เห็นการกล่าวโต้แย้งอย่างโง่ๆ ของนายคนนี้แล้ว ก็ได้แต่สะท้อนใจว่า
อนาคตของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยคง "ลำบาก" แน่แล้ว
ประเด็นแรก ที่จำต้อง กล่าว "ข้อเท็จจริง" แบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็คือ
ไม่มีใครเขาปฏิเสธ พุทธพจน์ ที่ตรัสถึงกรณีพยากรณ์ "คติ" ทางไปของอริยบุคคลท่านต่างๆ นี่ครับ !
สิ่งที่ "ชาวพุทธชายขอบ" ต้องทำความเข้าใจให้ได้ ก็คือ พุทธพจน์ ดังกล่าว มิใช่ อัพยากฤตปัญหา
แต่เป็น ข้อเท็จจริง ที่เป็นจริงอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไปได้อีก(เอกังสิกะ)
แตกต่างไปจาก คำถามโง่ๆ ของ คันโตนาซี ซึ่งเป็นคำถามที่มีหลายแง่(อเนกังสิกะ)
แต่ คันโตนาซี "เฉือก" ถามโดยแง่เดียว มันจึงกลายเป็น อัพยากฤตปัญหา
ที่ถึงอย่างไรๆ พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงพยากรณ์คำถามโง่ๆ อย่างนั้นเป็นแน่
จนป่านนี้แล้ว คันโตนาซีและพวก ยังยอมรับความจริงไม่ได้ อีกละหรือ ?
สรุป ก็คือ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนจริงๆ ครับ เช่น ตรัสว่า อุบาสก ชื่อนี้ๆ
เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา ฯลฯ เป็นต้น
แต่ถ้อยคำของบุคคลผู้ลามก กลับไม่มีความชัดเจน เพราะได้กล่าวอัพยากฤตปัญหา
ซึ่งพระพุทธเจ้ามิทรงพยากรณ์ เช่นที่กล่าวว่า .........
อะไรที่ทำให้ "สัตว์" ตายแล้วไปเกิดในนรกสวรรค์ครับ ?
คำว่า สัตว์ มันมีความหมายกว้างมาก มีคำตอบของคำถามนี้หลายแง่มุมมาก
แต่ไอ้หมอนี่ กลับพูดมาเพียงแง่เดียว จึงกลายเป็น อัพยากฤตปัญหา
แล้วยังมี "น้ำหน้า" มากล่าวตู่ว่า มันพูดแบบเดียวกับพระพุทธเจ้า ไปเสียได้
มันช่าง สารเลว จริงๆ
*******************************************************************************
ประเด็นที่ ๒
อีกเรื่องหนึ่งซึ่งมีความสำคัญมาก และผมก็พึ่งสังเกตเห็นว่า ไอ้หมอนี่ ได้ยกภาษิตของท่านพระสารีบุตรขึ้นอ้าง(อย่างผิดๆ)
ต่างกรรมต่างวาระ ในเกือบจะทุกกระทู้ของผม ซึ่งเจตนาในการ "ปู้ยี่ปู้ยำ" ภาษิตของท่านพระสารีบุตร ในครั้งนี้ นับว่าเลวร้ายมาก
และหากปล่อยปละละเลย พฤติการณ์อันชั่วช้าเลวทราม ครั้งนี้ไปเสีย ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาของมันและพวก
ย่อมมีผลทำให้ ศีล สมาธิ ปัญญา ถูกรื้อทำลาย จนย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี เป็นแน่ !
จุดมุ่งหมายหลักของ นายคันโตนาซี ในการยกภาษิตของท่านพระสารีบุตรขึ้นอ้าง ก็เพื่อ "บิดเบือน" และ "กล่าวตู่"
ว่าภาษิตดังกล่าว เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามีการเวียนว่ายตายเกิดของ สัตว์ ในปฏิจจสมุปบาท (ซึ่งไม่จริง !)
(๑) ที่จริงแล้ว เพียงแค่ ท่านทั้งหลาย พิจารณา ภาษิต ของท่านพระสารีบุตร ด้วยตาเปล่า
ย่อมทราบได้โดยไม่ยากว่า ไม่ปรากฏว่ามี สัตว์ บุคคลใดๆ ในข้อความดังกล่าวนั้นเลย
(๒) ที่น่าสมเพชยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ ท่านทั้งหลาย น่าจะทราบเป็นอย่างดีแล้วว่า ภาษิตของท่านพระสารีบุตร
ที่นายนั่นยกขึ้นอ้าง ก็คือ ข้อความจาก ปฏิสัมภิทามรรค ในส่วนที่เรียกว่า "ธัมมัฏฐิติญาณนิทเทส"
ถามว่า เรื่องนี้ "สำคัญ" อย่างไร ?
