"Thailand’s Democrat Party Is Hilariously Misnamed"
http://world.time.com/2013/11/28/thailands-democrat-party-is-hilariously-misnamed/
บทความเขียนโดย Charlie Campbell แห่ง TIME ครับ
แปลโดยมิตรสหายท่านหนึ่ง เลยอยากจะเอามาให้อ่าน ที่อยู่ในวงเล็บนั่นผู้แปลบอกว่าไม่ได้มีในบทความแต่เป็นส่วนของผู้แปล ทั้งนี้เนื้อหาการแปลพยายามจะทำให้ได้ใกล้เคียงต้นฉบับที่สุด
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ประชาธิปัตย์ ชื่อนี้อาจจะตั้งผิดไป(ไม่น้อย)
การปะทะทางการเมืองของมวลชนมีสีเสื้อของประเทศไทยประทุขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ พรรค ประชาธิปัตย์และกลุ่มผู้สนับสนุนได้บุกเข้ายึดหลาย ๆ ที่ตั้งกระทรวงของรัฐบาลในกรุงเทพ รวมทั้งสถานที่ราชการในจังหวัดอื่น ๆ อีกไม่ต่ำกว่า 19 แห่ง เพื่อจะเรียกร้องให้ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ได้รับการสนันสนุนจากมวลชนเสื้อแดงลงจากตำแหน่ง สำหรับมวลชนเสื้อเหลืองแล้ว ยิ่งลักษณ์เป็นได้เพียงแค่หน้าฉากให้แก่ อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิน ชินวัตร ผู้ที่ถูกเนรเทศทางการเมืองจากเหตุการรัฐประหารในปี 2549 และกำลังหลบเลี้ยงจากการถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 2 ปีจากข้อหาคอร์รัปชัน
กระแสของมวลชนเสื้อเหลืองดังกล่าวได้เริ่มต้นจากการต่อต้าน พรบ นิรโทษกรรม ที่จะเปิดโอกาสได้ทักษินได้กล้บเมืองไทย และความพยายามโดยยิ่งลักษณ์ที่จะทำการเพิ่มอำนาจโดยการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของ สว ในวันอังคารที่ผ่านมา แกนนำการประท้วง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกร้องการ “ปฏิวัติประชาชน” เพื่อที่จะพยายามดึง นส ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้ง ให้หลุดพ้นจากตำแหน่ง พร้อมจะแทนที่ด้วยสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง (ในบทความใช้คำว่า nonelected royalist council ผู้แปลไม่อยากแปลตรงนี้) นอกจากนี้ เพื่อปัดป้องว่าการชุมนุมครั้งนี้ไม่ได้เป็นการชุมนุมเพื่อเหตุผลส่วนตัว นายสุเทพยังสาบานต่อหน้าพระพุทธองค์ว่าจะไม่ยอมรับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคต นอกจากนี้ ขณะนี้ได้มีหมายจับนายสุเทพในข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการอย่างผิดกฏหมาย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ณ ขณะนี้นั้นเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจ ประเทศแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันน่าหลงไหลแก่ชาวต่างชาติหลายล้านคน ประเทศไทยเป็นแหล่งส่งออกข้าวอันดับต้น ๆ ของโลกและเศรษกิจของประเทศยังใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือระบบประชาธิปไตยของประเทศไทยยังเป็นแบบอย่างที่สำคัญและถูกจับตาเป็นอย่างยิ่งประเทศเพื่อนบ้านอย่าง พม่า ลาว เวียดนามและกัมพูชา
