เปิด 8 งานวิจัย "พื้นที่สันติวิธี/หนทางสังคมไทย" วิเคราะห์ "อารมณ์ขัน" วิจารณ์ "hate speech"

กระทู้ข่าว
เปิด 8 งานวิจัย "พื้นที่สันติวิธี/หนทางสังคมไทย" วิเคราะห์ "อารมณ์ขัน" วิจารณ์ "hate speech"

วันที่ 09 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19:10:00 น.



เรียบเรียงโดย ฟ้ารุ่ง ศรีขาว

ในภาวะที่สังคมประกอบไปด้วยผู้มีความแตกต่างทางความคิดอย่างสุดขั้ว แต่ต้องอยู่ร่วมกันภายใต้การสั่งสมความทรงจำที่แตกต่างกัน และพร้อมจะปะทะ ในนามของการ "ต่อสู้" เมื่อมีการเผชิญหน้า ในแง่นี้การทำความเข้าใจ "สันติวิธี" จึงมีความจำเป็นไม่ใช่ในฐานะของการ "จำยอม" แต่ในฐานะของการ "ต่อสู้" อีกชนิดหนึ่งที่หลีกเลี่ยงความรุนแรง      

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา ศูนย์ข่าวสารสันติภาพ จัดการสัมมนา "พื้นที่สันติวิธี/หนทางสังคมไทย" เพื่อนำเสนอร่างรายงานการวิจัยในโครงการเมธีวิจัยอาวุโส สกว.ช่วงที่ 2 ปีที่ 3 “สันติวิธีและความรุนแรงในสังคมไทย: ความรู้ ความลับ และความทรงจำ” ณ ห้อง ร.103 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสารสันติภาพ กล่าวถึงที่มาของโครงการในวันดังกล่าวว่า วันที่ 6 สค เมื่อ 68 ปีก่อน มีการทิ้ง ปรมณูลูกแรกที่ ฮิโรชิม่า เวลา  8 นาฬิกา 15 นาที ในเวลาที่คนออกมาจับจ่ายใช้ชีวิต โดยระเบิดถูกสร้างมาก่อนหน้านั้นนานแล้ว พอระเบิดนี้สร้างสำเร็จในการทดลองก็นำมาใช้จริง ในปี 1945 ทำให้คนแสนสามหมื่นคนเสียชีวิต และหลังจากนั้นก็มีคนล้มตายจากกัมมันตภาพรังสี โดย 3 วัน หลังจากมีการทิ้งระเบิดลูกแรก ก็มีการทิ้งระเบิดอีกลูกที่เมืองนางาซากิ

ศูนย์ข่าวสารสันติภาพตั้งขึ้นครั้งแรกโดยมีกิจกรรมแรกเรียกว่า"สัปดาห์สันติภาพ"ครั้งแรกเมื่อวันที่6ส.ค.ปี 1984ครบรอบ39ปีการทิ้งระเบิดปรมณู ปีนี้ ศูนย์ข่าวสารสันติภาพ จัดงานอีกครั้งเรื่องเดิมคือ ปัญหาความรุนแรงและสันติวิธี ขอตั้งข้อสังเกตว่า ในปีเดียวกันก่อนทิ้งระเบิดปรมณู มีการประชุม 50 กว่าประเทศ เพื่อเตรียมจัดตั้ง สหประชาชาติ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. แต่ก็ยังมีการทิ้งระเบิด ในวันที่  6 สิงหาคม ปีดังกล่าว ทั้งหมดบอกเราหลายอย่างเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรง สันติภาพ และวิธีที่โลกจัดการปัญหานี้ การทิ้งระเบิดครั้งนั้น ได้เปลี่ยนการเมืองระหว่างประเทศในโลก  

