(ที่มา:มติชนรายวัน 6 สิงหาคม 2556)
อาจอ้างได้ว่า กติกาการเมืองที่เกิดขึ้นในรอบสองพันกว่าปีที่ผ่านมา เพื่อแก้หรือบรรเทาความรุนแรง
จากการขัดแย้งทางการเมืองที่ได้ผลที่สุด หนึ่งนั้นคือ การเลือกตั้ง นวัตกรรมชิ้นนี้ทำให้การขึ้นหรือ
ลงจากตำแหน่งแห่งอำนาจสามารถทำได้โดยไม่มีความรุนแรง พูดอีกแบบได้ว่า การเลือกตั้งเป็น
กติกาที่สร้างแรงจูงใจให้คู่แข่งขันประนีประนอมกัน แทนที่จะต้องสู้กันให้แตกหักไปข้างหนึ่ง เนื่องจาก
เกมนี้ไม่ใช่เป็นเกมที่ผู้ชนะจะได้หมดและผู้แพ้จะเสียหมดตลอดไป หากเราแพ้เลือกตั้งในครั้งนี้ ย่อม
มิได้หมายความว่า เราจะต้องแพ้ตลอดไป ครั้งหน้าเราอาจชนะก็ได้ ดังนั้น มันจึงไม่จำเป็นที่เราจะต้อง
สู้จนตัวตายแบบ "สงครามครั้งสุดท้าย"
แต่ข้อความข้างต้นคงเป็นจริงได้ยาก หากฝ่ายหนึ่งแพ้การเลือกตั้งติดต่อกันยาวนาน เช่นที่เกิดกับ
พรรคประชาธิปัตย์ในรอบ 20 กว่าปีที่ผ่านมา และยังไม่เห็นแววว่าจะชนะการเลือกตั้งจนสามารถจัดตั้ง
รัฐบาลได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ ทั้งๆ ที่ระบบการเมืองแบบเลือกตั้งของไทยได้กลายมาเป็นการแข่งขัน
ระหว่างสองพรรคใหญ่ตั้งแต่ พ.ศ.2544 เป็นต้นมา และคงไม่หวนกลับไปเป็นระบบพรรคเล็กพรรคน้อย
อีกแล้ว (ยกเว้นว่ามีการเปลี่ยนกติกาที่กำหนดวิธีการเลือกตั้งอย่าง 180 องศา ดังนั้น พรรคเล็กอื่นๆ
จึงมีโอกาสชนะการเลือกตั้งน้อยมาก)
การพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องยาวนานของพรรคจึงทำให้ฐานเสียงของพรรคในปัจจุบัน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนเสื้อ
เหลืองเป็นฐานสำคัญ (แม้ว่าจะมีเสื้อเหลืองหลายกลุ่มที่ไม่พอใจพรรคประชาธิปัตย์ เช่นกลุ่มเหลืองที่อยู่ใต้
การนำของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล แต่คนเหล่านี้ก็ไม่มีพรรคอื่นๆ ให้เลือก เช่นเดียวกับคนเสื้อแดงที่ไม่พอใจพรรค
เพื่อไทยก็ไม่มีตัวเลือกอื่นในการเลือกตั้ง) มีความคับข้องใจทางการเมือง เนื่องจากมองไม่เห็นทางว่าจะใช้
บัตรเลือกตั้งในการถอดถอน "ระบอบทักษิณ" ออกจากตำแหน่งได้อย่างไร
คนกลุ่มนี้ ซึ่งก็มิได้ยอมรับว่าการเลือกตั้งเป็นปัจจัยจำเป็นของความชอบธรรมทางการเมืองอยู่ก่อนแล้ว จึงมีแรง
จูงใจที่จะออกสู่ท้องถนนมากขึ้น และ/หรือยิ่งปฏิเสธความชอบธรรมของระบอบเลือกตั้งมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ
เทียบกับกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์สลับกับพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง
ในแง่นี้ผมเห็นด้วยกับ อ.ประจักษ์ ก้องกีรติ แห่งคณะรัฐศาสตร์ ธรรม ศาสตร์ ที่เคยกล่าวครั้งหนึ่งว่า การชนะ
เลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์จะช่วยทำให้ระบอบประชาธิปไตยยั่งยืนมากขึ้น ในมุมนี้ผมจึงมีความหวังกับ
พรรคประชาธิปัตย์มากขึ้นเมื่อ ส.ส.อลงกรณ์ พลบุตร จุดกระแสปฏิรูปพรรค รวมทั้งจะผลักดันการเสนอ
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมการเมืองในนามของพรรค แม้ว่าจะเพิ่งล้มเหลวไปก็ตาม
คำถามคือพรรคประชาธิปัตย์จะปฏิรูปตัวเองอย่างไรให้มีโอกาสชนะการเลือกตั้งได้?
