กสทช.ห่วงหมอลี่ขาดความเป็นกลาง ร่อนหนังสือบอยคอต จัดเวทีเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความสับสน ให้ประชาชนผวาซิมดับ

กสทช.ห่วง'หมอลี่'ขาดความเป็นกลาง ร่อนหนังสือบอยคอต จัดเวทีเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความสับสน ให้ประชาชนผวา'ซิมดับ' จี้บอร์ดกสทช.เร่งถก 'เสื่อมจริยธรรม'ด่วนก่อนองค์กรเสียหายหนัก

รูปจาก> นสพ.บางกอกทูเดย์ 10/08/56

แหล่งที่มา : สำนักข่าว
วันที่ข่าว : 31 กรกฎาคม 2556

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้มี กรรมการ กสทช. หลายคนแสดงความไม่พอใจ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช. ด้านคุ้มครองผู้บริโภค ได้มีการจัดประชุมหารือในประเด็นการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานการใช้คลื่นความถี่ 1800 MHz ขึ้นในวันที่ 29 และวันที่ 30 กรกฎาคม 2556 โดยอ้างการจัดงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ตัวแทนผู้ให้บริการ ผู้ใช้บริการ ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนที่สนใจทั่วไปได้มีส่วนร่วม ในการแสดงความคิดเห็นต่อแนวทางการรองรับการสิ้นสุดอายุสัมปทานให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ กสทช. และเพื่อรองรับภารกิจสนับสนุนภารกิจของ กสทช. ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะและประเทศชาติ โดยทำหนังสือเชิญ กรรมการ กสทช. เข้าร่วมงานดังกล่าวนั้น

ปรากฏว่า กรรมการ กสทช. หลายคนได้ทำหนังสือปฎิเสธที่จะเข้าร่วมงานดังกล่าว โดยให้เหตุผลที่น่าสนใจ กล่าวคือ แม้ว่าการจัดประชุมดังกล่าวจะเป็นสิทธิของ นพ.ประวิทย์ฯ ก็จริง แต่การดำเนินการดังกล่าวสร้างความสับสนทำให้เข้าใจว่าเป็นการจัดโดยสำนักงาน กสทช. ซึ่งทำตามที่ได้รับมอบหมายจาก กสทช. ในการประชุมครั้งที่ 6/2556 เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2556 ทั้งๆ ที่ กสทช. และ กทค. มิได้มีมติมอบหมายให้มีการจัดประชุมดังกล่าว อีกทั้งเป็นการจัดภายหลังที่มีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะเกี่ยวกับร่างประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการในกรณีสิ้นสุดการอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ. …. (ร่างประกาศห้ามซิมดับ) สิ้นสุดลงแล้ว (เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2556) และขณะนี้อยู่ในช่วงที่คณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นกำลังประมวลข้อมูลที่ได้รับจากความคิดเห็นที่ส่งมาเป็นลายลักษณ์อักษร และจากข้อมูลที่มีผู้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นในวันที่ 25 กรกฎาคม2556 ที่ผ่านมา เพื่อวิเคราะห์และทำความเห็นมายังที่ประชุม กทค. ต่อไป จึงทำให้เกิดความกังขาอย่างยิ่งว่า เหตุใดจึงเพิ่งมาจัดประชุมเฉพาะประเด็นข้อกฎหมายและเวทีเสวนาสาธารณะเกี่ยวกับร่างประกาศห้ามซิมดับ หลังจากที่กระบวนการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะผ่านพ้นไปแล้ว เพราะข้อมูลที่ได้รับจากการจัดกิจกรรมนี้ ในช่วงเวลาหลังจากกระบวนการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะสิ้นสุดลงตามที่กำหนด ย่อมไม่เหมาะสมที่จะส่งไปใช้ในการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ การจัดกิจกรรมทั้งสองนี้ จึงไม่เป็นไปตามกรอบกติกาที่ กสทช. กำหนด และแม้การประชุมดังกล่าวจะมีบุคคลภายนอกที่เป็นนักวิชาการทางกฎหมายบางท่านร่วมอยู่ด้วย แต่เนื่องจากผู้ที่นำเสนอข้อมูลเป็น นพ.ประวิทย์ฯ และทีมงาน โดยที่คณะทำงานผู้ยกร่างประกาศ คณะผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคที่รับผิดชอบโดยตรง อีกทั้งกรรมการ กทค. อีก 4 ท่าน มิได้มีโอกาสนำเสนอมุมมองจากเหตุผล และความจำเป็นในการออกร่างประกาศนี้อย่างครบถ้วนในหลายมิติ จึงทำให้มีความสุ่มเสี่ยงที่การประชุมจะได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน ทำให้ผลการประชุมดังกล่าวมีโอกาสสูงที่จะออกมาในลักษณะที่สนับสนุนแนวคิด ซึ่งขัดแย้งกับมติขององค์กรที่เห็นชอบในหลักการของการออกประกาศห้ามซิมดับ ทั้งยังเกิดความเสี่ยงที่จะมีการครหาว่าขาดความเป็นกลาง เนื่องจากผลของการเคลื่อนไหว นอกกรอบกติกาขององค์กรในเรื่องนี้ อาจถูกมองว่าทำให้ผู้ประกอบการบางรายได้ประโยชน์ แต่ผู้บริโภคเสียประโยชน์ ซึ่งย่อมกระทบแนวทางการปฏิบัติตนและจริยธรรมในการปฏิบัติหน้าที่และการดำรงตนของ กสทช. เป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ ตามกำหนดการของงานเวทีเสวนาสาธารณะที่ นพ.ประวิทย์ฯ จัดยังอ้างว่าจะมีการนำเสนอโดยตัวแทนของคณะอนุกรรมการเตรียมการเกี่ยวกับการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ 1800 MHz ทั้งๆ ที่คณะอนุกรรมการเตรียมการเกี่ยวกับการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ 1800 MHz มิได้มีมติมอบหมายให้มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น ผลการประชุมดังกล่าวเป็นการจัดขึ้นเป็นการส่วนตัว แต่ใช้งบประมาณของสำนักงาน กสทช. จึงย่อมคาดหมายได้ว่าจะออกมาเอนเอียงไปในแนวทางใดและย่อมไม่เกิดผลดีต่อภาพลักษณ์ขององค์กร