น่าเสียดายที่ว่า เมื่อพูดถึงคำว่า“ประชาธิปไตย”แล้ว พรรคการเมืองที่ได้ชื่อว่า “ประชาธิปัตย์” นั้นกลับเป็นหนึ่งในผู้ที่ปฏิบัติในเรื่องนี้ที่ได้แย่ที่สุด มวลชนเป็นหมื่น ๆ คนกำลังเดินขบวนกันทั่วประเทศ แต่การเรียกร้องหาระบอบ royalist council (ไม่อยากแปล) นั้นยากที่จะเรียกว่าเป็นการปฏิวัติประชาชนดังที่ได้กล่าวอ้าง ถ้าจะมองหาใครที่กำลังใช้อำนาจของประชาชน ก็คงจะต้องบอกว่าเป็น ยิ่งลักษณ์และคณะรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งมาตั้งแต่เดือน กรกฎาคม ปี 2554 พรรคการเมืองที่มีทักษินหนุนหลังนั้นได้ชนะการเลือกตั้งที่ผ่านมาติดต่อกันทั้งหมด 5 ครั้ง ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นการชนะอย่างถล่มทลาย นโยบายของพรรคได้ปลดแอกความยากจนออกจากประชากรผู้ยากไร้ของประเทศ ทั้งนี้ ทักษินเป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตั้งแต่สมัยที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาจาก ระบบสมบูรณยาสิทธิราช ในปี ค.ศ. 1932
แต่อย่างไรก็ตาม มันก็มีหลายเหตุผลที่จะต่อต้านเจ้าพ่อโทรคมนาคมคนนี้ ทั้งสิ่งที่น่ากังขาในเรื่องคดีการฆ่าตัดตอนในระหว่างการล่ายาเสพติด ซึ่งเป็นสาเหตุของการสูญเสียขีวิตของประชาชนไปไม่น้อยกว่า 2,800 คน ภาพลักษณ์ของเขาในเรื่องการสั่งการ มอบนโยบายสู่มวลชนเสื้อแดงจากคฤหาสน์ในดูไบ ในขณะที่มวลชนเสื้อแดงกำลังเสี่ยงที่จะถูกจับหรือกระทั่งเสียชีวิต ทั้งหมดนี้ยากที่จะนับว่าเป็นการกระทำของฮีโร่ แต่ทั้งนี้ ความไร้ซึ่งสมรรถภาพของฝ่านตรงข้ามที่จะใช้จุดอ่อนเหล่านี้มาโต้แย้งนั่นช่างน่าประหลาดใจยิ่งกว่า
อาจารย์ ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้กล่าวว่า “เรามักจะพูดเพียงแต่ว่า ทักษินเป็นคนที่คอร์รัปชั่น เป็นคนที่เลวร้าย แต่เขากลับชนะเลือกตั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางทีอาจจะถึงเวลาที่เราต้องมามองถึงฝ่ายตรงข้ามแล้วก็ได้”
พรรคประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้งครั้งล่าสุดในปี ค.ศ. 1992 โดยยึดฐานคะแนนเสียงเป็นชนชั้นกลางของประเทศ Prof. Benedict Anderson แห่ง มหาวิทยาลัย Cornell ได้อธิบายไว้ว่า ลักษณะนิสัยของชนชั้นกลางดังกล่าวนั้นช่าง “ขี้อาย เห็นแก่ตัว ไม่มีวัฒนธรรม เห็นแก่การบริโภค(consumerist?) และไม่มีวิสัยทัศน์ใด ๆ ต่ออนาคตของประเทศทั้งสิ้น” ทั้งนี้ ทางพรรค(ประชาธิปัตย์)จึงไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในเขตรอบนอก ซึ่งเป็นอาณาเขตของมวลชนเสื้อแดงและพ่ายแพ้แก่การเลือกตั้ง(ในบริเวณดังกล่าว) แทนที่จะออกนโยบายพัฒนาความเจริญเพื่อที่จะขยายฐานเสียง ทางพรรค(ประชาธิปัตย์)กลับเลือกที่จะเน้นย้ำไปที่คะแนนเสียงในชุมชนเมือง และจับมือร่วมกลับพันธมิตรที่มีอำนาจบารมีมาก อย่างเช่น ทหาร และ ตุลาการ เพื่อที่จะต่อสู้กับฝั่งตรงข้าม
