รถไฟฟ้าสายหัวลำโพง-มหาชัยสามารถสร้างได้ 5 เส้นทาง ที่มีความเป็นไปได้มากคือ แนวทางที่ 2 สร้างบนแนวรถไฟเดิมและแนวทางที่ 5 สร้างบนทางเดิม แต่เมื่อเลยสถานีจอมทองก็เบี่ยงไปเข้าเส้นถนนเอกชัย
ซึ่งผลการศึกษาก็บอกไว้ว่า ถ้าได้มาสร้างรถไฟฟ้าบนเส้นถนนเอกชัยก็จะมีความคุ้มค่าในการลงทุนและด้านศรษฐศาสตร์มากกว่าเส้นทางอื่นๆ
รถไฟฟ้าที่สร้างบนเส้นเอกชัยจึงควรเป็นแบบ metro train คือรถไฟที่เน้นส่งคนในตัวเมือง แบบลักษณะของ bts,mrt มีสถานีถี่ๆ สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างเมืองได้เยอะ สร้างความเจริญให้กับพื้นที่ตามรายทางได้อย่างเต็มที่
ถ้าการสร้างบนเส้นเอกชัยมีคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์มากที่สุด ก็ลงทุนให้มันสุดไปเลย สร้างแบบ metro train มีสถานีมากๆ
การสร้างรถไฟฟ้าสายกรุงเทพ-มหาชัยจีงควรแบ่งออกเป็น 2 แนวทาง
แนวทางที่ 1 สร้างเป็น commuter train รถไฟชานเมืองเต็มรูปแบบ สร้างเป็นเฮฟวี่เรล แบบสายสีแดงบางซื่อ-รังสิต มีสถานีน้อยๆ เน้นขนส่งคนเดินทางระหว่างเมืองได้รวดเร็ว
แนวทางที่ 2 สร้างเป็น metro train รถไฟเน้นวิ่งในเมือง ลักษณะคล้ายสายสีชมพูที่เป็นโมโนเรลหรือจะสร้างเป็นรถไฟล้อยางแบบสายสีทองก็ได้ มีความเร็วเท่ากัน ไม่เกิน 80 km/h ซึ่งรถไฟฟ้านี้สามารถรับส่งคนไปชานเมืองได้ด้วย เพียงแต่การเดินระหว่างเมืองอาจทำเวลาได้ไม่เร็วมากเหมือนรถไฟชานเมืองเต็มรูปแบบ เพราะ metro train จะมีสถานีถี่กว่า แต่ก็สามารถปรับโครงสร้างเมืองได้ดีกว่า
รถไฟฟ้าบนเส้นเอกชัยแบบ metro train ที่คิดเอาไว้ นั้น จะมีทั้งหมด 32 สถานี บนระยะทาง 31 กิโลเมตร เป็น metro train เต็มรูปแบบ สถานีจะเริ่มต้นจากหน้าสวนดาวคะนอง-จอมทอง เชื่อมกับสายสีม่วงสถานีดาวคะนอง ห่างจากสถานีสายสีม่วงดาวคะนองประมาณ 250 เมตร มี sky walk เชื่อมถึงกัน
รถไฟบนเส้นถนนเอกชัยที่เหมาะสมจึงไม่ใช่หัวลำโพง-มหาชัย แต่จะเป็นรถไฟฟ้าดาวคะนอง-มหาชัย
รถไฟจะวิ่งจากสถานีต้นทางมาเรื่อยถึงซอยเอกชัย 4 ซึ่งจะมีสถานีตั้งอยู่จุดนี้ เป็นจุดเชื่อมต่อกับสายสีแดงสถานีจอมทอง แล้วเลี้ยวซ้ายวิ่งไปตามเส้นถนนเอกชัยจนถึงโรงพยาบาลเจษฎา 2 วิ่งมาถึงถนนธนบุรี-ปากท่อ แล้วเลี้ยวซ้ายอีกที ปลายทางคือโรงพยาบาลสนามท่าจีน รวมระยะทางทั้งหมด 31 กิโลเมตร ระยะห่างแต่ละสถานีตกเฉลี่ยที่ 1 กิโลเมตร อาจมีบางสถานีห่างกันแค่ 700 เมตร เพราะต้องเชื่อมต่อสถานที่สำคัญ ระยะห่างระหว่างสถานีมากที่สุด จะไม่เกิน 1.3 กิโลเมตร
