เมื่อกี้น้าหยอยเขียนตอบกระทู้ที่มีคนเข้ามาเม้นต์เรื่องการทำรถประหยัดเมื่อวานนี้......ผมตอบไปเยอะพอสมควร.....ขอสรุปว่าผู้ที่เข้ามาทำคห.24(ใช่ป่าวหว่า-ขี้เกียจกลับไปดู-) แกไม่ได้อ่านวิธีการทำหรือคำอธิบายมาก่อนเลยแหละ-อยู่ดีๆก็ลุยไปดุ่ยๆ....ผมเลยแนะนำให้กลับไปทำความเข้าใจเสียใหม่.......ไม่รู้มือไปถูกตรงไหนเข้า......ข้อความหายงับไปหมดเลย........ผมก็หงายเก๋งแล้ว-ขี่เกียจเขียนต่อ ใครจะเอาความรู้ไปทำหรือไ่ทำก็แล้วแต่ความพอใจของแต่ละบุคลแล้วกัน ขืนเอามาตอบถอยกลับไปกลับมาแบบนับ1อยู่ตลอดเวลา บ้านเมืองเราจะย่ำเท้าอยู่กับที่
ผ่านไปนะครับ กลับมาว่าเรื่องของวงการรถแข่งระดับโลกกันต่อเด้อ..........แต่ขอส่งข่าวไปยังสมาชิกที่ได้รางวัลน้ำใจนะครับ-ผมส่งแบบลงทะเบียนไปหมดแล้วตอนบ่ายๆนี้.....2-3วันของคงถึง...
วันนี้เสียเวลาเขียนเรื่องข้างบนไปอีก1ชม.เปล่าๆ......ขอเขียนเรื่องแบบสุกเอาเผากินบ้างแล้วกัน เพราะหากจะเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับความรู้แบบรถแข่งนั้น ผมต้องใช้สมาธิเยอะครับ เพราะมันคือความรุ้ในระดับที่ผมจะต้องรับผิดชอบด้วย ไม่ใช่เขียนเอามันและแสดงตนเป็นเกจิเอาแต่ฝ่ายเดียว....หากวางใจว่าผมมีสิ่งนี้อยู่ในสามัญสำนึก ท่านก็สามารถเสพย์สาระอย่างนี้ต่อไปได้เรื่อยๆและขอให้สบายใจได้ว่าผมไม่ชอบการมั่ว...คือมันต้องมีเหตุผลมารองรับอย่างแน่นหนาพอสมควร-ผมจึงกล้าเขียนลงไป
วันนี้ขอเล่าย้อนหลังไปในปี2532นะครับ......ตอนนั้น บริษัทเอพี.ฮอนด้าได้คัดเลือกบุคคลภายนอกซึ่งไม่ได้เป็นพนักงานของบริษัทไปเรียนวิธีการสอนขับขี่ปลอดภัยที่ประเทศญี่ปุ่นและไต้หวันที่สนามแข่งซูซูกะกัน3พระหน่อ....คุณอารักษ์ พรประภาซึ่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์ฝึกฯอยู่ในปัจุบันและคุณธีระพัฒน์ จิวะพงษ์(เสียชีวิตไปแล้ว).ระยะนั้นค่าแลกเปลี่ยนเงินเยนและเงินไทยอยู่ที่100เยน/10บาท(ปัจจุบันเกือบ40แล้วมั้ง).....เวลาซื้อของอะไรก็ค่อนข้างง่ายที่จะแปลงเป็นเงินไทย.......
ตอนนั้นรถไฟซิงกันเซง ยังวิ่งด้วยความเร็ว 180 กม/ชม.(ปัจจุบัน 230 กม/ชม)....ส่วนรถไฟไทยนั้นยังคงทำเวลาได้ดีอย่างส่ม่ำเสมอ
คือทั้งวันทั้งคืนวิ่งได้600กม.เศษๆ....อย่าให้เซดเลย มันเป็นเรื่องเศร้าของวงการขนส่งเมืองไทยจริงๆ...กร๊ากกก.......