พรรคประชาธิปัตย์คงทราบดีอยู่แล้วว่า ต่อให้พรรคชนะการเลือกตั้งในทุกเขตการเลือกตั้งของภาคใต้และ
กรุงเทพฯ พรรคก็จะไม่มีทางชนะการเลือกตั้งได้ เนื่องจากทั้งสองพื้นที่มี ส.ส.รวมกันได้ไม่ถึง 100 ที่นั่ง
ตัวเลขง่ายๆ นี้สะท้อนว่า ฐานเสียงดั้งเดิมของประชาธิปัตย์มีขนาดเล็กเกินไปที่จะชนะการเลือกตั้ง หากจะ
กล่าวให้ชัดขึ้นคงอ้างได้ว่า ฐานเสียงดั้งเดิมจำนวนมากของพรรคคือ "ชนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป" หรือ
ที่ภาษานักเลือกตั้งเรียกว่า "คนบ้านมีรั้ว" ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งในแง่สถิติ หากเราใช้เกณฑ์รายได้ต่อ
เดือนประมาณ 15,000- 20,000 บาท ในปี 2552 จัดว่าใครเป็นคนกลุ่มนี้แล้ว คนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป
จะมีประมาณ 30% ของครัวเรือนไทย (แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนในกลุ่มนี้จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ เช่นกัน
ไม่ได้มีนัยยะว่าคนชั้นอื่นๆ เช่น "ชนชั้นกลางระดับล่าง" ทุกคนจะไม่เลือก ปชป.)
จะเห็นได้ว่า คนกลุ่มนี้มีสัดส่วนน้อยกว่าฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย กล่าวคือ หากใช้เกณฑ์รายได้
5,000-10,000 บาทต่อเดือนในการจัดว่าใครเป็น "ชนชั้นกลางระดับล่าง" ซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของพรรคเพื่อไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือและอีสานแล้ว คนกลุ่มนี้จะมีสัดส่วน 40% ของครัวเรือนไทย อันเป็นกลุ่มใหญ่
สุดของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งของสังคม สรุปแล้วโอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะชนะการเลือกตั้งจะน้อยกว่า
พรรคเพื่อไทย หาก ปชป.ไม่สามารถพัฒนานโยบายที่โดนใจกลุ่มคนชั้นกลางระดับล่างมากขึ้น จนกระทั่งสามารถ
จูงใจให้เขาหันมาเลือกพรรค ปชป.แทนพรรคเพื่อไทย
ถ้าเช่นนั้น นโยบายแบบใดจึงจะแข่งขันได้กับพรรคเพื่อไทย เพื่อจะตอบคำถามนี้จึงต้องถามต่อว่า คนชั้นกลาง
ระดับล่างเหล่านี้คือใคร วิถีชีวิตเป็นแบบใด คำตอบของคำถามเหล่านี้ก็จะช่วยให้พรรคสามารถสร้างนโยบาย
ที่สอดคล้องกับความต้องการของเขาได้ จากการวิจัยของผมกับเพื่อนๆ ในโครงการ "ทบทวนภูมิทัศน์การเมืองไทย"
พบว่า ชนชั้นกลางระดับล่างนี้เป็นผลจากการเปลี่ยนผ่านของโครงสร้างสังคมเศรษฐกิจจากเกษตรกรรมเป็นสังคม
หลังเกษตรกรรม (deagrarianization) เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีวิถีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางเศรษฐกิจที่ไม่ใช่
เกษตรกรอย่างเดียวอีกต่อไป
