ปชน. เรียกร้องรบ. เร่งใช้มาตรการการทูตเชิงรุก หยุดยั้งพฤติการณ์คุกคามสันติภาพของกัมพูชา
https://www.matichon.co.th/politics/news_5452636
.
.
ปชน.ออกแถลงการณ์เรียกร้อง รัฐบาลต้องเร่งใช้มาตรการการทูตเชิงรุก หยุดยั้งพฤติการณ์คุกคามสันติภาพของกัมพูชา! จี้ “อนุทิน” ยกหูฟ้อง “ทรัมป์-อันวาร์“ ทันที ก่อน “ฮุน มาเนต” ต่อสายตรง แนะทำหนังสือถึง “สหรัฐ” ขอระงับความร่วมมือเขมร พร้อมตัดท่อน้ำเลี้ยงสแกมเมอร์-ฟอกเงินด้วย
.
เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊กออกแถลงการณ์ “
ข้อเสนอเร่งด่วนกรณีความขัดแย้งไทยกัมพูชา รัฐบาลต้องเร่งใช้มาตรการการทูตเชิงรุก เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ และหยุดยั้งพฤติการณ์คุกคามสันติภาพของกัมพูชา”
.
จากกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณพื้นที่ห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ บาดเจ็บ 2 นาย โดยหนึ่งในนั้นมีอาการข้อเท้าขวาขาด ส่งผลให้นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศจะยกเลิกข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา ที่ได้ลงนามไปเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นสักขีพยานนั้น
.
พรรคประชาชนขอเสนอมาตรการการทูตเชิงรุกที่จะสร้างความได้เปรียบให้แก่ประเทศไทยในสถานการณ์อันสำคัญเร่งด่วนนี้ คือ
.
1. นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ต้องคุยโทรศัพท์สายตรงกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีมาเลเซียทันที ในฐานะสักขีพยานข้อตกลงสันติภาพ โดยยืนยันจุดยืนของไทยว่า ไทยต้องการรักษาข้อตกลงฯ ให้คงอยู่เพื่อการธำรงสันติภาพระหว่างสองประเทศ และปฏิบัติตามข้อตกลงฯ มาโดยตลอด แต่กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงฯ ไทยเรียกร้องให้กัมพูชารับผิดชอบต่อการละเมิดข้อตกลงฯ ในครั้งนี้ และรัฐบาลไทยขอสงวนสิทธิ์ในการป้องกันตนเอง หากกัมพูชายังมีพฤติการณ์ที่บ่อนทำลายสันติภาพ
.
2. การดำเนินมาตรการเชิงรุกของไทย จำเป็นต้องเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน ก่อนที่นายฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะโทรศัพท์ไปหาผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซีย เพื่อชิงความได้เปรียบในการอธิบายจุดยืนและรายละเอียดของสถานการณ์ นอกจากนี้ ไทยยังจำเป็นต้องย้ำว่า ไทยรักษาข้อตกลง ส่วนกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลง เพื่อสร้างความชอบธรรมว่าไทยเป็นฝ่ายที่ถูกต้องในสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ และมีความชอบธรรมหากต้องยกระดับปฏิบัติการในอนาคต
.
3. นอกจากนี้ ไทยยังควรทำหนังสืออย่างเป็นทางการ เรียกร้องให้สหรัฐฯ พิจารณาระงับความร่วมมือทางทหารกับกัมพูชา จนกว่ากัมพูชาจะกลับมายึดมั่นในข้อตกลงสันติภาพ ไม่อย่างนั้น ความร่วมมือทางการทหารกับกัมพูชาจะเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้ทุ่นระเบิดที่ละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ และทำลายการสร้างสันติภาพอย่างที่ผู้นำสหรัฐฯ ต้องการ
.