ศ.ดร.ชัยวัฒน์ กล่าวว่า โครงการที่นำมาเสนอวันนี้ ใช้เวลาทำมา 3 ปี  ทั้งหมดเป็นการวิจัยสันติภาพ แต่มีกลุ่มย่อยเป็นงานวิจัยสันติวิธี ซึ่งคนมาสนใจสันติวิธี เมื่อ 20 ปีมานี้เอง เป้าประสงค์เพื่อหาทางยุติความรุนแรง และเมื่อมองความขัดแย้งมองเป็นวงจรชีวิต เป้าคือจัดการปัญหาความรุนแรง แนวทางการศึกษา ป้องกันไม่ให้เกิด แต่เมื่อเกิดแล้ว ศึกษาในสถานการณ์ความรุนแรงที่เกี่ยวข้อโดยตรง หลังความรุนแรง ก็จะมีการศึกษาความทรงจำ และอีกหลายอย่าง


ทั้งนี้ ในการสัมนา มีนักวิจัยเสนอร่างรายงานวิจัยโดยมีหัวข้อดังนี้

อาจารย์ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ นำเสนอร่างรายงานวิจัย เรื่อง “‘สงครามเพื่อสันติภาพ” : สู่การศึกษาเปรียบเทียบความขัดแย้งชนิดถึงตาย ในจังหวัดชายแดนภาคใต้และศรีลังกา” โดย อาจารย์ชญานิษฐ์ กล่าวว่า งานวิจัยชิ้นนี้ ศึกษาเปรียบเทียบ ความขัดแย้งชนิดถึงตายบนฐานความแตกต่างทางชาติพันธุ์ กรณีจังหวัดชายแดนใต้ของไทย กับกรณีความขัดแย้งรุนแรงในศรีลังกา ซึ่งมีความคล้ายคลึงกันส่วนหนึ่ง อาทิ มีความขัดแย้งซึ่งเกิดจากชนกลุ่มน้อยสู้กับรัฐ โดยรัฐเป็นโครงสร้างรัฐเดี่ยว ใช้อำนาจจากศูนย์กลางละเลยความแตกต่างวัฒนธรรมท้องถิ่นที่อยู่ในเส้นเขตของคนกลุ่มน้อย รวมถึง ประชาธิปไตย ในระบบรัฐสภา มีปัญหาและเป็นผลโดยตรงต่อการพยายามแก้ปัญหา นอกจากนั้น การก่อกำเนิดขบวนการต่อสู้ ก็เป็นผลสะท้อนจากการบริหารจัดการของรัฐ

สำหรับประเทศศรีลังกา รัฐบาลเคยใช้มาตรการทหารคู่กับการเจรจาสันติภาพ และต่อมามีการปราบกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลมอย่างราบคาบ ขณะที่ในประเทศไทยตอนนี้ กระบวนการสันติภาพชายแดนใต้ได้เริ่มขึ้น คู่ขัดแย้งระหว่างฝ่ายไทยและบีอาร์เอ็น จะมีเจตนารมณ์อย่างไร เหตุการณ์จะมีความเหมือนหรือแตกต่างกับศรีลังกา ก็ต้องดูกันต่อไป กระบวนการสันติภาพของศรีลังกา เกิดความล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่ไทยเพิ่งเริ่มต้น เราอาจเรียนรู้ความล้มเหลวมากกว่าความสำเร็จ

ด้าน ดร.ประทับจิต นีละไพจิตร นำเสนอร่างรายงานวิจัย เรื่อง “คำสาปของความคลุมเครือ: เหยื่อการบังคับสูญหายกับทางเลือกไม่รุนแรงในต่างประเทศและข้อคิดสู่สังคมไทย” โดย ดร.ประทับจิต กล่าวว่า ได้ศึกษากรณีการกระทำความรุนแรง ที่เกิดจากผู้กระทำซึ่งเป็นองคาพยพของรัฐและกลุ่มองค์กรติดอาวุธ ที่ต่อสู้ทางการเมือง ลักษณะมีการกระทำจริง คือการจับกุม คุมขัง ลักพา แต่มีการปฏิเสธ ไม่ยอมรับการกระทำ และปิดบังสถานที่ควบคุมตัว และปิดบังชะตากรรมของคนที่หายไป