ตัวอย่างเช่น ในระดับทั่วประเทศแหล่งรายได้นอกภาคการเกษตรของชาวไร่ชาวนานั้นคิดเป็น 40% ของรายได้รวม
แต่ในภาคอีสานสัดส่วนนี้มีเพียง 20% เท่านั้น ตัวเลขนี้แสดงว่าวิถีชีวิตหลักของเขาไม่ใช่การเกษตรแล้ว แต่ใน
ขณะเดียวกันเขาก็มิได้ย้ายเข้าสังกัดในภาคเศรษฐกิจสมัยใหม่แบบทางการ (formal sector) แต่เป็นผู้ค้ารายย่อย
ทำอาชีพอิสระพวกสารพัดช่าง ขับรถรับจ้างทุกประเภท ฯลฯ ทำให้คนกลุ่มนี้จึงมีความต้องการและความคาดหวัง
แบบหนึ่ง ซึ่งแตกต่างไปจากชนชั้นกลางแบบเก่า ซึ่งเป็นฐานเสียงดั้งเดิมของประชาธิปัตย์ การที่เขาอยู่นอก
ภาคเศรษฐกิจที่เป็นทางการจึงทำให้เขาขาดหลักประกันความมั่นคงในชีวิต ในขณะที่เขาต้องเผชิญกับความ
ไม่แน่นอนแห่งชีวิตเช่นเดียวกับคนชั้นอื่นๆ
ดังนั้น นโยบายใดๆ ที่สร้างหลักประกันทางสังคมให้เป็นที่พึ่งได้ของคนเหล่านี้ น่าจะเป็นนโยบายที่จะช่วยดึง
คะแนนเสียงให้พรรคประชาธิปัตย์ได้
ตัวอย่างสำคัญคือ ปัญหาสังคมชราภาพ มีการคาดการณ์กันว่าสัดส่วนประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป จะคิดเป็น
14% และ 20% ของประชากรทั้งหมดในปี 2564 และ 2574 ตามลำดับ ซึ่งเมื่อดูจากระดับการออมของคน
กลุ่มนี้ในปัจจุบันแล้ว คงยากที่จะเพียงพอต่อการใช้จ่ายในยามแก่ตัว ในขณะที่การพึ่งพาคนในครอบครัวก็จะ
ยากขึ้น เนื่องจากขนาดของครอบครัวก็จะเล็กลงไปอีก
ความท้าทายคือพรรค ปชป.จะสามารถสร้างนโยบายใหม่ๆ ที่เหนือกว่าและยั่งยืนกว่าการเกทับกันแจกเบี้ยคนชรา
แก่ทุกคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปในปัจจุบันได้หรือไม่
ในแง่ของนโยบายด้านการเมือง สืบเนื่องจากการที่ประเด็นความขัดแย้งหลักระหว่างมวลชนเสื้อแดง (ชนชั้นกลาง
ระดับล่าง) และเสื้อเหลือง (ชนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป) ก็คือ ความเห็นต่างที่มีต่อกติกาการเมืองไทยที่ควรจะ
เป็น กล่าวคือ ฝ่ายแดงยึดมั่นในการเมืองแบบเลือกตั้ง โดยเห็นว่าความชอบธรรมและการตัดสินใจทางการเมือง
จะต้องมีที่มาจาก หรือยึดโยงกับการเลือกตั้ง
ในขณะที่ฝ่ายเหลืองเน้นประชาธิปไตยแบบตรวจสอบ โดยเห็นว่าการเลือกตั้งไม่เป็นทั้งปัจจัยที่จำเป็น หรือปัจจัย
ที่เพียงพอต่อความชอบธรรมทางการเมือง ในทรรศนะนี้การเมืองจะชอบธรรมได้นั้นจะต้องเป็นการเมืองที่มี
คุณธรรมและปราศจากการทุจริต จึงต้องเน้นการปกครองโดยคนดีผู้มีคุณธรรม ซึ่งไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง
ในแง่นี้หากพรรค ปชป.ต้องการจะชนะการเลือกตั้งแล้ว ในระยะยาวจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแสดงให้
มวลชนเสื้อแดง ซึ่งมีจำนวนมากกว่าเสื้อเหลือง เห็นว่าพรรคจะยึดมั่นในระบบเลือกตั้งอย่างแท้จริง ดังที่