คราวที่ไปฝึกขี่รถกันในปี 2532ที่กล่าวนั้นหลังจากปล้ำกับรถCB 750 มาจนงอมไปทั้งตัวจนครบหลักสูตรแล้ว วันรุ่งขึ้น คุณอารักษ์ จะพาเราไปดูงานที่ประเทศไต้หวันต่ออีก3วัน.....เราเลิกขี่รถกันตอน4โมงเย็น เสี่ยอารักษ์บอกให้เราไปอาบน้ำและเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว เพื่อไปตั้งหลักที่โตเกียว.....เราอาบน้ำกันพอให้้หายเหนียวตัว เพราะที่ญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้ร้อนมากมายอะไรนัก เหมือนขี่รถแถวเชียงใหม่เรานี่แหละ
4.30น.เราก็ไปยืนรอรถไฟกันที่สถานีเมืองซูซูกะ (ห่างจากสนามแข่งรถซูซูกะประมาณสัก10กม.ได้มั้ง....ตอนมีการแข่งรถ WGP ทางการจะปิดเมืองล่วงหน้า2วัน เพื่อจัดระเบียบการเดินรถใหม่ เขาห้ามเอารถยนต์ส่วนตัวเข้าเืมืองเด็ดขาด ใครจะไปดูรถแข่งจะต้องนั่งรถไฟมาลงสถานีแห่งนี้แล้วนั่งรถชัตเติ้ลบัสต่อไปสนามแข่ง-รถออกทุก5นาที).......พวกสาวกของแชมป์โลกที่ตนเองชอบก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์จะมากางเต๊นท์นอนรอเวลากันล่วงหน้าอย่างน้อย3วัน.......มีอุปกรณ์แคมปิ้งมาหุงต้มกันเป็นเรื่องเป็นราวหลายพันคน(ที่มานอนจองเต๊นท์ล่วงหน้า)
ความที่ผมคุ้นกับการรถไฟแบบหวายเย็นของเรานั่นเอง.......ผมก็นึกอยู่เสมอว่าขบวนรถที่มาเมียบชานชาลานั้น เป็นขบวนที่เราจะไปมันยันเต(รถไฟมาเทียบชานชาลาประมาณ2นาทีต่อขบวน)....เราไปถึงสถานีตอน4.20.......ส่วนตั๋วของเราจะเป็นขบวน4.35 ....ขบวนแรกที่มาเทียบสถานีมาถึงตอน4.22.ผมก็จัดการจะลากกระเป๋าไปขึ้นรถ เพราะนึกว่ามันเป็นขบวนของเราน่ะ(ก็คุ้นกับรถไฟไทยไง-มันผิดเวลากันเป็นชั่วโมงได้ เพราะงั้นรถไฟญี่ปุ่นดันมาเร็วกว่าปกติ ถึง4-5นาที....ผมก็นึกว่าเพราะมันเป็นรถไฟหัวกระสุนไงล่ะ-ถึงมาเร็วกว่าปกติ)
คุณอารักษ์โบกมือให้พวกชาวเขาที่เพิ่งออกจากป่ามาแบบหน้าตาเฉย แล้วบอกว่าให้พวกเราหาทางกลับมาเจอะกันที่โรงแรมซันรูทเองเด้อ.........เพราะรถขบวนนี้มันจะไปโอซาก้า....ไม่ไปโตเกียว..........กร๊ากกกกก..พวกเราหน้าแตกครั้งที่1
การณ์มันเป็นแบบนี้อยู่5ขบวน......พอขบวนจริงมา พวกเราดันยืนเฉย ก็ไม่รู้นี่หว่า.....