ดังนั้นการที่ กสทช.คนอื่นๆจะไปเข้าร่วมสังฆกรรมดังกล่าวจึงไม่เหมาะสม และไม่ก่อให้เกิดผลในทางสร้างสรรค์ แต่ในทางตรงกันข้ามทำให้เกิดความสับสนว่า กสทช. เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับร่างประกาศกันแน่ เพราะเดินหน้าผลักดันร่างประกาศเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชน จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะจนล่วงเลยเวลามาเรียบร้อยแล้ว แต่กลับมาจัดเวทีเพื่อมาตั้งคำถามว่าตนเองมีอำนาจในการออกประกาศนี้หรือไม่ นอกจากนี้ ยังจะเป็นการสุ่มเสี่ยงที่อาจมองได้ว่า กสทช. ขาดความเป็นกลาง เพราะมีการเคลื่อนไหวนอกกรอบกติกาที่กฎหมายกำหนดในทางที่จะนำไปสู่การนำเสนอข้อมูล ความเห็น และความรู้สึกที่มิได้ประกอบด้วยเหตุและผลที่ครบถ้วน มาหักล้างมติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวของ กทค. และ กสทช. รวมทั้ง อาจเกิดผลทำให้ผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งได้ประโยชน์ ในกรณีที่ กสทช. ไม่สามารถที่จะออกประกาศ ห้ามซิมดับได้ ซึ่งจะเกิดผลเสียหายต่อผู้บริโภคกว่า 17 ล้านคน ที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการโทรคมนาคมได้ จึงย่อมเป็นการดำเนินการที่ไม่เหมาะสมและไม่ส่งผลดีต่อองค์กร จึงขอให้กรรมการ กสทช. พิจารณาและยึดถือหลักความรับผิดร่วมกันในการปฏิบัติหน้าที่ในรูปแบบของคณะกรรมการและเคารพในมติของที่ประชุม ตลอดจนระมัดระวัง และดำรงตนให้อยู่ในกรอบจริยธรรมและเกียรติภูมิของการเป็นกรรมการ กสทช. ด้วย
อย่างไรก็ตามแม้ กรรมการ กสทช.จะมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป แต่การทำงานในรูปแบบของคณะกรรมการก็ย่อมต้องผูกพันในมติของคณะกรรมการและรับผิดชอบร่วมกันกับคณะกรรมการทุกคนอย่างปฏิเสธไม่ได้ ทั้งไม่สมควรที่จะดำเนินการเคลื่อนไหวใดๆ ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งต่อมติของที่ประชุมดังกล่าว การที่ กรรมการกสทช.สายคุ้มครองผู้บริโภคให้สัมภาษณ์ในสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่องหลังจาก กทค. และ กสทช. มีมติแล้ว ทั้งจัดประชุมโดยมีการตั้งประเด็นที่ขัดกับมติของ กทค. และ กสทช. จึงไม่เหมาะสม และกระทบต่อจริยธรรมในการดำรงตนของ กสทช. ซึ่งการทำหน้าที่ของ กสทช. นั้น กรรมการแต่ละท่านมิได้มีหน้าที่ความรับผิดชอบเฉพาะต่อตนเองเท่านั้น หากแต่ยังมีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อองค์กรและกรรมการ กสทช. คนอื่น โดยต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อชื่อเสียง เกียรติภูมิและภาพพจน์ของ กสทช. ด้วย

นอกจากนี้ หากกรรมการคนอื่นๆ ทนไม่ไหวก็อาจเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันเพื่อโต้แย้งการกระทำกรรมการท่านอื่นที่มีลักษณะการเคลื่อนไหวคล้ายกัน โดยไปนำกลุ่มบุคคลภายนอกที่เห็นด้วยกับแนวทางของกรรมการแต่ละคนมาหักล้างความเห็นของกรรมการที่เห็นแตกต่างและโต้แย้งมติของที่ประชุมคณะกรรมการฯ เช่นกัน ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่ไม่มีวันจบสิ้นและย่อมเป็นอันตรายต่อการทำงานในรูปแบบของคณะกรรมการที่จะต้องตัดสินใจ รวมทั้งต้องรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและองค์กรร่วมกัน ทั้งยังต้องให้เกียรติกรรมการท่านอื่น พร้อมเคารพและผูกพันในการตัดสินใจในรูปแบบของมติของคณะกรรมการด้วย ซึ่งการที่ไม่เคารพหลักความรับผิดชอบร่วมกันนี้ หากมีการดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและขยายผลไปเรื่อยๆ ก็ย่อมจะนำความเสื่อมเสียและนำจุดจบมาสู่องค์กร กสทช. อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

thainews.prd.go.th/centerweb/News/NewsDetail?NT01_NewsID=WNICT5607310010003
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่