อดีตนายกฯชวน หลีกภัย เคยกล่าวไว้ว่า พรรค ปชป.ยึดมั่นในระบบรัฐสภา ในแง่นี้การกระทำหลายอย่าง
ในอดีต เช่นที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ถูกกล่าวหาว่าจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร จึงต้องเลิกอย่างเด็ดขาด
ที่เสนอมาทั้งหมดนี้ก็หวังว่าจะช่วยให้พรรคประชาธิปัตย์กลายมาเป็นพรรคแห่งความหวังของประชาธิปไตย
ไทยได้สมชื่อพรรคที่ตั้งไว้กว่า 60 ปีแล้ว
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1375802850&grpid=&catid=02&subcatid=0207
เชิญชวนเพื่อนๆ มาช่วยกันคิด ทำอย่างไร ปชป. จึงจะชนะการเลือตั้ง .....
สิ่งที่ ปชป. ทำอยู่วันนี้ คัดค้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม และ
ร่วมกับกองทัพปชช. โค่นล้มระบอบทักษิณ เป็นหนทางที่จะ ทำให้ได้เสียงมากขึ้นไหม ?
ระบอบทักษิณ ... อย่างไร คือการโค่นล้ม ความสำเร็จ วัดกันที่ตรงไหน ?
อยากให้เพื่อนๆ ที่ต่อต้าน ระบอบทักษิณ มาคุยกันเรื่องนี้ .... จะมีผู้กล้าไหม ?
พรรคประชาธิปัตย์ คือความหวังของประชาธิปไตย โดย อภิชาต สถิตนิรามัย มติชนออนไลน์ .... ทำอย่างไรจึงจะชนะเลือกตั้ง ?
อาจอ้างได้ว่า กติกาการเมืองที่เกิดขึ้นในรอบสองพันกว่าปีที่ผ่านมา เพื่อแก้หรือบรรเทาความรุนแรง
จากการขัดแย้งทางการเมืองที่ได้ผลที่สุด หนึ่งนั้นคือ การเลือกตั้ง นวัตกรรมชิ้นนี้ทำให้การขึ้นหรือ
ลงจากตำแหน่งแห่งอำนาจสามารถทำได้โดยไม่มีความรุนแรง พูดอีกแบบได้ว่า การเลือกตั้งเป็น
กติกาที่สร้างแรงจูงใจให้คู่แข่งขันประนีประนอมกัน แทนที่จะต้องสู้กันให้แตกหักไปข้างหนึ่ง เนื่องจาก
เกมนี้ไม่ใช่เป็นเกมที่ผู้ชนะจะได้หมดและผู้แพ้จะเสียหมดตลอดไป หากเราแพ้เลือกตั้งในครั้งนี้ ย่อม
มิได้หมายความว่า เราจะต้องแพ้ตลอดไป ครั้งหน้าเราอาจชนะก็ได้ ดังนั้น มันจึงไม่จำเป็นที่เราจะต้อง
สู้จนตัวตายแบบ "สงครามครั้งสุดท้าย"
แต่ข้อความข้างต้นคงเป็นจริงได้ยาก หากฝ่ายหนึ่งแพ้การเลือกตั้งติดต่อกันยาวนาน เช่นที่เกิดกับ
พรรคประชาธิปัตย์ในรอบ 20 กว่าปีที่ผ่านมา และยังไม่เห็นแววว่าจะชนะการเลือกตั้งจนสามารถจัดตั้ง
รัฐบาลได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ ทั้งๆ ที่ระบบการเมืองแบบเลือกตั้งของไทยได้กลายมาเป็นการแข่งขัน
ระหว่างสองพรรคใหญ่ตั้งแต่ พ.ศ.2544 เป็นต้นมา และคงไม่หวนกลับไปเป็นระบบพรรคเล็กพรรคน้อย
อีกแล้ว (ยกเว้นว่ามีการเปลี่ยนกติกาที่กำหนดวิธีการเลือกตั้งอย่าง 180 องศา ดังนั้น พรรคเล็กอื่นๆ
จึงมีโอกาสชนะการเลือกตั้งน้อยมาก)
การพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องยาวนานของพรรคจึงทำให้ฐานเสียงของพรรคในปัจจุบัน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนเสื้อ