ตอบว่า ก็เพราะข้อความดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของ ธัมมัฏฐิติญาณ ที่หมายถึง วิปัสสนาญาณ ที่ ๒(โสฬสญาณ)
ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญมาก สำหรับผู้ที่ "อวดอ้าง" ตน(โดยปราศจากความละอาย)ว่า เป็นผู้ปฏิบัติธรรม อย่างนายคันโตนาซี
ก็ ธัมมัฏฐิติญาณ นี้ก็คือ นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ อันหมายถึง ญาณกำหนดปัจจัยของ รูปธรรม และ นามธรรม !
ประเด็นที่ท่านทั้งหลายพึงเข้าใจตามความเป็นจริง ก็คือ ผู้ที่เจริญภาวนาจนสามารถก้าวมาถึงญาณขั้นนี้ได้
ย่อมหมายถึง โยคาวจรผู้นั้นได้ผ่าน นามรูปปริจเฉทญาณ สามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้แล้วว่า
สิ่งที่มีอยู่ ที่พอจะกำหนดหมายได้ว่าเป็น "ของจริง" ก็มีแต่เพียง รูปธรรม และ นามธรรม เท่านั้น
หากปฏิบัติธรรมแล้ว ยังกล่าวอย่าง "เลอะหลง" เมาหมกอยู่กับทิฐิว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
นั่นย่อมเป็นการปฏิบัติธรรมแบบพวก อัญเดียรถีย์ นอกรีตนอกรอย มิใช่ สัมมาปฏิปทา ในพระพุทธศาสนา อย่างแน่นอน
ธัมมัฏฐิติญาณ จึงเป็นการพิจารณากำหนดเหตุปัจจัยของ นามรูป ไม่ใช่พิจารณากำหนดเหตุปัจจัยของ สัตว์ บุคคล ฯลฯ
ซึ่งเมื่อพิจารณา ภาษิตของท่านพระสารีบุตร ก็ย่อมเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ท่านมิได้กล่าวถึง สัตว์ บุคคล ฯลฯ เลยแม้สักคำเดียว
ทั้งนี้ ขอให้ท่านทั้งหลาย จงสังเกตให้ดีด้วยว่า "นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ" นี่เองที่เรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า
สัมมาทัสสนะ หมายถึง "ความเห็นชอบ" กล่าวคือ ผู้ที่อาจกล่าวได้ว่ามีความเห็นอย่างถูกต้อง เป็นสัมมาทิฐิได้นั้น
จะต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างน้อยที่สุด ก็ในขั้น "แจ่มแจ้งในเหตุปัจจัยแห่งความเกิดดับของนามรูป"
แต่ถ้ายังเมาหมกอยู่กับ ทิฐิ ว่ายังมี สัตว์ บุคคล ฯลฯ ในฐานะผู้ทำกรรม และ เสวยผลแห่งกรรม อย่างนายชาวมหาวิหาร
ขอให้จงรับทราบเอาไว้เถิดว่า ทิฐิ เช่นนั้น ยังห่างไกลจากคำว่า "ความเห็นชอบ" มากมายนัก !