โดยได้ศึกษาชุมชนเล็กๆ ในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่  ซึ่งฝ่ายเจ้าหน้าที่จัดเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ ในการจัดการยาเสพติด บ่อยครั้งที่เจ้าหน้าที่มักมาตรวจ และผู้ชายในหมู่บ้าน มักถูกซ้อมทรมานในสถานที่ลับ บ่อยครั้งเหยื่อเสียชีวิต ญาติบางรายได้รับศพ บางรายหายไปเลย ไม่มีกรณีชาวบ้านกล้าแจ้งความคนหาย ทั้งที่มีบัตรประชาชน  แสดงให้เห็นถึงการตอกย้ำสถานะชนกลุ่มน้อยในสังคมไทย

บางคนกลับมาที่หมู่บ้านแต่ไม่ได้รับไว้วางใจอีกนอกจากนั้นการสูญหายได้ทำลายศักดิ์ศรีครอบครัวและทำลายคุณค่าทางวัฒนธรรมทางประเพณีบางบ้านคนหายมีความหมายถึงความโชคร้ายที่จะนำมาสู่ชุมชนไม่มีใครรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นจนกระทั่งไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชุมชนมีพิธีเชิญขวัญและจัดพิธีสาปแช่งผู้กระทำผิด เพื่อจัดการความรู้สึกอยุติธรรม และเพื่อบอกว่า คนในชุมชน ไม่ได้เป็นผู้ทรยศกันเอง แต่มีคนข้างนอกซึ่งมีอำนาจบังคับให้คนในชุมชนสาบสูญไป

กรณีต่อมา ในจังหวัดชายแดนใต้การสูญหายเดิมเป็นเรื่องเล่าลือ แต่มีการยืนยันจากสตรี 33 ครอบครัว ผู้ต้องแบกรับผลกระทบการกดดันอย่างหนัก และต้องทำหน้าที่ให้บุตรเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ขณะที่ทางด้านเศรษฐกิจ ก็ต้องแบกรับภาระหนี้สินภายใต้ข้อจำกัดการทำนิติกรรมเกี่ยวข้องผู้สูญหาย เกี่ยวเนื่องกับทั้งหลักกฎหมายอิสลามและหลักกฎหมายไทย นอกจากนั้น ยังพบกับการเยี่ยมเยือนจากเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง โดยผู้หญิงหลายคนถูกมองว่า สามีเกี่ยวข้องผู้ก่อความไม่สงบ บางคนบอกว่ารู้สึกล้มเหลวที่ไม่สามารถเลี้ยงดูลูกชายให้เชื่อฟังได้

ขณะที่ผู้นำศาสนาบางคนลังเลที่จะให้ความช่วยเหลือและผู้นำไม่เข้มแข็งพอจะเป็นตัวอย่างที่ดีทำให้เกิดผลกระทบกับเด็กโดยเด็กบางคนบอกว่าโตขึ้นจะไปฆ่าคนที่ทำให้พ่อหายไป

ในทางการเมืองผู้หญิงต้องเผชิญการตัดสินใจว่าจะรับเงินเยียวยาหรือจะดำเนินคดีต่อไปงานวิจัยพบว่าผู้หญิงเหล่านี้มีความกล้าหาญโดยส่วนมากไปแจ้งความอย่างไม่ลังเลแม้บางทีตำรวจไม่รับแจ้งความบางคนเชื่อว่าพวกเธอรู้ดีว่าสามีหายไปไหนแต่ก็ไม่ยอมให้ข้อมูล  กระทั่ง เมื่อมีการแลกเปลี่ยนกันในกลุ่มที่มีความทุกข์คล้ายๆ กันเกิดขึ้น จึงได้รวมตัวเรียกร้องตามสิทธิที่เธอพึงมี  

กรณีศึกษาสุดท้าย เป็นกรณีของทนายสมชาย นีละไพจิตร แม้จะมีพยานพบเห็นทนายสมชายเป็นคนสุดท้าย ที่ให้การต่อศาล ว่าเห็นรถอีกคันหนึ่ง ปาดหน้ารถทนายสมชาย จนต้องหยุดและมีผู้ชายบังคับให้นายสมชายเข้าไปในรถ แล้วขับออกไป ซึ่งเธอสามารถชี้ตัวผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งได้อย่างแม่นยำในศาล แต่ขณะนี้ ตำรวจนายนั้น หายไปอย่างไร้ร่องรอย