ยกตัวอย่างสถานีรถไฟฟ้าสายดาวคะนอง-มหาชัย
ต้นทาง 3 สถานี ได้แก่
สถานีที่ 1 สวนดาวคะนอง-จอมทอง เชื่อมสายสีม่วง
สถานีที่ 2 ซอยจอมทอง 6
สถานที่ 3 ซอยเอกชัย 4 เชื่อมต่อสายสีแดง
ปลายทาง 3 สถานี นับจากปลายทางได้แก่
สถานีที่ 1 โรงพยาบาลสนามท่าจีน
สถานีที่ 2 สนามกีฬาสมุทรสาคร
สถานีที่ 3 วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร
ส่วนรถไฟชานเมืองที่จะวิ่งเส้นทางเดิม ควรมีสถานีไม่มาก เน้นเดินทางระหว่างเมืองได้เร็ว
ตามแผนที่ประกาศใหม่นั้น แนวทางที่ 2 จะมี 18 สถานี แต่ควรมี 17 สถานีตามแผนเก่าก็พอ จะได้เดินทางระหว่างเมืองได้เร็วขึ้น เส้นทางนี้มีระยะทางทั้งหมด 35.9 กิโลเมตร นับจากหัวลำโพงถึงมหาชัย
ถ้าได้สร้างรถไฟฟ้าบนเส้นเอกชัยก่อน ก็ต้องคิดถึงจุดเชื่อมต่อให้ดีด้วย ตรงจอมทอง รถไฟฟ้าเส้นเอกชัย ต้องทำทางลดต่ำลงมาเผื่อรถไฟลอดใต้สายสีแเดง เหมือนสายสีเหลืองที่ลอดใต้แอร์พอร์ตลิงค์ตรงสถานีหัวหมาก ต้องวางแผนไว้แต่ทีแรก
และถ้าสร้างสถานีรถไฟฟ้าแบบถี่ๆ มีจำนวนสถานีมากเหมือน bts ก็อย่าคิดว่า ไม่จำเป็นต้องมีรถ feeder ยังไงก็ต้องมี แต่รถ feeder ไม่ต้องวิ่งระยะไกลมากเหมือนการมีจำนวนสถานีน้อยๆ เพราะการมีสถานีถี่ก็ทำให้ feeder วิ่งระยะสั้นลง หรืออาจมีรถ feeder น้อยลงได้
จริงๆแล้ว การก่อสร้างรถไฟฟ้าหลายสายที่จะทำในอนาคต จะสร้างแบบรถไฟฟ้าล้อยางสายสีทองก็ได้ เพราะว่าทุกวันนี้ในกรุงเทพมีรถไฟฟ้าหลายสายกระจายกันครอบคลุมทั่ว คนก็กระจายไปกันเป็นกลุ่มๆเล็กไปอยู่รอบสถานีรถไฟฟ้าทั่วกรุงเทพ ต่างจาก 20-30 ปีก่อนที่คนกลุ่มใหญ่มากระจุกตัวกันรอบสถานี bts อ่อนนุช-หมอชิต mrt บางซื่อ-หัวลำโพง พอคนจำนวนมากๆมาอยู่รอบสถานีรถไฟฟ้าซึ่งยังมีจำนวนสถานีน้อย ก็ต้องทำรถไฟแบบเฮฟวี่เรลเพื่อรองรับคนจำนวนมากที่กระจุกตัวกันรอบสถานีแล้วต้องการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า
ยุคสมัยนี้ ในกรุงเทพจึงเลือกทำโมโนเรลหรือรถไฟฟ้าล้อยางแบบสายสีทองได้ คนไม่มารุมกระจุกตัวอยู่ตามรอบสถานีเหมือนแต่ก่อนแล้ว รถไฟฟ้ามีหลายสาย คนกระจายกันไปทั่ว
รถไฟฟ้าโมโนเรล จุคนได้เต็มที่ประมาณ 1,000 คนต่อขบวน
รถไฟฟ้าแทรมล้อยาง จุคนได้เต็มที่ประมาณ 800 คนต่อขบวน
