มหาโปรเจกต์ของเพื่อนบ้าน 2 ..... เปิดฟ้าส่องโลก!!!

เมื่อวานผมรับใช้ถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี ระหว่าง 2553-2558 ของมาเลเซียที่ต้องใช้เงิน 2 ล้านล้านบาทเพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวในอัตรา 6.0% และเริ่มรับใช้ MP3EI ซึ่งเป็นแผนแม่บทพัฒนาเศรษฐกิจอินโดนีเซีย พ.ศ.2554-2568 ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล เพื่อทำให้อินโดนีเซียมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ติดลำดับ 1 ใน 10 ของโลก

อินโดนีเซียมุ่งพัฒนาโครงสร้างทางเศรษฐกิจ 8 ด้าน (เกษตร เหมืองแร่ พลังงาน อุตสาหกรรม ประมง ท่องเที่ยว การสื่อสาร และการพัฒนาพื้นที่สำคัญ) ที่ครอบคลุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมด 22 อุตสาหกรรม ทั้งขนส่ง สิ่งทอ อาหารและเครื่องดื่ม เหล็ก น้ำมันปาล์ม ยางพารา โกโก้ ถ่านหิน ฯลฯ

ไทยและมาเลเซียใช้เงิน 2 ล้านล้านบาทเท่ากัน เพื่อให้ประเทศก้าวกระโดด แต่เป็นคนละด้าน ไทยเน้นลงทุนสาธารณูปโภคและการขนส่ง มาเลเซียเน้นเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่อินโดนีเซียเน้นเรื่องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอย่างมากมายหลากหลายนำมาต่อยอดเป็นการผลิตในประเทศ โดยมีการพัฒนาตามแผนที่วางไว้ 3 เรื่อง คือ การพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจใน 6 เขตเศรษฐกิจสำคัญ การเชื่อมต่อทางเศรษฐกิจภายในและภายนอก และการสร้างความเข้มแข็งด้านทรัพยากรมนุษย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

6 เขตเศรษฐกิจที่ว่าก็มีสุมาตรา ชวา กาลิมันตัน สุลาเวสี บาหลี-นูซาเต็งการา และปาปัว-หมู่เกาะโมลุกะ

อินโดนีเซียให้หน้าที่ของเขตเศรษฐกิจแต่ละแห่งชัดเจน อย่างเขตเศรษฐกิจสุมาตรา อินโดนีเซียจะเสกให้เป็นศูนย์กลางการผลิตและแปรรูปทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งให้เป็นแหล่งสำรองทางพลังงานของชาติ เขตเศรษฐกิจชวา รัฐบาลอินโดฯจะเสกให้เป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและการบริการของประเทศ

เขตเศรษฐกิจกาลิมันตันจะถูกเสกให้เป็นศูนย์กลางการผลิตและแปรรูปด้านเหมืองแร่ เป็นแหล่งพลังงานของประเทศ (แต่แหล่งพลังงานสำรองให้อยู่เขตเศรษฐกิจสุมาตรา) เขตเศรษฐกิจสุลาเวสี  รัฐบาลทุ่มทุนเพื่อปั้นให้เป็นศูนย์กลางการผลิตและแปรรูปด้านการเกษตร เขตเศรษฐกิจบาหลี-นูซาเต็งการา จะถูกปั้นให้เด่นดังด้านการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและผลิตอาหารของประเทศ เขตเศรษฐกิจปาปัว-หมู่เกาะโมลุกะ จะถูกพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางด้านอาหาร ประมง พลังงาน และเหมืองแร่

อินโดนีเซียยังใช้เงินมหาศาลเชื่อมต่อเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยเชื่อมทั้งระบบโลจิสติกส์ ขนส่ง การพัฒนาพื้นที่ระดับภูมิภาค และไอซีที เรื่องการเชื่อมต่อนี่เราต้องยอมรับว่าอินโดนีเซียได้เปรียบครับ เพราะมีพื้นที่ติดทะเล 54,716 กิโลเมตร ผลิตสินค้าอะไรเสร็จก็เข็นลงทะเล ส่งต่อไปประเทศอื่น อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ระโนงโยงเยงไปด้วยเส้นทางเดินเรือทะเลที่ลากผ่านน่านน้ำสำคัญของประเทศ เช่น SLOC หรือเส้นทางเดินเรือช่องแคบมะละกา, ALKI หรือเส้นทางคมนาคมทางทะเลของหมู่เกาะอินโดนีเซีย ฯลฯ

อินโดนีเซียเอา SLOC และ ALKI เป็นตัวตั้ง จากนั้นก็สร้างท่าเรือ สร้างสนามบินขนาดใหญ่เพื่อเชื่อมกับ SLOC และ ALKI เท่านี้ ผมก็ไม่เชื่อว่าจะมีประเทศไหนในโลกนี้ที่จะ eat Indonesia down กินอินโดนีเซียลง

เดิมอินโดนีเซียมีรัฐบาลที่อิเรื่อยเฉื่อยแฉะ บริหารประเทศให้ผ่านไปวันๆ ไม่นึกถึงอนาคต มีเงินก็พัฒนา ไม่มีเงินก็ไม่ทำอะไร แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วครับ ทุกผู้ทุกคนในรัฐบาลอินโดนีเซียเขม็งจ้องมองสองตาไปข้างหน้า ไม่มีเงิน ก็ไปกู้เขามา ทั้งเงินกู้ภายนอกและภายในประเทศ รวมทั้งการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ที่เรียกว่า PPP พอประเทศเริ่มขยับ ทั้งรัฐบาลและประชาชนก็มีกำลังใจทำงานต่ออย่างมุ่งมั่น

ตอนนี้รัฐบาลอินโดนีเซียกระตุ้นให้คนใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการผลิต สินค้าที่แต่เดิมราคา 100 บาท พอได้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าไปใช้ในการผลิต ราคาการผลิตก็ถูกลง แถมยังสินค้ามีคุณภาพดีขึ้นเกิดมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ใครตามการกระดิกพลิกตัวของอินโดนีเซียก็จะเห็นชัดครับ ว่าตอนนี้รัฐบาลสร้างหลักสูตรทั้งในระบบ ทั้งนอกระบบบานเบอะเยอะแยะให้ประชาชนเรียน ทั้งหลักสูตรวิชาการ หลักสูตรวิชาชีพ และหลักสูตรวิชาชีพชั้นสูง

ตอนนี้อินโดนีเซียมีงบประมาณด้านวิจัย 1% ของ GDP พ.ศ. 2568 จะเพิ่มเป็น 3% ของ GDP ปีนี้ อินโดนีเซียมีเป้าหมายเพิ่มคนจบปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอีก 7,000-10,000 คน เพื่อให้เข้าสู่ตลาดการวิจัย

เทรนด์ของโลกคือการลงทุนเพื่อพัฒนา ประเทศไหนไม่ทำก็เสี่ยงตกโลกครับ.

คุณนิติ นวรัตน์

อ้างอิง http://www.thairath.co.th/column/oversea/worldsky/361718

...........................................................................................................................................................................................

อ่านข่าวและดูๆ ไปแล้วเหมือนกับประเทศไทยเมือประมาณปี 2546 หรือไม่ครับ ที่ประเทศไทยกำลังเป็นที่จับตามองและสนใจไปทั่วโลก ประเทศต่างๆ ให้การยอบรับและนับถือ ประเทศไทยเกือบจะไล่ตามสิงค์โปร์ มาเลเซีย เกือบจะทันๆ อยู่แล้ว แต่ดันเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาเสียก่อน ถ้าไม่งั้นป่านนี้คงดีกว่านี้มาก
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่