เหลืองเป็นฐานสำคัญ (แม้ว่าจะมีเสื้อเหลืองหลายกลุ่มที่ไม่พอใจพรรคประชาธิปัตย์ เช่นกลุ่มเหลืองที่อยู่ใต้
การนำของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล แต่คนเหล่านี้ก็ไม่มีพรรคอื่นๆ ให้เลือก เช่นเดียวกับคนเสื้อแดงที่ไม่พอใจพรรค
เพื่อไทยก็ไม่มีตัวเลือกอื่นในการเลือกตั้ง) มีความคับข้องใจทางการเมือง เนื่องจากมองไม่เห็นทางว่าจะใช้
บัตรเลือกตั้งในการถอดถอน "ระบอบทักษิณ" ออกจากตำแหน่งได้อย่างไร
คนกลุ่มนี้ ซึ่งก็มิได้ยอมรับว่าการเลือกตั้งเป็นปัจจัยจำเป็นของความชอบธรรมทางการเมืองอยู่ก่อนแล้ว จึงมีแรง
จูงใจที่จะออกสู่ท้องถนนมากขึ้น และ/หรือยิ่งปฏิเสธความชอบธรรมของระบอบเลือกตั้งมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ
เทียบกับกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์สลับกับพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง
ในแง่นี้ผมเห็นด้วยกับ อ.ประจักษ์ ก้องกีรติ แห่งคณะรัฐศาสตร์ ธรรม ศาสตร์ ที่เคยกล่าวครั้งหนึ่งว่า การชนะ
เลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์จะช่วยทำให้ระบอบประชาธิปไตยยั่งยืนมากขึ้น ในมุมนี้ผมจึงมีความหวังกับ
พรรคประชาธิปัตย์มากขึ้นเมื่อ ส.ส.อลงกรณ์ พลบุตร จุดกระแสปฏิรูปพรรค รวมทั้งจะผลักดันการเสนอ
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมการเมืองในนามของพรรค แม้ว่าจะเพิ่งล้มเหลวไปก็ตาม
คำถามคือพรรคประชาธิปัตย์จะปฏิรูปตัวเองอย่างไรให้มีโอกาสชนะการเลือกตั้งได้?
พรรคประชาธิปัตย์คงทราบดีอยู่แล้วว่า ต่อให้พรรคชนะการเลือกตั้งในทุกเขตการเลือกตั้งของภาคใต้และ
กรุงเทพฯ พรรคก็จะไม่มีทางชนะการเลือกตั้งได้ เนื่องจากทั้งสองพื้นที่มี ส.ส.รวมกันได้ไม่ถึง 100 ที่นั่ง
ตัวเลขง่ายๆ นี้สะท้อนว่า ฐานเสียงดั้งเดิมของประชาธิปัตย์มีขนาดเล็กเกินไปที่จะชนะการเลือกตั้ง หากจะ
กล่าวให้ชัดขึ้นคงอ้างได้ว่า ฐานเสียงดั้งเดิมจำนวนมากของพรรคคือ "ชนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป" หรือ
ที่ภาษานักเลือกตั้งเรียกว่า "คนบ้านมีรั้ว" ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งในแง่สถิติ หากเราใช้เกณฑ์รายได้ต่อ
เดือนประมาณ 15,000- 20,000 บาท ในปี 2552 จัดว่าใครเป็นคนกลุ่มนี้แล้ว คนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป
จะมีประมาณ 30% ของครัวเรือนไทย (แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนในกลุ่มนี้จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ เช่นกัน
ไม่ได้มีนัยยะว่าคนชั้นอื่นๆ เช่น "ชนชั้นกลางระดับล่าง" ทุกคนจะไม่เลือก ปชป.)