รถไฟฟ้าล้อยางแบบสายสีทองจึงน่าจะเหมาะกับถนนเอกชัยมาก การสร้างรถไฟฟ้าแทรมล้อยางประหยัดกว่าโมโนเรลด้วย
สำคัญของรถไฟฟ้าคือเดินทางได้เร็ว จุดเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าอีกสายสะดวก ไม่ต้องเดินไกล เปลี่ยนขบวนได้เร็ว และค่าโดยสารไม่แพง
ถ้าสร้างบนถนนเอกชัย ช่วงแรกของการเปิดให้บริการก็น่าจะวิ่งแค่ 2 ตู้ จุคนได้ไม่เกิน 280 คน แบบสายสีทอง แล้ววิ่งให้บริการทุก 15 นาที
พอคนใช้บริการมากขึ้น ก็เพิ่มตู้ที่ 3 ให้จุคนได้ 400 กว่าคน
แล้วต่อไปจะเพิ่มตู้ หรือเพิ่มการถี่ของการวิ่งจากขบวนละ 15 นาที เหลือเพียง 10 นาที ก็แล้วแต่พิจารณาตามความเหมาะสม
ข้อดีของการสร้างรถไฟล้อยาง metro train บนถนนเอกชัยก่อนรถไฟชานเมืองเส้นทางเดิม
1.เส้นเอกชัยมีความในด้านเศรษฐศาสตร์และการลงทุนมากกว่าเส้นทางเดิม สามารถทำรถไฟแบบโมโนเรลหรือแทรมล้อยางในลักษณะของ metro train รถไฟที่เน้นวิ่งในเมืองแบบ bts มีการตั้งสถานีถี่ๆ กระจายความเจริญได้อย่างเต็มที่ตลอดเส้นทาง ปรับเปลี่ยนโครงสร้างเมืองได้มาก
2.ถนนเอกชัยบางช่วงมี 4 ช่องจราจร จึงควรหารถไฟที่ใช้พื้นก่อสร้างน้อยกว่า เสาของโมโนเรลหรือแทรมล้อยางมีขนาดเล็กกว่าเฮฟวี่เรล ทำให้มีความยืดหยุ่นในการเวนคืนพื้นที่ด้านข้างถนนเอกชัยได้มากขึ้น
3.เมื่อมีรถไฟฟ้าบนเส้นถนนเอกชัยแล้ว จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเด็กนักเรียนฝั่งมหาชัยที่เข้ามาเรียนฝั่งธนฯได้ดี เพราะถ้าสร้างรถไฟชานเมืองเส้นทางเดิม ก็ต้องปิดการเดินรถไฟเส้นทางเดิม คนไม่สามารถเดินทางด้วยรถไฟเส้นทางเดิมได้ ถ้ามีรถไฟฟ้าบนเส้นถนนเอกชัย เด็กนักเรียนก็จะไปขึ้นรถไฟบนถนนเอกชัยแทนรถไฟเส้นเดิมในช่วงที่ปรับปรุงรถไฟแบบเก่าเส้นทางเดิมให้เป็นรถไฟฟ้า แล้วมาเรียนที่ฝั่งธนฯได้ตามปกติ ช่วงนั้นรัฐอาจจะต้องหนุนค่าโดยสารให้เด็กนักเรียนเป็นพิเศษ หนุนจนกว่ารถไฟชานเมืองมหาชัยจะสร้างและเปิดใช้บริการ
4.ถึงเวลาที่รถไฟฟ้าเอกชัยสร้างเสร็จ ก็เป็นไปได้มากว่า รถไฟฟ้าเส้นไปมหาชัย จะไม่ใช่แค่ช่วงหัวลำโพง-มหาชัย แต่จะเป็นบางซื่อ-มหาชัย วิ่งตรงจากบางซื่อถึงมหาชัย จากมหาชัยถึงบางซื่อ เพราะสามารถเคลียร์ปัญหาช่วง missink link ได้เรียบร้อย และสามารถสร้างให้เป็นสัญญาเดียว บางซื่อ-หัวลำโพง-มหาชัย จะประหยัดกว่าการแบ่ง 2 สัญญา 1.บางซื่อ-หัวลำโพง 2.หัวลำโพง-มหาชัย