4. สุดท้าย รัฐบาลไทยต้องไม่ลืมว่า วิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการจัดการไม่ให้รัฐบาลกัมพูชามีพฤติการณ์เป็นภัยต่อความมั่นคงของไทยอีกต่อไป คือการตัดท่อน้ำเลี้ยงของผู้มีอำนาจทางการเมืองกัมพูชาที่หล่อเลี้ยงด้วยทุนเทาสแกมเมอร์ในกัมพูชาและขบวนการฟอกเงินในประเทศไทย ซึ่งประชาคมโลกพร้อมให้ความร่วมมือกับไทยในการจัดการอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ และได้ดำเนินการล้ำหน้าไทยไปแล้ว แต่รัฐบาลยังไม่เคยจริงจังในการสืบหาต้นตอและขยายผลการอายัดทรัพย์เครือข่ายทุนเทา นอกจากจัดอีเวนท์และตั้งคณะกรรมการ รัฐบาลต้องรีบตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษ และตั้งผู้แทนพิเศษของไทย (Special Envoy) ที่จะทำหน้าที่ประสานกับรัฐบาลนานาชาติในการจัดการสแกมเมอร์และขบวนการฟอกเงิน มุ่งเน้นการสาวถึงต้นตอขบวนการ ไม่ใช่จับคนตัวเล็กตัวน้อย
.
พรรคประชาชนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า หากรัฐบาลดำเนินการทางการทูตเชิงรุกอย่างถึงที่สุด จะทำให้ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบในเวทีโลก และสามารถหยุดยั้งพฤติการณ์คุกคามสันติภาพของรัฐบาลกัมพูชาได้ รวมถึงมีความชอบธรรมเพียงพอที่จะอธิบายต่อประชาคมโลก หากจำเป็นต้องยกระดับมาตรการทางทหารเพื่อป้องกันตนเองในอนาคต
.
https://www.facebook.com/PPLEThai/posts/122176659878480817
.
.
‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจ ประชาชน 91% หนุนใช้โดรนทางทหาร ‘โจมตี-ป้องภัย’
https://www.dailynews.co.th/news/5292040/
.
"นิด้าโพล" เผยผลสำรวจเรื่อง “โดรนทางการทหารและความมั่นคง” ประชาชนร้อยละ 91.08 สนับสนุนใช้ในภารกิจทางทหาร รวมทั้งมองเพิ่มประสิทธิภาพในการโจมตี การป้องกันภัย ลดความเสี่ยงต่อชีวิต
.
เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 68 ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง “
โดรนทางการทหารและความมั่นคง” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 5-7 พฤศจิกายน 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่าขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนต่อการใช้โดรนในภารกิจทางทหารและความมั่นคงของไทย การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของนิด้าโพล สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น 97
.
จากการสำรวจเมื่อถามถึงการรู้จักและการใช้โดรนของประชาชน พบว่า ตัวอย่าง 78.47% ระบุว่า รู้จักแต่ไม่เคยใช้ รองลงมา 13.13% ระบุว่า รู้จักและเคยใช้ และ 8.40% ระบุว่า ไม่รู้จัก เมื่อพิจารณาตัวอย่างที่ระบุว่ารู้จักและเคยใช้โดรนในภารกิจต่าง ๆ (จำนวน 172 หน่วยตัวอย่าง) พบว่า ตัวอย่าง 43.02% ระบุว่า ใช้ถ่ายภาพและบันทึกข้อมูล รองลงมา 29.07% ระบุว่า ใช้เพื่อการเกษตร 20.35% ระบุว่า ใช้เพื่อความสนุกสนาน 4.66% ระบุว่าใช้เพื่อสำรวจ ตรวจสอบ 1.16% ระบุว่าใช้เพื่อภารกิจทางทหารและความมั่นคง และใช้เพื่อการทำแผนที่ ในสัดส่วนที่เท่ากัน และ 0.58% ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ใช้เพื่อการศึกษา
.
เมื่อสอบถามเฉพาะผู้ที่ระบุว่ารู้จักโดรน ทั้งที่เคยใช้และไม่เคยใช้โดรน (จำนวน 1,200 หน่วยตัวอย่าง) ในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ความสำคัญของการใช้โดรนในภารกิจทางทหารและความมั่นคงของไทย พบว่า ตัวอย่าง 80.50% ระบุว่า สำคัญมาก รองลงมา 17.33% ระบุว่า ค่อนข้างสำคัญ 1.50% ระบุว่า ไม่ค่อยสำคัญ 0.42% ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ และ 0.25% ระบุว่า ไม่สำคัญเลย
.