จะเห็นได้ว่า คนกลุ่มนี้มีสัดส่วนน้อยกว่าฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย กล่าวคือ หากใช้เกณฑ์รายได้
5,000-10,000 บาทต่อเดือนในการจัดว่าใครเป็น "ชนชั้นกลางระดับล่าง" ซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของพรรคเพื่อไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือและอีสานแล้ว คนกลุ่มนี้จะมีสัดส่วน 40% ของครัวเรือนไทย อันเป็นกลุ่มใหญ่
สุดของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งของสังคม สรุปแล้วโอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะชนะการเลือกตั้งจะน้อยกว่า
พรรคเพื่อไทย หาก ปชป.ไม่สามารถพัฒนานโยบายที่โดนใจกลุ่มคนชั้นกลางระดับล่างมากขึ้น จนกระทั่งสามารถ
จูงใจให้เขาหันมาเลือกพรรค ปชป.แทนพรรคเพื่อไทย
ถ้าเช่นนั้น นโยบายแบบใดจึงจะแข่งขันได้กับพรรคเพื่อไทย เพื่อจะตอบคำถามนี้จึงต้องถามต่อว่า คนชั้นกลาง
ระดับล่างเหล่านี้คือใคร วิถีชีวิตเป็นแบบใด คำตอบของคำถามเหล่านี้ก็จะช่วยให้พรรคสามารถสร้างนโยบาย
ที่สอดคล้องกับความต้องการของเขาได้ จากการวิจัยของผมกับเพื่อนๆ ในโครงการ "ทบทวนภูมิทัศน์การเมืองไทย"
พบว่า ชนชั้นกลางระดับล่างนี้เป็นผลจากการเปลี่ยนผ่านของโครงสร้างสังคมเศรษฐกิจจากเกษตรกรรมเป็นสังคม
หลังเกษตรกรรม (deagrarianization) เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีวิถีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางเศรษฐกิจที่ไม่ใช่
เกษตรกรอย่างเดียวอีกต่อไป
ตัวอย่างเช่น ในระดับทั่วประเทศแหล่งรายได้นอกภาคการเกษตรของชาวไร่ชาวนานั้นคิดเป็น 40% ของรายได้รวม
แต่ในภาคอีสานสัดส่วนนี้มีเพียง 20% เท่านั้น ตัวเลขนี้แสดงว่าวิถีชีวิตหลักของเขาไม่ใช่การเกษตรแล้ว แต่ใน
ขณะเดียวกันเขาก็มิได้ย้ายเข้าสังกัดในภาคเศรษฐกิจสมัยใหม่แบบทางการ (formal sector) แต่เป็นผู้ค้ารายย่อย
ทำอาชีพอิสระพวกสารพัดช่าง ขับรถรับจ้างทุกประเภท ฯลฯ ทำให้คนกลุ่มนี้จึงมีความต้องการและความคาดหวัง
แบบหนึ่ง ซึ่งแตกต่างไปจากชนชั้นกลางแบบเก่า ซึ่งเป็นฐานเสียงดั้งเดิมของประชาธิปัตย์ การที่เขาอยู่นอก
ภาคเศรษฐกิจที่เป็นทางการจึงทำให้เขาขาดหลักประกันความมั่นคงในชีวิต ในขณะที่เขาต้องเผชิญกับความ
ไม่แน่นอนแห่งชีวิตเช่นเดียวกับคนชั้นอื่นๆ
ดังนั้น นโยบายใดๆ ที่สร้างหลักประกันทางสังคมให้เป็นที่พึ่งได้ของคนเหล่านี้ น่าจะเป็นนโยบายที่จะช่วยดึง
คะแนนเสียงให้พรรคประชาธิปัตย์ได้
ตัวอย่างสำคัญคือ ปัญหาสังคมชราภาพ มีการคาดการณ์กันว่าสัดส่วนประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป จะคิดเป็น
