกว่ายุคกรุงศรีอยุธยาเล็กน้อย มีพระมหากษัตริย์สืบราชสมบัติต่อเนื่องกันมาถึง 44 พระองค์

พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนแพ้แล้วแพ้เล่า สมาชิกพรรคถูกฆ่าตายไปหลายแสนคน จนกระทั่งมีการเปิดประชุมสมัชชาพรรคในระหว่างเดินทัพทางไกลที่เมืองจุนยี่ แล้วสถาปนาเหมาเจ๋อตุงขึ้นเป็นผู้นำพรรค จากนั้นการสงครามกลางเมืองในประเทศจีนซึ่งเรียกกันว่าการปฏิวัติประชาชาติ และการทำสงครามปลดแอกก็เริ่มพลิกโฉมหน้า

พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนจากเล็กค่อยๆเติบใหญ่ จากอ่อนค่อยๆ เข้มแข็งและขยายตัวไปทั่วประเทศหลังญี่ปุ่นเคลื่อนทัพยึดดินแดนจีน ถนนทุกสายของผู้รักชาติมุ่งขึ้นสู่เยียนอานซึ่งเป็นฐานที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์

จากนั้นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนก็ชูธงสามัคคีประชาชาติต่อต้านญี่ปุ่นเคลื่อนขบวนทัพเผชิญหน้ากองทัพญี่ปุ่นทุกแนวรบ พลังรักชาติทั่วประเทศโถมถั่งหลั่งไหลเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน แม้กระทั่งหน่วยทหารจำนวนมากของกองทัพก๊กมินตั๋งก็แปรพักตร์เข้าร่วม

หลังจากญี่ปุ่นแพ้สงครามแล้ว เจียงไคเช็กถือเอาภารกิจในการปราบปรามพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนเป็นภารกิจหลักของประเทศ จึงเกิดสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ที่สุดอีกครั้งหนึ่งระหว่างคนจีนด้วยกัน

เป็นสงครามกลางเมืองที่ประชาชาติจีนทั้งประเทศเข้าสู่สงคราม ยิ่งกว่ายุคสมัยชุนชิวจ้านกว๋อ หลายเท่า การเข่นฆ่า
สังหารกันเกิดขึ้นทั่วประเทศ มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ชาวจีนเสียชีวิตหลายล้านคน มากยิ่งกว่าความสูญเสียใน
ยุคสมัยของขงเบ้งและสงครามโลกครั้งที่สองมากมายนัก

เหมาเจ๋อตุงประธานพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนในฐานะประธานคณะกรรมการการทหาร ได้กำหนดสามยุทธการใหญ่คือยุทธการเหลียวเสิ่น ยุทธการหวายไห่ และยุทธการเป่ยผิงเทียนสิน ได้รับชัยชนะอย่างงดงามเหนือกองทัพก๊กมินตั๋งปลดแอกภาคเหนือประเทศจีนอย่างสมบูรณ์ จากนั้นก็มีคำสั่งให้เคลื่อนกองทัพปลดแอกไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะรุกข้ามฝั่งแม่น้ำแยงซี ตีทัพก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็กจนหนีกระเจิดกระเจิงไปอยู่ที่เกาะไต้หวัน

ประวัติศาสตร์ได้บ่งชี้ชัดเจนว่า ชัยชนะของภาคประชาชนนั้น ต้องเกิดขึ้นท่ามกลางการต่อสู้และความพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า สั่งสมชัยชนะจากเล็ก จากน้อยไปสู่ใหญ่และสู่มาก ขอเพียงมีธรรมเป็นธงนำก็จะได้รับชัยชนะในสักวันหนึ่ง

ประเทศไทยในวันนี้ก็หนีไม่พ้นไปจากวัฏฏะแห่งธรรมชาติสังคมดังกล่าว ในการต่อสู้ครั้งล่าสุด ภาคประชาชนก็เพลี่ยงพล้ำแก่นักการเมืองที่ถืออำนาจรัฐ แต่การต่อสู้ยังมิได้สิ้นสุดลง หากเป็นยุคสมัยของพระเจ้าฮั่นโกโจก็กล่าวได้ว่า เป็นแค่ยกที่หนึ่งหรือยกที่สองเท่านั้น