*******************************************************************************
*******************************************************************************
อ้างจาก ปฏิสัมภิทามรรค ญาณกถา ธัมมัฏฐิติญาณนิทเทส พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ ขุททกนิกาย ข้อที่ ๙๘
ในกรรมภพก่อน
(๑) ความหลงเป็นอวิชชา
(๒) กรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร
(๓) ความพอใจเป็นตัณหา
(๔) ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน
(๕) ความคิดอ่านเป็นภพ
ธรรม ๕ ประการในกรรมภพก่อนเหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในอุปปัตติภพนี้
(๑) ปฏิสนธิเป็นวิญญาณ
(๒) ความก้าวลงเป็นนามรูป
(๓) ประสาท (ภาวะที่ผ่องใสใจ) เป็นอายตนะ
(๔) ส่วนที่ถูกต้องเป็นผัสสะ
(๕) ความเสวยอารมณ์เป็นเวทนา ในอุปปัตติภพนี้
ธรรม ๕ ประการในอุปปัตติภพนี้เหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งกรรมที่ทำไว้ในปุเรภพ
(๑) ความหลงเป็นอวิชชา
(๒) กรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร
(๓) ความพอใจเป็นตัณหา
(๔) ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน
(๕) ความคิดอ่านเป็นภพ (ย่อมมี) เพราะอายตนะทั้งหลายในภพนี้สุดรอบ
ธรรม ๕ ประการในกรรมภพนี้เหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในอนาคต
(๑) ปฏิสนธิในอนาคตเป็นวิญญาณ
(๒) ความก้าวลงเป็นนามรูป
(๓) ประสาทเป็นอายตนะ
(๔) ส่วนที่ถูกต้องเป็นผัสสะ
(๕) ความเสวยอารมณ์เป็นเวทนา
ธรรม ๕ ประการในอุปปัตติภพในอนาคตเหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งกรรมที่ทำไว้ในภพนี้
พระโยคาวจรย่อมรู้ ย่อมเห็น ย่อมทราบชัด ย่อมแทงตลอด ซึ่งปฏิจจสมุปบาท
มีสังเขป ๔ กาล ๓ ปฏิสนธิ ๓ เหล่านี้ โดยอาการ ๒๐ ด้วยประการดังนี้
ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการกำหนดปัจจัย เป็นธรรมฐิติญาณ ฯ
*******************************************************************************
*******************************************************************************
จากข้อความอันเป็นภาษิตของท่านพระสารีบุตร ตามที่อ้างถึง ย่อมเห็นได้อย่างชัดเจนว่า
ท่านพระสารีบุตร ได้กล่าวถึงสิ่งที่พระโยคาวจร "ย่อมรู้ ย่อมเห็น ย่อมทราบชัด ย่อมแทงตลอด ซึ่งปฏิจจสมุปบาท"
นั้นล้วนแล้วแต่เป็น "ธรรม" ในระดับ "ปรมัตถ์" ทั้งสิ้น
ดังนั้น หากท่านผู้ใดพบว่ามี สัตว์ บุคคล ฯลฯ ในภาษิตดังกล่าว ก็จง "ชี้" ให้ชัดเจนด้วยว่า
สัตว์ บุคคล ดังว่านั้น ปรากฏอยู่ในข้อความบรรทัดใด จักเป็นพระคุณอย่างสูง
มี หรือ ไม่มีครับ ?
ช่างน่าสมเพชเหลือเกิน ที่กลุ่มบุคคล ซึ่งมักอวดอ้างตัวว่า จะปกป้องพระธรรมวินัย จะปกป้องพระพุทธศาสนา
หรือไม่ ก็อวดอ้างในทำนองว่า เป็นนักอภิธรรม(เม็ดมะขาม) แต่ที่หน้าด้านมากหน่อย ก็ถึงขนาดอวดอ้างว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมไปโน่น !
คำถามของผม ก็คือ มันเรียน อภิธรรม กันอย่างไร จึงไม่ทราบว่า ภาษิตดังกล่าวของท่านพระสารีบุตรที่พวกมันยกขึ้นอ้างนั้น
ก็คือ นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ ซึ่งย่อมเป็น "ความรู้" อันปราศจากการกำหนดหมายอย่างโง่ๆ ว่ามี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
คำถามของผม ก็คือ ไอ้หมอนั่น มันปฏิบัติธรรมมาจากสำนักใดกัน จึงได้พยายามจะ "ยัดเยียด" สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
เข้าไปในภาษิตของท่านพระสารีบุตร ทั้งๆ ที่ความข้อนั้น เป็นคำอธิบายในเรื่อง การกำหนดเหตุปัจจัยของ นามรูป
ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ยังจะมี ทิฐิลามก เมาหมกอยู่ในความเห็นผิดว่าเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อยู่อีก !