บนโบกี้รถไฟแบบหัวกระสุนอย่างนี้ มันกว้างกว่ารถไฟในบ้านเราประมาณครึ่งเมตรครับ......พอขบวนเริ่มออกเดินทาง ก็จะมีสาวๆเข็นรถขายของออกมายืนโค้งที่ทางเข้าและอธิบายว่าเธอมีเหล้าและเบียร์/อาหาร/กับแกล้มทุกอย่างพร้อมให้บริการ.......พวกเราทั้ง3คนต่างมองหน้ากัน เพราะเริ่มหิวแล้ว.....คุณสิงห์โต(เสียชีวิตแล้ว)สั่งเบียร์และถั่วหมั่นหลีโหม่ง+โก๋แก่.มาสำรองไว้อย่างละ3ถุง.....ลืมไปแฮะ......หมั่นหลีโหม่งและโก๋แก่ไ่ม่มี มีแต่เม็ดอัลมอน....
น้าหยอยนึกในใจว่า เดี๋ยวคงได้หิวกันตาลายแน่ เพราะระยะทางตั้ง600กม.........อาจไปถึงสักตี5กระมัง...แต่เสี่ยรักษ์บอกว่าสั่งอาหารรอไว้แล้ว(ไปกินตอนตี5เนี่ยนะ-สั่งไว้แล้วจากเมืองซูซูกะ.....ตูจะเป็นลม)......
ผมเคยนั่งรถไฟไปหาดใหญ่คราวหนึ่ง......รถออกจากหัวละโพงตอน4โมงเย็น.......นั่งจิบเบียร์ไปจนหลับคาที่นั่ง........ตื่นขึ้นมาอีกทีหนึ่งเพราะเสียงคนขายไก่ย่าง......ผมก็นึกว่าป่านนี้คงถึงเพชรบุรีหรือปราณบุรีแล้วกระมัง เพราะฟ้าเริ่มปิด....ที่ไนหได้........หันไปอีกมุมหน้าต่างหนึ่ง...เห็นพระปฐมเจดีย์องค์บะเริ่มเทิ่ม........ฮ่วย.......ทำเวลาดีจริงๆเมิง......รถวิ่งเกือบ3ชั่วโมงดันไปได้แค่50กิโลแม้วเอง
แต่กับซิงกันเซนไม่ใช่ครับ เรานั่งคุยกันไปจิบเบียร์กันไป ยังไ่ทัน1ทุ่มเลย.....เสียงลำโพงบนรถมันประกาศให้ผู้โดยสารเตรียมตัว เพราะรถไฟจะเข้าสถานีเมืองโตเกียวแล้ว........ไรฟะ...
รูปที่ผมเอามาลงประกอบนี้ ผมก็อปปี้เอามาจากโปสการ์ดนะครับ เอามาให้รู้ว่ารูปทรงของรถชิงกันเซ้นมันเหมือนหัวเครื่องบิน C130...คือมีลอนตรงกระจก...แต่รุ่นปัจจุบันจะเป็นอีกทรงหนึ่ง
มาทำกระทู้ให้มีสาระกัน
ผ่านไปนะครับ กลับมาว่าเรื่องของวงการรถแข่งระดับโลกกันต่อเด้อ..........แต่ขอส่งข่าวไปยังสมาชิกที่ได้รางวัลน้ำใจนะครับ-ผมส่งแบบลงทะเบียนไปหมดแล้วตอนบ่ายๆนี้.....2-3วันของคงถึง...
วันนี้เสียเวลาเขียนเรื่องข้างบนไปอีก1ชม.เปล่าๆ......ขอเขียนเรื่องแบบสุกเอาเผากินบ้างแล้วกัน เพราะหากจะเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับความรู้แบบรถแข่งนั้น ผมต้องใช้สมาธิเยอะครับ เพราะมันคือความรุ้ในระดับที่ผมจะต้องรับผิดชอบด้วย ไม่ใช่เขียนเอามันและแสดงตนเป็นเกจิเอาแต่ฝ่ายเดียว....หากวางใจว่าผมมีสิ่งนี้อยู่ในสามัญสำนึก ท่านก็สามารถเสพย์สาระอย่างนี้ต่อไปได้เรื่อยๆและขอให้สบายใจได้ว่าผมไม่ชอบการมั่ว...คือมันต้องมีเหตุผลมารองรับอย่างแน่นหนาพอสมควร-ผมจึงกล้าเขียนลงไป
วันนี้ขอเล่าย้อนหลังไปในปี2532นะครับ......ตอนนั้น บริษัทเอพี.ฮอนด้าได้คัดเลือกบุคคลภายนอกซึ่งไม่ได้เป็นพนักงานของบริษัทไปเรียนวิธีการสอนขับขี่ปลอดภัยที่ประเทศญี่ปุ่นและไต้หวันที่สนามแข่งซูซูกะกัน3พระหน่อ....คุณอารักษ์ พรประภาซึ่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์ฝึกฯอยู่ในปัจุบันและคุณธีระพัฒน์ จิวะพงษ์(เสียชีวิตไปแล้ว).ระยะนั้นค่าแลกเปลี่ยนเงินเยนและเงินไทยอยู่ที่100เยน/10บาท(ปัจจุบันเกือบ40แล้วมั้ง).....เวลาซื้อของอะไรก็ค่อนข้างง่ายที่จะแปลงเป็นเงินไทย.......