การหายตัวไปของทนายสมชาย จึงมีลักษณะเดียวกับการหายตัวไปในหลายกรณีของสังคมคือ สื่อจะฟังคำอธิบายของผู้มีอำนาจ มากกว่าครอบครัวของเหยื่อ แต่กรณีนี้ ภรรยาของทนาย และ เครือข่ายด้านสิทธิมนุษยชน สื่อมวลชน เป็นผู้สร้างคำอธิบายหลักให้กับการถูกบังคับสูญหาย เพราะในกรณีทนายสมชาย มีคำอธิบาย ทั้งงาน ตัวตน และ ความเป็นนักต่อสู้เรื่องสิทธิมนษยชน การนิยามว่าเป็นมุสลิมที่เคร่งครัดศาสนา นอกจากนั้น ภรรยาทนายสมชาย ยังมีการบันทึกการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ทำให้สังคม มีความคิดชัดเจน เกี่ยวกับการบังคับสูญหายในสังคมไทย

งานวิจัยชี้ให้เห็นความลักลั่นของระบอบประชาธิปไตยที่ควรได้รับการตรวจสอบเหตุใดระบอบที่เราเชื่อว่าแย่น้อยที่สุดจึงเป็นผืนดินให้ความรุนแรงงอกงามขึ้นมาได้

ดร.ประทับจิตกล่าวต่อไปว่าความคลุมเครือที่ตอนแรกดูเหมือนผู้ใช้ความรุนแรงอาจจะได้ประโยชน์นั้นอาจจะไม่จริงก็ได้ความคิดที่ว่าการทำให้คนหายเป็นวิธีที่ลงทุนน้อยแต่มีประสิทธิภาพนั้นอาจจะไม่จริงเสมอไปอีกทั้งภาพของ"เหยื่อ"อาจไม่ได้หมายถึงผู้ที่มีความเจ็บปวดทางร่างกายเท่านั้น

ความรุนแรงชนิดนี้ ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เพราะในระยะยาว รัฐซึ่ง เป็นผู้กระทำ ต้องแลกกับปัญหาหลายอย่าง เช่น คนหายไปแล้วยาเสพติดก็ยังอยู่ คนหายไปแล้ว อุดมการณ์ยิ่งงอกงาม ต้องเสียเงินไปกับการเยียวยาเหยื่อ และในระยะยาว อาจจะต้องแลกกับความชอบธรรมของรัฐที่มีอยู่

งานวิจัยชี้ว่า ความคลุมเครือ สลายลงไปได้เมื่อเราร่วมเข้าไปให้ความหมาย ช่วงชิงให้ความหมาย แม้จะสร้างความลำบากแต่เหยื่อก็มีทางเลือกมากกว่าการฆ่าตัวตายอย่างที่เกิดขึ้นในแถบเอเชียใต้

ทั้ง3กรณีชี้ให้เห็นการต่อสู้ที่แตกต่างกันกรณีหญิง3จังหวัดใช้การรวมกลุ่มผลักดันให้กลไกทางสังคมปรับตัว ให้ได้ใช้ชีวิตปกติกลับคืนมา กรณีทนายสมชาย ภรรยาและกลุ่มเคลื่อนไหว เลือกใช้วิธีการให้ความหมายและตัวตนทนายสมชายและการสูญหายของเขา ทดแทนความคลุมเครือ

กรณีชุมชนชาติพันธุ์ภาคเหนือ ต่อสู้โดยใช้พิธีกรรมตามความเชื่อ เพื่อให้ความหมายสิ่งที่ตัวเองเจอ และต่อต้านความรุนแรงที่จับตาพวกเขาอยู่ไม่ห่าง