ท่านทั้งหลาย พึงพิจารณาอย่างรอบคอบว่า แท้ที่จริงแล้ว ท่านพระสารีบุตร มิได้กล่าวสิ่งใดที่ผิดไปจากพุทธพจน์เลย
อีกทั้ง ข้อความดังกล่าวของท่านพระสารีบุตร ก็ไม่มีส่วนใดที่ระบุถึง สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา แต่ปัญหามันอยู่ที่ตัวของ
ผู้อ่านเองต่างหาก ว่ามี ทิฐิ เช่นไร ตัวอย่างเช่น เมื่อนายคันโตนาซีและพวก เห็นข้อความของท่านพระสารีบุตร ที่กล่าวว่า
"ธรรม ๕ ประการในกรรมภพก่อนเหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในอุปปัตติภพนี้"
เพียงเท่านี้ นายคันโตนาซีและพวก ซึ่งมี "อัตตานุทิฐิ" และ "อัตตวาทุปาทาน" อย่างเหนียวแน่นอยู่ก่อนแล้ว
ก็สามารถ "ปรุงแต่ง" ฟุ้งซ่านจนเลยเถิดไปว่า ความข้อนั้นต้องหมายถึง มีสัตว์จากชาติก่อน มาเกิดในชาตินี้
ทั้งๆ ที่ข้อความดังกล่าว จะมิได้ระบุถึง สัตว์ ใดๆ เลยแม้สักตัวเดียว ก็ตาม อีกทั้ง ธรรม ๕ ประการที่เป็นปัจจัย ก็ระบุถึง
(๑) ความหลงเป็นอวิชชา
(๒) กรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร
(๓) ความพอใจเป็นตัณหา
(๔) ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน
(๕) ความคิดอ่านเป็นภพ
ซึ่งก็เป็น ปรมัตถธรรม ที่มิได้มีความหมายอันส่อให้เข้าใจ(ผิด)ไปได้ว่า หมายถึง สัตว์ บุคคล ใดๆ ทั้งสิ้น
กล่าวโดยสรุป ก็คือ ท่านพระสารีบุตร กล่าวไว้ชัดเจนจริงๆ ครับ
และผมก็ยังมองไม่ออกเลยว่า มันจะ "ดิ้น" ไปทางไหนได้อีก !
ลำพังเพียงแค่คำว่า อุปัตติภพ กับคำว่า ปฏิสนธิ
มันจำเป็นต้องหมายความว่ามี สัตว์ บุคคล ฯลฯ ข้ามภพข้ามชาติ เลยหรือครับ ?
คันโตนาซีและพวก คิดฟุ้งซ่านไปเอง หรือเปล่า ?
อย่ากล่าวตู่ ญาณกถา ให้บาปปากเลย
อนาคตของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยคง "ลำบาก" แน่แล้ว
ประเด็นแรก ที่จำต้อง กล่าว "ข้อเท็จจริง" แบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็คือ
ไม่มีใครเขาปฏิเสธ พุทธพจน์ ที่ตรัสถึงกรณีพยากรณ์ "คติ" ทางไปของอริยบุคคลท่านต่างๆ นี่ครับ !
สิ่งที่ "ชาวพุทธชายขอบ" ต้องทำความเข้าใจให้ได้ ก็คือ พุทธพจน์ ดังกล่าว มิใช่ อัพยากฤตปัญหา
แต่เป็น ข้อเท็จจริง ที่เป็นจริงอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไปได้อีก(เอกังสิกะ)
แตกต่างไปจาก คำถามโง่ๆ ของ คันโตนาซี ซึ่งเป็นคำถามที่มีหลายแง่(อเนกังสิกะ)
แต่ คันโตนาซี "เฉือก" ถามโดยแง่เดียว มันจึงกลายเป็น อัพยากฤตปัญหา
ที่ถึงอย่างไรๆ พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงพยากรณ์คำถามโง่ๆ อย่างนั้นเป็นแน่
จนป่านนี้แล้ว คันโตนาซีและพวก ยังยอมรับความจริงไม่ได้ อีกละหรือ ?
สรุป ก็คือ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนจริงๆ ครับ เช่น ตรัสว่า อุบาสก ชื่อนี้ๆ
เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา ฯลฯ เป็นต้น
แต่ถ้อยคำของบุคคลผู้ลามก กลับไม่มีความชัดเจน เพราะได้กล่าวอัพยากฤตปัญหา
ซึ่งพระพุทธเจ้ามิทรงพยากรณ์ เช่นที่กล่าวว่า .........
อะไรที่ทำให้ "สัตว์" ตายแล้วไปเกิดในนรกสวรรค์ครับ ?