ตอนนั้นรถไฟซิงกันเซง ยังวิ่งด้วยความเร็ว 180 กม/ชม.(ปัจจุบัน 230 กม/ชม)....ส่วนรถไฟไทยนั้นยังคงทำเวลาได้ดีอย่างส่ม่ำเสมอ
คือทั้งวันทั้งคืนวิ่งได้600กม.เศษๆ....อย่าให้เซดเลย มันเป็นเรื่องเศร้าของวงการขนส่งเมืองไทยจริงๆ...กร๊ากกก.......
คราวที่ไปฝึกขี่รถกันในปี 2532ที่กล่าวนั้นหลังจากปล้ำกับรถCB 750 มาจนงอมไปทั้งตัวจนครบหลักสูตรแล้ว วันรุ่งขึ้น คุณอารักษ์ จะพาเราไปดูงานที่ประเทศไต้หวันต่ออีก3วัน.....เราเลิกขี่รถกันตอน4โมงเย็น เสี่ยอารักษ์บอกให้เราไปอาบน้ำและเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว เพื่อไปตั้งหลักที่โตเกียว.....เราอาบน้ำกันพอให้้หายเหนียวตัว เพราะที่ญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้ร้อนมากมายอะไรนัก เหมือนขี่รถแถวเชียงใหม่เรานี่แหละ
4.30น.เราก็ไปยืนรอรถไฟกันที่สถานีเมืองซูซูกะ (ห่างจากสนามแข่งรถซูซูกะประมาณสัก10กม.ได้มั้ง....ตอนมีการแข่งรถ WGP ทางการจะปิดเมืองล่วงหน้า2วัน เพื่อจัดระเบียบการเดินรถใหม่ เขาห้ามเอารถยนต์ส่วนตัวเข้าเืมืองเด็ดขาด ใครจะไปดูรถแข่งจะต้องนั่งรถไฟมาลงสถานีแห่งนี้แล้วนั่งรถชัตเติ้ลบัสต่อไปสนามแข่ง-รถออกทุก5นาที).......พวกสาวกของแชมป์โลกที่ตนเองชอบก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์จะมากางเต๊นท์นอนรอเวลากันล่วงหน้าอย่างน้อย3วัน.......มีอุปกรณ์แคมปิ้งมาหุงต้มกันเป็นเรื่องเป็นราวหลายพันคน(ที่มานอนจองเต๊นท์ล่วงหน้า)
ความที่ผมคุ้นกับการรถไฟแบบหวายเย็นของเรานั่นเอง.......ผมก็นึกอยู่เสมอว่าขบวนรถที่มาเมียบชานชาลานั้น เป็นขบวนที่เราจะไปมันยันเต(รถไฟมาเทียบชานชาลาประมาณ2นาทีต่อขบวน)....เราไปถึงสถานีตอน4.20.......ส่วนตั๋วของเราจะเป็นขบวน4.35 ....ขบวนแรกที่มาเทียบสถานีมาถึงตอน4.22.ผมก็จัดการจะลากกระเป๋าไปขึ้นรถ เพราะนึกว่ามันเป็นขบวนของเราน่ะ(ก็คุ้นกับรถไฟไทยไง-มันผิดเวลากันเป็นชั่วโมงได้ เพราะงั้นรถไฟญี่ปุ่นดันมาเร็วกว่าปกติ ถึง4-5นาที....ผมก็นึกว่าเพราะมันเป็นรถไฟหัวกระสุนไงล่ะ-ถึงมาเร็วกว่าปกติ)
คุณอารักษ์โบกมือให้พวกชาวเขาที่เพิ่งออกจากป่ามาแบบหน้าตาเฉย แล้วบอกว่าให้พวกเราหาทางกลับมาเจอะกันที่โรงแรมซันรูทเองเด้อ.........เพราะรถขบวนนี้มันจะไปโอซาก้า....ไม่ไปโตเกียว..........กร๊ากกกกก..พวกเราหน้าแตกครั้งที่1
การณ์มันเป็นแบบนี้อยู่5ขบวน......พอขบวนจริงมา พวกเราดันยืนเฉย ก็ไม่รู้นี่หว่า.....