แต่การเพลี่ยงพล้ำดังกล่าวกลับเปิดเผยให้เห็นถึงความไร้ธรรมของผู้มีอำนาจอย่างล่อนจ้อน เช่น

ประการหนึ่ง การดื้อดึงไม่ฟังคำทัดทานท้วงติงขององค์การสหประชาชาติ ในทำนองยูเอ็นไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่แม่

ประการหนึ่ง การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงโดยผิดรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เพราะนึกจะประกาศใช้ก็ประกาศใช้กันดื้อๆ ตามอำเภอใจ ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติ ทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่คนกรุงเทพฯหลายล้านคน
ทำให้ผู้คนทั้งหลายเห็นถึงการถืออำนาจเป็นใหญ่ ไม่สนใจอาณาประชาราษฎร

ประการหนึ่ง การระดมตำรวจหลายหมื่นคนและใช้งบประมาณมหาศาลมาตากแดดตากฝน มาเล่นไฮโลกันกลางพระนคร เป็นภาพที่ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลกให้เป็นที่อัปยศอดสู ที่สำคัญ ความฮึกเหิมลำพองได้กดข่มหยามเหยียดหน่วยราชการอื่นๆ โดยเฉพาะกองทัพและฝ่ายทหาร จนแทบไม่เหลือศักดิ์และศรีที่จะมีหน้ายืนในแผ่นดินนี้อีกต่อไป

ประการหนึ่ง การระดมเอาคนเสื้อแดงมาแต่งเครื่องแบบตำรวจ ซึ่งมีรายงานข่าวว่าไม่ได้มีแค่ นายขวัญชัย ไพรพนามาเป็นหัวหน้าคุมขบวนเพียงผู้เดียว แต่มีการใช้กำลังคนพวกนี้ถึง 15,000 คน และมีกำลังตำรวจจริงๆ เพียง 20,000 คน ในขณะที่สั่งเตรียมกำลังสำรองไว้อีก 30,000 คน ซึ่งข่าวดังกล่าวยังไม่มีการปฏิเสธจากผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง คงแถเถียงแต่เพียงว่าการที่คนเสื้อแดงสวมชุดตำรวจเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีความผิดอะไร

จึงเป็นที่ไถ่ถามกันทั้งบ้านทั้งเมืองว่าในจำนวนคน 15,000 คน ที่ตามกฎหมายหากมาสวมเครื่องแบบตำรวจแล้ว เป็นความผิดต้องติดตะรางดังที่มีการจับกุมตำรวจปลอมให้ได้รู้ได้ยินกันมานับไม่ถ้วนนั้น เป็นคนชุดดำรวมอยู่ด้วยจำนวนเท่าใดกันแน่ มีพวกนักรบต่างชาติหรือพวกชนกลุ่มน้อยที่ระดมมาจากชายแดนภาคเหนือและภาคอีสานเท่าใดกันแน่

แค่ความสงสัยเรื่องคนชุดดำแต่งชุดตำรวจและนำเข้ามาเพื่อเข่นฆ่าประชาชนเรื่องเดียวเท่านั้น ก็เห็นได้แล้วว่า ฝ่ายไหนมีธรรม ฝ่ายไหนไร้ธรรม ฝ่ายไหนโหดเหี้ยมอำมหิต ฝ่ายไหนมีจิตเมตตาธรรม และฝ่ายไหนคิดชั่วช้าต่ออาณาประชาราษฎรและแผ่นดิน นี่คือลางปราชัยที่เผยให้เห็นในบัดนี้แล้ว!

http://www.naewna.com/politic/columnist/8064





เอาไพร่ชุดดําปลอมตัวเป็นทหารมาฆ่าพวกเดียวกันเองยังไม่พอ

ยังเอาไพร่ชุดดําปลอมตัวเป็นตํารวจหวังฆ่าฝ่ายตรงข้ามอีก

เลวเกินที่จะบรรยาย...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่