คำว่า สัตว์ มันมีความหมายกว้างมาก มีคำตอบของคำถามนี้หลายแง่มุมมาก
แต่ไอ้หมอนี่ กลับพูดมาเพียงแง่เดียว จึงกลายเป็น อัพยากฤตปัญหา
แล้วยังมี "น้ำหน้า" มากล่าวตู่ว่า มันพูดแบบเดียวกับพระพุทธเจ้า ไปเสียได้
มันช่าง สารเลว จริงๆ
*******************************************************************************
ประเด็นที่ ๒
อีกเรื่องหนึ่งซึ่งมีความสำคัญมาก และผมก็พึ่งสังเกตเห็นว่า ไอ้หมอนี่ ได้ยกภาษิตของท่านพระสารีบุตรขึ้นอ้าง(อย่างผิดๆ)
ต่างกรรมต่างวาระ ในเกือบจะทุกกระทู้ของผม ซึ่งเจตนาในการ "ปู้ยี่ปู้ยำ" ภาษิตของท่านพระสารีบุตร ในครั้งนี้ นับว่าเลวร้ายมาก
และหากปล่อยปละละเลย พฤติการณ์อันชั่วช้าเลวทราม ครั้งนี้ไปเสีย ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาของมันและพวก
ย่อมมีผลทำให้ ศีล สมาธิ ปัญญา ถูกรื้อทำลาย จนย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี เป็นแน่ !
จุดมุ่งหมายหลักของ นายคันโตนาซี ในการยกภาษิตของท่านพระสารีบุตรขึ้นอ้าง ก็เพื่อ "บิดเบือน" และ "กล่าวตู่"
ว่าภาษิตดังกล่าว เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามีการเวียนว่ายตายเกิดของ สัตว์ ในปฏิจจสมุปบาท (ซึ่งไม่จริง !)
(๑) ที่จริงแล้ว เพียงแค่ ท่านทั้งหลาย พิจารณา ภาษิต ของท่านพระสารีบุตร ด้วยตาเปล่า
ย่อมทราบได้โดยไม่ยากว่า ไม่ปรากฏว่ามี สัตว์ บุคคลใดๆ ในข้อความดังกล่าวนั้นเลย
(๒) ที่น่าสมเพชยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ ท่านทั้งหลาย น่าจะทราบเป็นอย่างดีแล้วว่า ภาษิตของท่านพระสารีบุตร
ที่นายนั่นยกขึ้นอ้าง ก็คือ ข้อความจาก ปฏิสัมภิทามรรค ในส่วนที่เรียกว่า "ธัมมัฏฐิติญาณนิทเทส"
ถามว่า เรื่องนี้ "สำคัญ" อย่างไร ?
ตอบว่า ก็เพราะข้อความดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของ ธัมมัฏฐิติญาณ ที่หมายถึง วิปัสสนาญาณ ที่ ๒(โสฬสญาณ)
ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญมาก สำหรับผู้ที่ "อวดอ้าง" ตน(โดยปราศจากความละอาย)ว่า เป็นผู้ปฏิบัติธรรม อย่างนายคันโตนาซี
ก็ ธัมมัฏฐิติญาณ นี้ก็คือ นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ อันหมายถึง ญาณกำหนดปัจจัยของ รูปธรรม และ นามธรรม !