บนโบกี้รถไฟแบบหัวกระสุนอย่างนี้ มันกว้างกว่ารถไฟในบ้านเราประมาณครึ่งเมตรครับ......พอขบวนเริ่มออกเดินทาง ก็จะมีสาวๆเข็นรถขายของออกมายืนโค้งที่ทางเข้าและอธิบายว่าเธอมีเหล้าและเบียร์/อาหาร/กับแกล้มทุกอย่างพร้อมให้บริการ.......พวกเราทั้ง3คนต่างมองหน้ากัน เพราะเริ่มหิวแล้ว.....คุณสิงห์โต(เสียชีวิตแล้ว)สั่งเบียร์และถั่วหมั่นหลีโหม่ง+โก๋แก่.มาสำรองไว้อย่างละ3ถุง.....ลืมไปแฮะ......หมั่นหลีโหม่งและโก๋แก่ไ่ม่มี มีแต่เม็ดอัลมอน....
น้าหยอยนึกในใจว่า เดี๋ยวคงได้หิวกันตาลายแน่ เพราะระยะทางตั้ง600กม.........อาจไปถึงสักตี5กระมัง...แต่เสี่ยรักษ์บอกว่าสั่งอาหารรอไว้แล้ว(ไปกินตอนตี5เนี่ยนะ-สั่งไว้แล้วจากเมืองซูซูกะ.....ตูจะเป็นลม)......
ผมเคยนั่งรถไฟไปหาดใหญ่คราวหนึ่ง......รถออกจากหัวละโพงตอน4โมงเย็น.......นั่งจิบเบียร์ไปจนหลับคาที่นั่ง........ตื่นขึ้นมาอีกทีหนึ่งเพราะเสียงคนขายไก่ย่าง......ผมก็นึกว่าป่านนี้คงถึงเพชรบุรีหรือปราณบุรีแล้วกระมัง เพราะฟ้าเริ่มปิด....ที่ไนหได้........หันไปอีกมุมหน้าต่างหนึ่ง...เห็นพระปฐมเจดีย์องค์บะเริ่มเทิ่ม........ฮ่วย.......ทำเวลาดีจริงๆเมิง......รถวิ่งเกือบ3ชั่วโมงดันไปได้แค่50กิโลแม้วเอง
แต่กับซิงกันเซนไม่ใช่ครับ เรานั่งคุยกันไปจิบเบียร์กันไป ยังไ่ทัน1ทุ่มเลย.....เสียงลำโพงบนรถมันประกาศให้ผู้โดยสารเตรียมตัว เพราะรถไฟจะเข้าสถานีเมืองโตเกียวแล้ว........ไรฟะ...
รูปที่ผมเอามาลงประกอบนี้ ผมก็อปปี้เอามาจากโปสการ์ดนะครับ เอามาให้รู้ว่ารูปทรงของรถชิงกันเซ้นมันเหมือนหัวเครื่องบิน C130...คือมีลอนตรงกระจก...แต่รุ่นปัจจุบันจะเป็นอีกทรงหนึ่ง