ความคิดเห็นของประชาชนต่อการใช้โดรนในภารกิจทางทหารและความมั่นคงของไทย พบว่า ตัวอย่าง 91.08% ระบุว่า เห็นด้วยกับการใช้โดรนในภารกิจทางทหารและความมั่นคงของไทย รองลงมา 57.25% ระบุว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตมนุษย์ 51.50% ระบุว่า เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในภารกิจการป้องกันภัย 48.08% ระบุว่า เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในภารกิจการโจมตีเป้าหมาย 21.50% ระบุว่า เป็นการใช้ความได้เปรียบทางเทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ 16.42% ระบุว่า ไทยควรผลิตโดรนเองเพื่อลดการพึ่งพิงเทคโนโลยีจากต่างประเทศ 4.17% ระบุว่า เป็นการเอาเปรียบคู่ต่อสู้จากการมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า 3.08% ระบุว่า ไทยอาจต้องพึ่งพิงเทคโนโลยีจากต่างประเทศมากเกินไป 2.58% ระบุว่า อาจเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศจากการล่วงล้ำเขตแดนเพื่อนบ้าน 1% ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับการใช้โดรนในภารกิจทางทหารและความมั่นคงของไทย 0.83% ระบุว่า ไม่ใช่การรบแบบสุภาพบุรุษ 0.58% ระบุว่า ควรนำงบประมาณไปใช้อย่างอื่นดีกว่า และอาจเป็นการละเมิดกฎของสงคราม เช่น การใช้โดรนโจมตีเป้าหมายนอกเขตการสู้รบ เป็นต้น ในสัดส่วนที่เท่ากัน และ 0.50% ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ
.
เมื่อถามถึงการรู้จักระบบอาวุธสังหารอัตโนมัติ พบว่า ตัวอย่าง 48.50% ระบุว่า ไม่รู้จักเลย รองลงมา 41.25% ระบุว่า พอรู้จักบ้าง 10.17% ระบุว่า รู้จักดี และ 0.08% ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ
.
ความคิดเห็นของประชาชนต่อผู้ที่ควรรับผิดชอบในกรณีที่การใช้ระบบอาวุธสังหารอัตโนมัติในภารกิจทางทหารและความมั่นคงของไทยเกิดความผิดพลาด พบว่า ตัวอย่าง 43.92% ระบุว่า ผู้บัญชาการกองทัพ รองลงมา 38.92% ระบุว่า ผู้ควบคุมหน่วยระบบอาวุธสังหารอัตโนมัติ 26.33% ระบุว่า ผู้นำประเทศ 24.58% ระบุว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 12.75% ระบุว่า ผู้ออกแบบ เขียน Code ป้อนข้อมูล สำหรับระบบอาวุธสังหารอัตโนมัติ 11.50% ระบุว่า บริษัทผู้ผลิต และ/หรือ จัดจำหน่ายอาวุธ 10.42% ระบุว่า นักการเมืองผู้ร่วมอนุมัติงบจัดซื้ออาวุธ 9% ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ และ 4% ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ทุกฝ่ายต้องรับผิดชอบร่วมกัน
.
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการใช้ระบบอาวุธสังหารอัตโนมัติในภารกิจทางทหารและความมั่นคงของไทย พบว่า ตัวอย่าง 51.33% ระบุว่า เห็นด้วยอย่างยิ่ง รองลงมา 22.42% ระบุว่าค่อนข้างเห็นด้วย 12.50% ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย 11.50% ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย และ 2.50% ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ
.
.
รัสเซียแบนชาวญี่ปุ่นอีกกว่า 30 คน ตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรเรื่องยูเครน
https://www.dailynews.co.th/news/5292049/
.