ประเด็นที่ท่านทั้งหลายพึงเข้าใจตามความเป็นจริง ก็คือ ผู้ที่เจริญภาวนาจนสามารถก้าวมาถึงญาณขั้นนี้ได้
ย่อมหมายถึง โยคาวจรผู้นั้นได้ผ่าน นามรูปปริจเฉทญาณ สามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้แล้วว่า
สิ่งที่มีอยู่ ที่พอจะกำหนดหมายได้ว่าเป็น "ของจริง" ก็มีแต่เพียง รูปธรรม และ นามธรรม เท่านั้น
หากปฏิบัติธรรมแล้ว ยังกล่าวอย่าง "เลอะหลง" เมาหมกอยู่กับทิฐิว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
นั่นย่อมเป็นการปฏิบัติธรรมแบบพวก อัญเดียรถีย์ นอกรีตนอกรอย มิใช่ สัมมาปฏิปทา ในพระพุทธศาสนา อย่างแน่นอน
ธัมมัฏฐิติญาณ จึงเป็นการพิจารณากำหนดเหตุปัจจัยของ นามรูป ไม่ใช่พิจารณากำหนดเหตุปัจจัยของ สัตว์ บุคคล ฯลฯ
ซึ่งเมื่อพิจารณา ภาษิตของท่านพระสารีบุตร ก็ย่อมเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ท่านมิได้กล่าวถึง สัตว์ บุคคล ฯลฯ เลยแม้สักคำเดียว
ทั้งนี้ ขอให้ท่านทั้งหลาย จงสังเกตให้ดีด้วยว่า "นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ" นี่เองที่เรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า
สัมมาทัสสนะ หมายถึง "ความเห็นชอบ" กล่าวคือ ผู้ที่อาจกล่าวได้ว่ามีความเห็นอย่างถูกต้อง เป็นสัมมาทิฐิได้นั้น
จะต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างน้อยที่สุด ก็ในขั้น "แจ่มแจ้งในเหตุปัจจัยแห่งความเกิดดับของนามรูป"
แต่ถ้ายังเมาหมกอยู่กับ ทิฐิ ว่ายังมี สัตว์ บุคคล ฯลฯ ในฐานะผู้ทำกรรม และ เสวยผลแห่งกรรม อย่างนายชาวมหาวิหาร
ขอให้จงรับทราบเอาไว้เถิดว่า ทิฐิ เช่นนั้น ยังห่างไกลจากคำว่า "ความเห็นชอบ" มากมายนัก !
*******************************************************************************
*******************************************************************************
อ้างจาก ปฏิสัมภิทามรรค ญาณกถา ธัมมัฏฐิติญาณนิทเทส พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ ขุททกนิกาย ข้อที่ ๙๘
ในกรรมภพก่อน
(๑) ความหลงเป็นอวิชชา
(๒) กรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร
(๓) ความพอใจเป็นตัณหา
(๔) ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน
(๕) ความคิดอ่านเป็นภพ
ธรรม ๕ ประการในกรรมภพก่อนเหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในอุปปัตติภพนี้
(๑) ปฏิสนธิเป็นวิญญาณ
(๒) ความก้าวลงเป็นนามรูป
(๓) ประสาท (ภาวะที่ผ่องใสใจ) เป็นอายตนะ
(๔) ส่วนที่ถูกต้องเป็นผัสสะ
(๕) ความเสวยอารมณ์เป็นเวทนา ในอุปปัตติภพนี้
ธรรม ๕ ประการในอุปปัตติภพนี้เหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งกรรมที่ทำไว้ในปุเรภพ
(๑) ความหลงเป็นอวิชชา
(๒) กรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร
(๓) ความพอใจเป็นตัณหา
(๔) ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน
(๕) ความคิดอ่านเป็นภพ (ย่อมมี) เพราะอายตนะทั้งหลายในภพนี้สุดรอบ
ธรรม ๕ ประการในกรรมภพนี้เหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในอนาคต
(๑) ปฏิสนธิในอนาคตเป็นวิญญาณ
(๒) ความก้าวลงเป็นนามรูป
(๓) ประสาทเป็นอายตนะ
(๔) ส่วนที่ถูกต้องเป็นผัสสะ
(๕) ความเสวยอารมณ์เป็นเวทนา
ธรรม ๕ ประการในอุปปัตติภพในอนาคตเหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งกรรมที่ทำไว้ในภพนี้
พระโยคาวจรย่อมรู้ ย่อมเห็น ย่อมทราบชัด ย่อมแทงตลอด ซึ่งปฏิจจสมุปบาท
มีสังเขป ๔ กาล ๓ ปฏิสนธิ ๓ เหล่านี้ โดยอาการ ๒๐ ด้วยประการดังนี้
ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการกำหนดปัจจัย เป็นธรรมฐิติญาณ ฯ
*******************************************************************************
*******************************************************************************
จากข้อความอันเป็นภาษิตของท่านพระสารีบุตร ตามที่อ้างถึง ย่อมเห็นได้อย่างชัดเจนว่า
ท่านพระสารีบุตร ได้กล่าวถึงสิ่งที่พระโยคาวจร "ย่อมรู้ ย่อมเห็น ย่อมทราบชัด ย่อมแทงตลอด ซึ่งปฏิจจสมุปบาท"
นั้นล้วนแล้วแต่เป็น "ธรรม" ในระดับ "ปรมัตถ์" ทั้งสิ้น
ดังนั้น หากท่านผู้ใดพบว่ามี สัตว์ บุคคล ฯลฯ ในภาษิตดังกล่าว ก็จง "ชี้" ให้ชัดเจนด้วยว่า
สัตว์ บุคคล ดังว่านั้น ปรากฏอยู่ในข้อความบรรทัดใด จักเป็นพระคุณอย่างสูง
มี หรือ ไม่มีครับ ?