ด้าน น.ส.จุฬารัตน์ ดำรงวิถีธรรม นำเสนอร่างรายงานวิจัยเรื่อง “จาก Nonviolent Peaceforce ถึงสันติอาสาสักขีพยาน: บทวิเคราะห์ปฏิบัติการแทรกแซงเพื่อยับยั้งความรุนแรงโดยฝ่ายที่สาม” โดยผู้วิจัย กล่าวว่า สันติสักขีพยาน คือ ปฏิบัติการแทรกแซงทางตรงโดยฝ่ายที่ 3 นอกจาก คู่ขัดแย้ง 2 ฝ่าย เพื่อยับยั้งไม่ให้มีการลุกลามบานปลายเป็นความรุนแรง โดยมีอาสาสมัคร ที่ทำหน้าที่สันติสักขีพยานจะปรากฎตัวในที่มีการเผชิญหน้าของคู่ขัดแย้งทำหน้าที่ จดบันทึกข้อมูลข้อเท็จจริง ถ่ายภาพ นำเสนอต่อสาธารณะ

โดยศึกษาหลายประเทศ เช่น  สงครามกลางเมืองประเทศนิคารากัว ใน 1981 ส่งผลให้ ใน 10 ปี มี ผู้เสียชีวิต 6 หมื่นคน โดยพยาน เกิดขึ้นเพื่อพิทักษ์พลเรือนโดยเข้าไปในหมู่บ้าน ไม่ให้ฝ่ายที่ใช้ความรุนแรง ใช้ความรุนแรง โดย เหตุที่ฝ่ายใช้ความรุนแรง ไม่กระทำต่ออาสาสมัครเหล่านี้ เพราะ  เกรงจะทำให้ไม่ได้รับการสนับสนุนหรือมีผลทางการเมืองระหว่างประเทศ

ส่วนในไทยมีการเกิดขึ้นของกลุ่มสันติสักขีพยานในบรรยากาศที่แต่ละฝ่ายอ้างว่าข้อมูลของตัวเองถูกต้องรวมถึงข่าวลือต่างๆที่อาจบานปลายเป็นความรุนแรงดังนั้นหน้าที่หลักคือ จดบันทึกถ่ายรูป นำเสนอต่อสาธารณะเพื่อยับยั้งความรุนแรง แต่เมื่อการประท้วงหมดไป กลุ่มนี้ ก็ปรับบทบาททำหน้าที่อื่น เช่น การไกล่เกลี่ยการเผชิญหน้าในกรณีความรุนแรงจังหวัดชายแดนใต้

กลุ่มสักขีพยานในไทยทำหน้าที่หลายอย่างในเวลาเดียวกันเพื่อลดเหตุรุนแรงเฉพาะหน้าเช่นการขัดขวางความรุนแรงหรือการเจรจาไกล่เกลี่ยการสังเกตการณ์แต่ปฏิบัติการแทรกแซงก็มีข้อจำกัดในตัวของมันเองเช่น เมื่อเป้าหมายความรุนแรงเปลี่ยนไป มีเป้าหมายไม่ชัดเจน เช่น เมื่อมีความเชื่อว่ามีชายชุดดำ ระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดงในปี 2553 หรือเมื่อฝ่ายที่ 3 เป็นเป้าหมายความรุนแรงเสียเอง ปฏิบัติการของกลุ่มสันติสักขีพยานนี้ ก็ไม่สามารถทำได้

สาเหตุที่ปฏิบัติการเล็กๆ นี้สำคัญ เพราะเวลาพิจารณาความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เรามักจะคิดว่า ความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น เกิดขึ้นจากผู้นำ หรือปรากฏการณ์ใด ปรากฏการณ์หนึ่ง โดยหลงลืมไปว่า ก่อนการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ก็มีความเคลื่อนไหน ของคนกลุ่มเล็ก ที่ส่งผลความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เช่นเดียวกับความรุนแรง ที่อาจทำให้ไม่เห็นการปฏิบัติการของคนกลุ่มเล็กที่พยายามยับยั้งความรุนแรง
  
หลายคนสงสัยว่าเมื่อยับยั้งแล้วเหตุใดความรุนแรงจึงเกิดขึ้นคำตอบคือแม้ปฏิบัติการณ์เหล่านี้ไม่ได้การันตีการยุติความรุนแรงในภาพใหญ่ได้แต่ความสำคัญของคนกลุ่มนี้คือ ช่วยชะลอความขัดแย้งไม่ให้กลายเป็นความรุนแรงที่เร็วเกินไป  

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่