14% และ 20% ของประชากรทั้งหมดในปี 2564 และ 2574 ตามลำดับ ซึ่งเมื่อดูจากระดับการออมของคน
กลุ่มนี้ในปัจจุบันแล้ว คงยากที่จะเพียงพอต่อการใช้จ่ายในยามแก่ตัว ในขณะที่การพึ่งพาคนในครอบครัวก็จะ
ยากขึ้น เนื่องจากขนาดของครอบครัวก็จะเล็กลงไปอีก
ความท้าทายคือพรรค ปชป.จะสามารถสร้างนโยบายใหม่ๆ ที่เหนือกว่าและยั่งยืนกว่าการเกทับกันแจกเบี้ยคนชรา
แก่ทุกคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปในปัจจุบันได้หรือไม่
ในแง่ของนโยบายด้านการเมือง สืบเนื่องจากการที่ประเด็นความขัดแย้งหลักระหว่างมวลชนเสื้อแดง (ชนชั้นกลาง
ระดับล่าง) และเสื้อเหลือง (ชนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป) ก็คือ ความเห็นต่างที่มีต่อกติกาการเมืองไทยที่ควรจะ
เป็น กล่าวคือ ฝ่ายแดงยึดมั่นในการเมืองแบบเลือกตั้ง โดยเห็นว่าความชอบธรรมและการตัดสินใจทางการเมือง
จะต้องมีที่มาจาก หรือยึดโยงกับการเลือกตั้ง
ในขณะที่ฝ่ายเหลืองเน้นประชาธิปไตยแบบตรวจสอบ โดยเห็นว่าการเลือกตั้งไม่เป็นทั้งปัจจัยที่จำเป็น หรือปัจจัย
ที่เพียงพอต่อความชอบธรรมทางการเมือง ในทรรศนะนี้การเมืองจะชอบธรรมได้นั้นจะต้องเป็นการเมืองที่มี
คุณธรรมและปราศจากการทุจริต จึงต้องเน้นการปกครองโดยคนดีผู้มีคุณธรรม ซึ่งไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง
ในแง่นี้หากพรรค ปชป.ต้องการจะชนะการเลือกตั้งแล้ว ในระยะยาวจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแสดงให้
มวลชนเสื้อแดง ซึ่งมีจำนวนมากกว่าเสื้อเหลือง เห็นว่าพรรคจะยึดมั่นในระบบเลือกตั้งอย่างแท้จริง ดังที่
อดีตนายกฯชวน หลีกภัย เคยกล่าวไว้ว่า พรรค ปชป.ยึดมั่นในระบบรัฐสภา ในแง่นี้การกระทำหลายอย่าง
ในอดีต เช่นที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ถูกกล่าวหาว่าจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร จึงต้องเลิกอย่างเด็ดขาด
ที่เสนอมาทั้งหมดนี้ก็หวังว่าจะช่วยให้พรรคประชาธิปัตย์กลายมาเป็นพรรคแห่งความหวังของประชาธิปไตย
ไทยได้สมชื่อพรรคที่ตั้งไว้กว่า 60 ปีแล้ว
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1375802850&grpid=&catid=02&subcatid=0207
เชิญชวนเพื่อนๆ มาช่วยกันคิด ทำอย่างไร ปชป. จึงจะชนะการเลือตั้ง .....
สิ่งที่ ปชป. ทำอยู่วันนี้ คัดค้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม และ
ร่วมกับกองทัพปชช. โค่นล้มระบอบทักษิณ เป็นหนทางที่จะ ทำให้ได้เสียงมากขึ้นไหม ?
ระบอบทักษิณ ... อย่างไร คือการโค่นล้ม ความสำเร็จ วัดกันที่ตรงไหน ?
อยากให้เพื่อนๆ ที่ต่อต้าน ระบอบทักษิณ มาคุยกันเรื่องนี้ .... จะมีผู้กล้าไหม ?