ช่างน่าสมเพชเหลือเกิน ที่กลุ่มบุคคล ซึ่งมักอวดอ้างตัวว่า จะปกป้องพระธรรมวินัย จะปกป้องพระพุทธศาสนา
หรือไม่ ก็อวดอ้างในทำนองว่า เป็นนักอภิธรรม(เม็ดมะขาม) แต่ที่หน้าด้านมากหน่อย ก็ถึงขนาดอวดอ้างว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมไปโน่น !
คำถามของผม ก็คือ มันเรียน อภิธรรม กันอย่างไร จึงไม่ทราบว่า ภาษิตดังกล่าวของท่านพระสารีบุตรที่พวกมันยกขึ้นอ้างนั้น
ก็คือ นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ ซึ่งย่อมเป็น "ความรู้" อันปราศจากการกำหนดหมายอย่างโง่ๆ ว่ามี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
คำถามของผม ก็คือ ไอ้หมอนั่น มันปฏิบัติธรรมมาจากสำนักใดกัน จึงได้พยายามจะ "ยัดเยียด" สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
เข้าไปในภาษิตของท่านพระสารีบุตร ทั้งๆ ที่ความข้อนั้น เป็นคำอธิบายในเรื่อง การกำหนดเหตุปัจจัยของ นามรูป
ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ยังจะมี ทิฐิลามก เมาหมกอยู่ในความเห็นผิดว่าเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อยู่อีก !
ท่านทั้งหลาย พึงพิจารณาอย่างรอบคอบว่า แท้ที่จริงแล้ว ท่านพระสารีบุตร มิได้กล่าวสิ่งใดที่ผิดไปจากพุทธพจน์เลย
อีกทั้ง ข้อความดังกล่าวของท่านพระสารีบุตร ก็ไม่มีส่วนใดที่ระบุถึง สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา แต่ปัญหามันอยู่ที่ตัวของ
ผู้อ่านเองต่างหาก ว่ามี ทิฐิ เช่นไร ตัวอย่างเช่น เมื่อนายคันโตนาซีและพวก เห็นข้อความของท่านพระสารีบุตร ที่กล่าวว่า
"ธรรม ๕ ประการในกรรมภพก่อนเหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในอุปปัตติภพนี้"
เพียงเท่านี้ นายคันโตนาซีและพวก ซึ่งมี "อัตตานุทิฐิ" และ "อัตตวาทุปาทาน" อย่างเหนียวแน่นอยู่ก่อนแล้ว
ก็สามารถ "ปรุงแต่ง" ฟุ้งซ่านจนเลยเถิดไปว่า ความข้อนั้นต้องหมายถึง มีสัตว์จากชาติก่อน มาเกิดในชาตินี้
ทั้งๆ ที่ข้อความดังกล่าว จะมิได้ระบุถึง สัตว์ ใดๆ เลยแม้สักตัวเดียว ก็ตาม อีกทั้ง ธรรม ๕ ประการที่เป็นปัจจัย ก็ระบุถึง
(๑) ความหลงเป็นอวิชชา
(๒) กรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร
(๓) ความพอใจเป็นตัณหา
(๔) ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน
(๕) ความคิดอ่านเป็นภพ
ซึ่งก็เป็น ปรมัตถธรรม ที่มิได้มีความหมายอันส่อให้เข้าใจ(ผิด)ไปได้ว่า หมายถึง สัตว์ บุคคล ใดๆ ทั้งสิ้น
กล่าวโดยสรุป ก็คือ ท่านพระสารีบุตร กล่าวไว้ชัดเจนจริงๆ ครับ
และผมก็ยังมองไม่ออกเลยว่า มันจะ "ดิ้น" ไปทางไหนได้อีก !
ลำพังเพียงแค่คำว่า อุปัตติภพ กับคำว่า ปฏิสนธิ
มันจำเป็นต้องหมายความว่ามี สัตว์ บุคคล ฯลฯ ข้ามภพข้ามชาติ เลยหรือครับ ?
คันโตนาซีและพวก คิดฟุ้งซ่านไปเอง หรือเปล่า ?