แบบแผนแนวทางการต่อสู้เริ่มชัดเจนขึ้น กล่าวคือ รัฐบาลที่ทักษินสนันสนุนจะได้รับการเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศ หลังจากนั้นก็จะถูกกล่าวโทษและลดทอนความน่าเชื่อถือจากชนชั้นสูงของประเทศ ทั้งเรื่องรัฐประหารในปี 2549 เรื่องการยุบพรรคพลังประชาชรจาก ตุลาการรัฐธรรมนูญในปี 2551แล้วก็จะเกิดการประท้วงและชุมนุมของมวลชนซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดเหตุรุนแรง และหลังจากนั้นพรรคการเมืองที่ทักษินหนุนหลังก็จะชนะการเลือกตั้งอีกแล้ว
หลาย ๆ นโยบายบริหารประเทศของรัฐบาลนั้นไม่ได้รับการสนันสนุนจากประชาชนมากนัก และบั่นทอนรัฐบาลยิ่งลักษณ์มาโดยตลอด แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านที่มีอดีตนายกรัฐมาตรี นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้ที่ถูกตั้งข้อหาร่วมกับนายสุเทพในรื่องสั่งการฆ่าประชาชนในขั้นตอนการสลายการชุมนุมในปี 2553 เป็นผู้นำนั้น ก็ไม่สามารถที่จะล้มรัฐบาลจากการอภิปรายไม่ไว้ว่างใจ นส. ยิ่งลักษณ์ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยุทธการเข้ายึดสถานที่ราชการนั้นก็ได้ถูกกระแสตีกลับ จนทำให้ Benjamin Zawacki ที่ปรึกษาทางกฏหมายอาวุโสของคณะกรรมการตุลาการนานาชาติ (Senior legal advisor for South East Asia International Commission of Jurist) ได้ออกมากล่าวว่า “ยิ่งลักษณ์นั้นเกือบจะแพ้อยู่แล้วแต่ก็ได้พลิกกระดานมาจนเหมือนจะเป็นผู้ชนะในครั้งนี้” “”ดูเหมือนว่าสุเทพนั้นได้ทำเกินขอบเขตไป”
ส่วนหนึ่งของพรรคเพื่อไทยนั้นได้ออกมารับมือกับสถาณการณ์ที่เกินขึ้นนี้ มวลชนที่สนันสนุนทักษินได้ออกมาชุมนุมกันที่สนามกีฬาราชมังคลาซึ่งถูกตกแต่งไปด้วยสีแดงและรูปภาพของฮีโร่พวกเขา นอกจากนี้ แกนนำเสื้อแดงยังได้ประกาศชุมนุมใหญ่อีกครั้งหนึ่งในวันเสาร์ที่จะถึงนี้
หลายคนคาดหวังว่าความขัดแย้งของคนเสื้อสองสีนี้น่าจะหมดไปตั้งแต่โศกนาฏกรรมในปี 2553 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คนตายไปเกือบ 100 คนและบาดเจ็บอีกกว่า 2,000 ราย ระหว่างการสลายการชุมนุม ซึ่งในขณะนั้นมวลชนเสื้อแดงได้ทำการประท้วงต่อการสลายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง คล้ายกับสิ่งที่สุเทพพยายามจะทำอยู่ตอนนี้
เป็นเรื่องน่าเสียใจที่ขณะนี้มีหลายเหตุการณ์ที่อาจจะนำไปสู่ความรุนแรงได้อีกครั้ง นอกจากนี้ วันพ่อแห่งชาติซึ่งเป็นวันที่สำคัญที่สุดหนึ่งวันของประเทศก็ได้ใกล้เข้ามาทุกที บางคนนั้นเชื่อว่าสุเทพไม่ต้องการที่จะแปดเปื้อนวันที่ 5 ธันวาคมดังกล่าว โดยเฉพาะ Zawacki นั้นเชื่อว่า “(สุเทพ) นั้นกำลังพยายามจะยกระดับการชุมนุมเพื่อคาดหวังที่จะเกิดรัฐประหารหรืออย่างน้อยก็ต้องมีการประการ พรบ ฉุกเฉิน ก่อนวันพ่อให้ได้” การต่อสู้ทางการเมืองรูปแบบนี้มันช่างอันธพาล ชื่อประชาธิปัตย์อาจจะดูเหมือนเป็นประชาธิปไตย แต่การที่เห็นฝ่ายสนับสนุนพรรคเปลี่ยนสีเสื้อจากสีเหลืองมาเป็นสีดำนั้นช่างดูเข้ากันอย่างประหลาด...