รัสเซียขึ้นบัญชีดำพลเมืองญี่ปุ่นอีกมากกว่า 30 คน หนึ่งในนั้นเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสในกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อตอบโต้ที่อีกฝ่ายขยายขอบเขตมาตรการคว่ำบาตร จากประเด็นสงครามในยูเครน
.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 12 พ.ย. ว่ากระทรวงการต่างประเทศรัสเซียออกแถลงการณ์ ว่าเพิ่มรายชื่อพลเมืองญี่ปุ่นอีกมากกว่า 30 คน ในบัญชีดำห้ามเดินทางเข้าประเทศ เพื่อตอบโต้ที่รัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย จากความขัดแย้งในยูเครน เมื่อเดือนก.ย. ที่ผ่านมา
.
ทั้งนี้ บุคคลที่อยู่ในรายชื่อมีทั้งนักการเมือง ข้าราชการ ผู้สื่อข่าว และนักวิชาการ โดยรัฐบาลมอสโกเน้นย้ำว่า มาตรการห้ามเข้าประเทศกับบุคคลเหล่านี้ “มีผลบังคับใช้อย่างไม่มีกำหนด” ซึ่งงผู้ที่อยู่ในรายชื่อรอบนี้ รวมถึงนายโทชิฮิโร คิตามูระ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น
.
อนึ่ง ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศซึ่งเข้าร่วมมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียกับตะวันตก จากกรณีสงครามในยูเครน ขณะเดียวกัน รัสเซียและญี่ปุ่นมีข้อพิพาทตึงเครียดและยืดเยื้อนานหลายทศวรรษ จากความขัดแย้งเรื่องกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะคูริล ในทะเลโอคอตสค์ ที่เป็นดินแดนอยู่ภายใต้อธิปไตยของรัสเซีย นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
.
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียประกาศเมื่อปีที่แล้ว ขึ้นบัญชีดำ ผู้บริหารระดับสูงชาวญี่ปุ่นของบริษัท 13 แห่ง จากการเดินทางเข้าประเทศ โดยผู้ที่อยู่ในรายชื่อรวมถึง นายอากิโอะ โทโยดะ ประธานบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน นายฮิโรชิ มิกิทานิ ประธานบริษัทราคูเท็น และนายอากิฮิโกะ ทานากะ ประธานองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น ( ไจก้า ).
JJNY : ปชน.ร้องรบ.เร่งใช้การทูตเชิงรุก│ปชช.91% หนุนใช้โดรนทางทหาร│รัสเซียแบนชาวญี่ปุ่นอีกกว่า 30 │ทั่วไทยเผชิญฝนฟ้าคะนอง
https://www.matichon.co.th/politics/news_5452636
.
ปชน.ออกแถลงการณ์เรียกร้อง รัฐบาลต้องเร่งใช้มาตรการการทูตเชิงรุก หยุดยั้งพฤติการณ์คุกคามสันติภาพของกัมพูชา! จี้ “อนุทิน” ยกหูฟ้อง “ทรัมป์-อันวาร์“ ทันที ก่อน “ฮุน มาเนต” ต่อสายตรง แนะทำหนังสือถึง “สหรัฐ” ขอระงับความร่วมมือเขมร พร้อมตัดท่อน้ำเลี้ยงสแกมเมอร์-ฟอกเงินด้วย
.
เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊กออกแถลงการณ์ “ข้อเสนอเร่งด่วนกรณีความขัดแย้งไทยกัมพูชา รัฐบาลต้องเร่งใช้มาตรการการทูตเชิงรุก เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ และหยุดยั้งพฤติการณ์คุกคามสันติภาพของกัมพูชา”
.
จากกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณพื้นที่ห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ บาดเจ็บ 2 นาย โดยหนึ่งในนั้นมีอาการข้อเท้าขวาขาด ส่งผลให้นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศจะยกเลิกข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา ที่ได้ลงนามไปเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นสักขีพยานนั้น
.
พรรคประชาชนขอเสนอมาตรการการทูตเชิงรุกที่จะสร้างความได้เปรียบให้แก่ประเทศไทยในสถานการณ์อันสำคัญเร่งด่วนนี้ คือ
.
1. นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ต้องคุยโทรศัพท์สายตรงกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีมาเลเซียทันที ในฐานะสักขีพยานข้อตกลงสันติภาพ โดยยืนยันจุดยืนของไทยว่า ไทยต้องการรักษาข้อตกลงฯ ให้คงอยู่เพื่อการธำรงสันติภาพระหว่างสองประเทศ และปฏิบัติตามข้อตกลงฯ มาโดยตลอด แต่กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงฯ ไทยเรียกร้องให้กัมพูชารับผิดชอบต่อการละเมิดข้อตกลงฯ ในครั้งนี้ และรัฐบาลไทยขอสงวนสิทธิ์ในการป้องกันตนเอง หากกัมพูชายังมีพฤติการณ์ที่บ่อนทำลายสันติภาพ
.
2. การดำเนินมาตรการเชิงรุกของไทย จำเป็นต้องเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน ก่อนที่นายฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะโทรศัพท์ไปหาผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซีย เพื่อชิงความได้เปรียบในการอธิบายจุดยืนและรายละเอียดของสถานการณ์ นอกจากนี้ ไทยยังจำเป็นต้องย้ำว่า ไทยรักษาข้อตกลง ส่วนกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลง เพื่อสร้างความชอบธรรมว่าไทยเป็นฝ่ายที่ถูกต้องในสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ และมีความชอบธรรมหากต้องยกระดับปฏิบัติการในอนาคต
.
3. นอกจากนี้ ไทยยังควรทำหนังสืออย่างเป็นทางการ เรียกร้องให้สหรัฐฯ พิจารณาระงับความร่วมมือทางทหารกับกัมพูชา จนกว่ากัมพูชาจะกลับมายึดมั่นในข้อตกลงสันติภาพ ไม่อย่างนั้น ความร่วมมือทางการทหารกับกัมพูชาจะเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้ทุ่นระเบิดที่ละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ และทำลายการสร้างสันติภาพอย่างที่ผู้นำสหรัฐฯ ต้องการ
.
4. สุดท้าย รัฐบาลไทยต้องไม่ลืมว่า วิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการจัดการไม่ให้รัฐบาลกัมพูชามีพฤติการณ์เป็นภัยต่อความมั่นคงของไทยอีกต่อไป คือการตัดท่อน้ำเลี้ยงของผู้มีอำนาจทางการเมืองกัมพูชาที่หล่อเลี้ยงด้วยทุนเทาสแกมเมอร์ในกัมพูชาและขบวนการฟอกเงินในประเทศไทย ซึ่งประชาคมโลกพร้อมให้ความร่วมมือกับไทยในการจัดการอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ และได้ดำเนินการล้ำหน้าไทยไปแล้ว แต่รัฐบาลยังไม่เคยจริงจังในการสืบหาต้นตอและขยายผลการอายัดทรัพย์เครือข่ายทุนเทา นอกจากจัดอีเวนท์และตั้งคณะกรรมการ รัฐบาลต้องรีบตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษ และตั้งผู้แทนพิเศษของไทย (Special Envoy) ที่จะทำหน้าที่ประสานกับรัฐบาลนานาชาติในการจัดการสแกมเมอร์และขบวนการฟอกเงิน มุ่งเน้นการสาวถึงต้นตอขบวนการ ไม่ใช่จับคนตัวเล็กตัวน้อย
.
พรรคประชาชนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า หากรัฐบาลดำเนินการทางการทูตเชิงรุกอย่างถึงที่สุด จะทำให้ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบในเวทีโลก และสามารถหยุดยั้งพฤติการณ์คุกคามสันติภาพของรัฐบาลกัมพูชาได้ รวมถึงมีความชอบธรรมเพียงพอที่จะอธิบายต่อประชาคมโลก หากจำเป็นต้องยกระดับมาตรการทางทหารเพื่อป้องกันตนเองในอนาคต
.
https://www.facebook.com/PPLEThai/posts/122176659878480817
.
.
‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจ ประชาชน 91% หนุนใช้โดรนทางทหาร ‘โจมตี-ป้องภัย’
https://www.dailynews.co.th/news/5292040/
.