ประชาธิปัตย์ ชื่อนี้อาจจะตั้งผิดไป(ไม่น้อย)
http://world.time.com/2013/11/28/thailands-democrat-party-is-hilariously-misnamed/
บทความเขียนโดย Charlie Campbell แห่ง TIME ครับ
แปลโดยมิตรสหายท่านหนึ่ง เลยอยากจะเอามาให้อ่าน ที่อยู่ในวงเล็บนั่นผู้แปลบอกว่าไม่ได้มีในบทความแต่เป็นส่วนของผู้แปล ทั้งนี้เนื้อหาการแปลพยายามจะทำให้ได้ใกล้เคียงต้นฉบับที่สุด
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ประชาธิปัตย์ ชื่อนี้อาจจะตั้งผิดไป(ไม่น้อย)
การปะทะทางการเมืองของมวลชนมีสีเสื้อของประเทศไทยประทุขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ พรรค ประชาธิปัตย์และกลุ่มผู้สนับสนุนได้บุกเข้ายึดหลาย ๆ ที่ตั้งกระทรวงของรัฐบาลในกรุงเทพ รวมทั้งสถานที่ราชการในจังหวัดอื่น ๆ อีกไม่ต่ำกว่า 19 แห่ง เพื่อจะเรียกร้องให้ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ได้รับการสนันสนุนจากมวลชนเสื้อแดงลงจากตำแหน่ง สำหรับมวลชนเสื้อเหลืองแล้ว ยิ่งลักษณ์เป็นได้เพียงแค่หน้าฉากให้แก่ อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิน ชินวัตร ผู้ที่ถูกเนรเทศทางการเมืองจากเหตุการรัฐประหารในปี 2549 และกำลังหลบเลี้ยงจากการถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 2 ปีจากข้อหาคอร์รัปชัน
กระแสของมวลชนเสื้อเหลืองดังกล่าวได้เริ่มต้นจากการต่อต้าน พรบ นิรโทษกรรม ที่จะเปิดโอกาสได้ทักษินได้กล้บเมืองไทย และความพยายามโดยยิ่งลักษณ์ที่จะทำการเพิ่มอำนาจโดยการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของ สว ในวันอังคารที่ผ่านมา แกนนำการประท้วง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกร้องการ “ปฏิวัติประชาชน” เพื่อที่จะพยายามดึง นส ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้ง ให้หลุดพ้นจากตำแหน่ง พร้อมจะแทนที่ด้วยสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง (ในบทความใช้คำว่า nonelected royalist council ผู้แปลไม่อยากแปลตรงนี้) นอกจากนี้ เพื่อปัดป้องว่าการชุมนุมครั้งนี้ไม่ได้เป็นการชุมนุมเพื่อเหตุผลส่วนตัว นายสุเทพยังสาบานต่อหน้าพระพุทธองค์ว่าจะไม่ยอมรับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคต นอกจากนี้ ขณะนี้ได้มีหมายจับนายสุเทพในข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการอย่างผิดกฏหมาย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ณ ขณะนี้นั้นเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจ ประเทศแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันน่าหลงไหลแก่ชาวต่างชาติหลายล้านคน ประเทศไทยเป็นแหล่งส่งออกข้าวอันดับต้น ๆ ของโลกและเศรษกิจของประเทศยังใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือระบบประชาธิปไตยของประเทศไทยยังเป็นแบบอย่างที่สำคัญและถูกจับตาเป็นอย่างยิ่งประเทศเพื่อนบ้านอย่าง พม่า ลาว เวียดนามและกัมพูชา