"นิด้าโพล" เผยผลสำรวจเรื่อง “โดรนทางการทหารและความมั่นคง” ประชาชนร้อยละ 91.08 สนับสนุนใช้ในภารกิจทางทหาร รวมทั้งมองเพิ่มประสิทธิภาพในการโจมตี การป้องกันภัย ลดความเสี่ยงต่อชีวิต
.
เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 68 ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง “โดรนทางการทหารและความมั่นคง” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 5-7 พฤศจิกายน 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่าขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนต่อการใช้โดรนในภารกิจทางทหารและความมั่นคงของไทย การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของนิด้าโพล สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น 97
.
จากการสำรวจเมื่อถามถึงการรู้จักและการใช้โดรนของประชาชน พบว่า ตัวอย่าง 78.47% ระบุว่า รู้จักแต่ไม่เคยใช้ รองลงมา 13.13% ระบุว่า รู้จักและเคยใช้ และ 8.40% ระบุว่า ไม่รู้จัก เมื่อพิจารณาตัวอย่างที่ระบุว่ารู้จักและเคยใช้โดรนในภารกิจต่าง ๆ (จำนวน 172 หน่วยตัวอย่าง) พบว่า ตัวอย่าง 43.02% ระบุว่า ใช้ถ่ายภาพและบันทึกข้อมูล รองลงมา 29.07% ระบุว่า ใช้เพื่อการเกษตร 20.35% ระบุว่า ใช้เพื่อความสนุกสนาน 4.66% ระบุว่าใช้เพื่อสำรวจ ตรวจสอบ 1.16% ระบุว่าใช้เพื่อภารกิจทางทหารและความมั่นคง และใช้เพื่อการทำแผนที่ ในสัดส่วนที่เท่ากัน และ 0.58% ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ใช้เพื่อการศึกษา
.
เมื่อสอบถามเฉพาะผู้ที่ระบุว่ารู้จักโดรน ทั้งที่เคยใช้และไม่เคยใช้โดรน (จำนวน 1,200 หน่วยตัวอย่าง) ในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ความสำคัญของการใช้โดรนในภารกิจทางทหารและความมั่นคงของไทย พบว่า ตัวอย่าง 80.50% ระบุว่า สำคัญมาก รองลงมา 17.33% ระบุว่า ค่อนข้างสำคัญ 1.50% ระบุว่า ไม่ค่อยสำคัญ 0.42% ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ และ 0.25% ระบุว่า ไม่สำคัญเลย
.
ความคิดเห็นของประชาชนต่อการใช้โดรนในภารกิจทางทหารและความมั่นคงของไทย พบว่า ตัวอย่าง 91.08% ระบุว่า เห็นด้วยกับการใช้โดรนในภารกิจทางทหารและความมั่นคงของไทย รองลงมา 57.25% ระบุว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตมนุษย์ 51.50% ระบุว่า เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในภารกิจการป้องกันภัย 48.08% ระบุว่า เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในภารกิจการโจมตีเป้าหมาย 21.50% ระบุว่า เป็นการใช้ความได้เปรียบทางเทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ 16.42% ระบุว่า ไทยควรผลิตโดรนเองเพื่อลดการพึ่งพิงเทคโนโลยีจากต่างประเทศ 4.17% ระบุว่า เป็นการเอาเปรียบคู่ต่อสู้จากการมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า 3.08% ระบุว่า ไทยอาจต้องพึ่งพิงเทคโนโลยีจากต่างประเทศมากเกินไป 2.58% ระบุว่า อาจเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศจากการล่วงล้ำเขตแดนเพื่อนบ้าน 1% ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับการใช้โดรนในภารกิจทางทหารและความมั่นคงของไทย 0.83% ระบุว่า ไม่ใช่การรบแบบสุภาพบุรุษ 0.58% ระบุว่า ควรนำงบประมาณไปใช้อย่างอื่นดีกว่า และอาจเป็นการละเมิดกฎของสงคราม เช่น การใช้โดรนโจมตีเป้าหมายนอกเขตการสู้รบ เป็นต้น ในสัดส่วนที่เท่ากัน และ 0.50% ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ
.