น่าเสียดายที่ว่า เมื่อพูดถึงคำว่า“ประชาธิปไตย”แล้ว พรรคการเมืองที่ได้ชื่อว่า “ประชาธิปัตย์” นั้นกลับเป็นหนึ่งในผู้ที่ปฏิบัติในเรื่องนี้ที่ได้แย่ที่สุด มวลชนเป็นหมื่น ๆ คนกำลังเดินขบวนกันทั่วประเทศ แต่การเรียกร้องหาระบอบ royalist council (ไม่อยากแปล) นั้นยากที่จะเรียกว่าเป็นการปฏิวัติประชาชนดังที่ได้กล่าวอ้าง ถ้าจะมองหาใครที่กำลังใช้อำนาจของประชาชน ก็คงจะต้องบอกว่าเป็น ยิ่งลักษณ์และคณะรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งมาตั้งแต่เดือน กรกฎาคม ปี 2554 พรรคการเมืองที่มีทักษินหนุนหลังนั้นได้ชนะการเลือกตั้งที่ผ่านมาติดต่อกันทั้งหมด 5 ครั้ง ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นการชนะอย่างถล่มทลาย นโยบายของพรรคได้ปลดแอกความยากจนออกจากประชากรผู้ยากไร้ของประเทศ ทั้งนี้ ทักษินเป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตั้งแต่สมัยที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาจาก ระบบสมบูรณยาสิทธิราช ในปี ค.ศ. 1932
แต่อย่างไรก็ตาม มันก็มีหลายเหตุผลที่จะต่อต้านเจ้าพ่อโทรคมนาคมคนนี้ ทั้งสิ่งที่น่ากังขาในเรื่องคดีการฆ่าตัดตอนในระหว่างการล่ายาเสพติด ซึ่งเป็นสาเหตุของการสูญเสียขีวิตของประชาชนไปไม่น้อยกว่า 2,800 คน ภาพลักษณ์ของเขาในเรื่องการสั่งการ มอบนโยบายสู่มวลชนเสื้อแดงจากคฤหาสน์ในดูไบ ในขณะที่มวลชนเสื้อแดงกำลังเสี่ยงที่จะถูกจับหรือกระทั่งเสียชีวิต ทั้งหมดนี้ยากที่จะนับว่าเป็นการกระทำของฮีโร่ แต่ทั้งนี้ ความไร้ซึ่งสมรรถภาพของฝ่านตรงข้ามที่จะใช้จุดอ่อนเหล่านี้มาโต้แย้งนั่นช่างน่าประหลาดใจยิ่งกว่า
อาจารย์ ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้กล่าวว่า “เรามักจะพูดเพียงแต่ว่า ทักษินเป็นคนที่คอร์รัปชั่น เป็นคนที่เลวร้าย แต่เขากลับชนะเลือกตั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางทีอาจจะถึงเวลาที่เราต้องมามองถึงฝ่ายตรงข้ามแล้วก็ได้”
พรรคประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้งครั้งล่าสุดในปี ค.ศ. 1992 โดยยึดฐานคะแนนเสียงเป็นชนชั้นกลางของประเทศ Prof. Benedict Anderson แห่ง มหาวิทยาลัย Cornell ได้อธิบายไว้ว่า ลักษณะนิสัยของชนชั้นกลางดังกล่าวนั้นช่าง “ขี้อาย เห็นแก่ตัว ไม่มีวัฒนธรรม เห็นแก่การบริโภค(consumerist?) และไม่มีวิสัยทัศน์ใด ๆ ต่ออนาคตของประเทศทั้งสิ้น” ทั้งนี้ ทางพรรค(ประชาธิปัตย์)จึงไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในเขตรอบนอก ซึ่งเป็นอาณาเขตของมวลชนเสื้อแดงและพ่ายแพ้แก่การเลือกตั้ง(ในบริเวณดังกล่าว) แทนที่จะออกนโยบายพัฒนาความเจริญเพื่อที่จะขยายฐานเสียง ทางพรรค(ประชาธิปัตย์)กลับเลือกที่จะเน้นย้ำไปที่คะแนนเสียงในชุมชนเมือง และจับมือร่วมกลับพันธมิตรที่มีอำนาจบารมีมาก อย่างเช่น ทหาร และ ตุลาการ เพื่อที่จะต่อสู้กับฝั่งตรงข้าม
แบบแผนแนวทางการต่อสู้เริ่มชัดเจนขึ้น กล่าวคือ รัฐบาลที่ทักษินสนันสนุนจะได้รับการเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศ หลังจากนั้นก็จะถูกกล่าวโทษและลดทอนความน่าเชื่อถือจากชนชั้นสูงของประเทศ ทั้งเรื่องรัฐประหารในปี 2549 เรื่องการยุบพรรคพลังประชาชรจาก ตุลาการรัฐธรรมนูญในปี 2551แล้วก็จะเกิดการประท้วงและชุมนุมของมวลชนซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดเหตุรุนแรง และหลังจากนั้นพรรคการเมืองที่ทักษินหนุนหลังก็จะชนะการเลือกตั้งอีกแล้ว
หลาย ๆ นโยบายบริหารประเทศของรัฐบาลนั้นไม่ได้รับการสนันสนุนจากประชาชนมากนัก และบั่นทอนรัฐบาลยิ่งลักษณ์มาโดยตลอด แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านที่มีอดีตนายกรัฐมาตรี นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้ที่ถูกตั้งข้อหาร่วมกับนายสุเทพในรื่องสั่งการฆ่าประชาชนในขั้นตอนการสลายการชุมนุมในปี 2553 เป็นผู้นำนั้น ก็ไม่สามารถที่จะล้มรัฐบาลจากการอภิปรายไม่ไว้ว่างใจ นส. ยิ่งลักษณ์ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยุทธการเข้ายึดสถานที่ราชการนั้นก็ได้ถูกกระแสตีกลับ จนทำให้ Benjamin Zawacki ที่ปรึกษาทางกฏหมายอาวุโสของคณะกรรมการตุลาการนานาชาติ (Senior legal advisor for South East Asia International Commission of Jurist) ได้ออกมากล่าวว่า “ยิ่งลักษณ์นั้นเกือบจะแพ้อยู่แล้วแต่ก็ได้พลิกกระดานมาจนเหมือนจะเป็นผู้ชนะในครั้งนี้” “”ดูเหมือนว่าสุเทพนั้นได้ทำเกินขอบเขตไป”
ส่วนหนึ่งของพรรคเพื่อไทยนั้นได้ออกมารับมือกับสถาณการณ์ที่เกินขึ้นนี้ มวลชนที่สนันสนุนทักษินได้ออกมาชุมนุมกันที่สนามกีฬาราชมังคลาซึ่งถูกตกแต่งไปด้วยสีแดงและรูปภาพของฮีโร่พวกเขา นอกจากนี้ แกนนำเสื้อแดงยังได้ประกาศชุมนุมใหญ่อีกครั้งหนึ่งในวันเสาร์ที่จะถึงนี้
หลายคนคาดหวังว่าความขัดแย้งของคนเสื้อสองสีนี้น่าจะหมดไปตั้งแต่โศกนาฏกรรมในปี 2553 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คนตายไปเกือบ 100 คนและบาดเจ็บอีกกว่า 2,000 ราย ระหว่างการสลายการชุมนุม ซึ่งในขณะนั้นมวลชนเสื้อแดงได้ทำการประท้วงต่อการสลายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง คล้ายกับสิ่งที่สุเทพพยายามจะทำอยู่ตอนนี้
เป็นเรื่องน่าเสียใจที่ขณะนี้มีหลายเหตุการณ์ที่อาจจะนำไปสู่ความรุนแรงได้อีกครั้ง นอกจากนี้ วันพ่อแห่งชาติซึ่งเป็นวันที่สำคัญที่สุดหนึ่งวันของประเทศก็ได้ใกล้เข้ามาทุกที บางคนนั้นเชื่อว่าสุเทพไม่ต้องการที่จะแปดเปื้อนวันที่ 5 ธันวาคมดังกล่าว โดยเฉพาะ Zawacki นั้นเชื่อว่า “(สุเทพ) นั้นกำลังพยายามจะยกระดับการชุมนุมเพื่อคาดหวังที่จะเกิดรัฐประหารหรืออย่างน้อยก็ต้องมีการประการ พรบ ฉุกเฉิน ก่อนวันพ่อให้ได้” การต่อสู้ทางการเมืองรูปแบบนี้มันช่างอันธพาล ชื่อประชาธิปัตย์อาจจะดูเหมือนเป็นประชาธิปไตย แต่การที่เห็นฝ่ายสนับสนุนพรรคเปลี่ยนสีเสื้อจากสีเหลืองมาเป็นสีดำนั้นช่างดูเข้ากันอย่างประหลาด...