เมื่อถามถึงการรู้จักระบบอาวุธสังหารอัตโนมัติ พบว่า ตัวอย่าง 48.50% ระบุว่า ไม่รู้จักเลย รองลงมา 41.25% ระบุว่า พอรู้จักบ้าง 10.17% ระบุว่า รู้จักดี และ 0.08% ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ
.
ความคิดเห็นของประชาชนต่อผู้ที่ควรรับผิดชอบในกรณีที่การใช้ระบบอาวุธสังหารอัตโนมัติในภารกิจทางทหารและความมั่นคงของไทยเกิดความผิดพลาด พบว่า ตัวอย่าง 43.92% ระบุว่า ผู้บัญชาการกองทัพ รองลงมา 38.92% ระบุว่า ผู้ควบคุมหน่วยระบบอาวุธสังหารอัตโนมัติ 26.33% ระบุว่า ผู้นำประเทศ 24.58% ระบุว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 12.75% ระบุว่า ผู้ออกแบบ เขียน Code ป้อนข้อมูล สำหรับระบบอาวุธสังหารอัตโนมัติ 11.50% ระบุว่า บริษัทผู้ผลิต และ/หรือ จัดจำหน่ายอาวุธ 10.42% ระบุว่า นักการเมืองผู้ร่วมอนุมัติงบจัดซื้ออาวุธ 9% ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ และ 4% ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ทุกฝ่ายต้องรับผิดชอบร่วมกัน
.
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการใช้ระบบอาวุธสังหารอัตโนมัติในภารกิจทางทหารและความมั่นคงของไทย พบว่า ตัวอย่าง 51.33% ระบุว่า เห็นด้วยอย่างยิ่ง รองลงมา 22.42% ระบุว่าค่อนข้างเห็นด้วย 12.50% ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย 11.50% ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย และ 2.50% ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ
.
.
รัสเซียแบนชาวญี่ปุ่นอีกกว่า 30 คน ตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรเรื่องยูเครน
https://www.dailynews.co.th/news/5292049/
.
รัสเซียขึ้นบัญชีดำพลเมืองญี่ปุ่นอีกมากกว่า 30 คน หนึ่งในนั้นเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสในกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อตอบโต้ที่อีกฝ่ายขยายขอบเขตมาตรการคว่ำบาตร จากประเด็นสงครามในยูเครน
.
ทั้งนี้ บุคคลที่อยู่ในรายชื่อมีทั้งนักการเมือง ข้าราชการ ผู้สื่อข่าว และนักวิชาการ โดยรัฐบาลมอสโกเน้นย้ำว่า มาตรการห้ามเข้าประเทศกับบุคคลเหล่านี้ “มีผลบังคับใช้อย่างไม่มีกำหนด” ซึ่งงผู้ที่อยู่ในรายชื่อรอบนี้ รวมถึงนายโทชิฮิโร คิตามูระ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น
อนึ่ง ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศซึ่งเข้าร่วมมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียกับตะวันตก จากกรณีสงครามในยูเครน ขณะเดียวกัน รัสเซียและญี่ปุ่นมีข้อพิพาทตึงเครียดและยืดเยื้อนานหลายทศวรรษ จากความขัดแย้งเรื่องกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะคูริล ในทะเลโอคอตสค์ ที่เป็นดินแดนอยู่ภายใต้อธิปไตยของรัสเซีย นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียประกาศเมื่อปีที่แล้ว ขึ้นบัญชีดำ ผู้บริหารระดับสูงชาวญี่ปุ่นของบริษัท 13 แห่ง จากการเดินทางเข้าประเทศ โดยผู้ที่อยู่ในรายชื่อรวมถึง นายอากิโอะ โทโยดะ ประธานบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน นายฮิโรชิ มิกิทานิ ประธานบริษัทราคูเท็น และนายอากิฮิโกะ ทานากะ ประธานองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น ( ไจก้า ).
https://twitter.com/RT_com/status/1988320803637907538