เพราะฉะนั้น ถ้าเลือกได้ทั้ง 2 แนวทาง ก็ขอเลือกสร้างแนวทางที่ 5 รถไฟฟ้าบนเส้นถนนเอกชัยก่อน ช่วยลดผลกระทบได้หลายอย่าง แล้วค่อยมาสร้างรถไฟเส้นชานเมืองหัวลำโพง-มหาชัย แต่ถ้าเลือกได้แค่แนวทางเดียว ขอเลือกสร้างแนวทางที่ 2 แล้วใช้รถ feeder บริหารจัดการให้ดีอีกที
แต่ถึงตอนนัจะให้เหตุผลที่ดีของการสร้างรถไฟฟ้าบนถนนเอกชัยไว้หลายอย่าง คนที่เชียร์ให้สร้างรถไฟฟ้าตามแนวทางที่ 5 บนถนนเอกชัยก็อย่าพึ่งดีใจไป ต้องดูสภาพความเป็นจริงของถนนเอกชัยด้วย
ภาพตัวอย่าง ถนนเอกชัย
ซอยตลับ 1 ถนนไปกลับรวม 4 เลน ตรงนี้มีเกาะกลางถนน แต่เวลาสร้างรถไฟฟ้าก็ต้องกินพื้นที่ถนนข้างละ 1 เลน หรืออย่างน้อยสุด ปิดถนนฝั่งใดฝั่งหนึ่งแค่เลนเดียว

ซอยเอกชัย 33 ไปกลับรวม 4 เลน ไม่มีเกาะกลางถนน
ซอยเอกชัย 15 ไปกลับรวม 4 เลน ไม่มีเกาะกลางถนน
ดูสภาพแล้ว ถ้าสร้างรถไฟฟ้าบนถนนเส้นนี้ คงต้องเวนคืนบ้านเรือนกันมากมาย
ถ้ารัฐจะเวนคืนบ้านเรือนมาทำรถไฟฟ้า ก็อย่าเอาเปรียบประชาชน ให้เงินซัก 3 เท่าของราคาบ้านได้ยิ่งดี เพราะคนโดนเวนคืนต้องหาบ้านใหม่ ที่ทำงานใหม่อีก เดือดร้อน
หลายต่อ รัฐต้องหาทางออกให้ดี อยากลงทุนอะไร ก็พยายามอย่าให้เดือดร้อนคนอื่น
สร้างรถไฟฟ้าบนถนนเอกชัยให้เกิดความคุ้มค่าด้วยโมโนเรลหรือรถไฟล้อยาง ขอรัฐอย่าเอาเปรียบเรื่องเวนคืนที่ดิน
ซึ่งผลการศึกษาก็บอกไว้ว่า ถ้าได้มาสร้างรถไฟฟ้าบนเส้นถนนเอกชัยก็จะมีความคุ้มค่าในการลงทุนและด้านศรษฐศาสตร์มากกว่าเส้นทางอื่นๆ
รถไฟฟ้าที่สร้างบนเส้นเอกชัยจึงควรเป็นแบบ metro train คือรถไฟที่เน้นส่งคนในตัวเมือง แบบลักษณะของ bts,mrt มีสถานีถี่ๆ สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างเมืองได้เยอะ สร้างความเจริญให้กับพื้นที่ตามรายทางได้อย่างเต็มที่
ถ้าการสร้างบนเส้นเอกชัยมีคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์มากที่สุด ก็ลงทุนให้มันสุดไปเลย สร้างแบบ metro train มีสถานีมากๆ
การสร้างรถไฟฟ้าสายกรุงเทพ-มหาชัยจีงควรแบ่งออกเป็น 2 แนวทาง
แนวทางที่ 1 สร้างเป็น commuter train รถไฟชานเมืองเต็มรูปแบบ สร้างเป็นเฮฟวี่เรล แบบสายสีแดงบางซื่อ-รังสิต มีสถานีน้อยๆ เน้นขนส่งคนเดินทางระหว่างเมืองได้รวดเร็ว
แนวทางที่ 2 สร้างเป็น metro train รถไฟเน้นวิ่งในเมือง ลักษณะคล้ายสายสีชมพูที่เป็นโมโนเรลหรือจะสร้างเป็นรถไฟล้อยางแบบสายสีทองก็ได้ มีความเร็วเท่ากัน ไม่เกิน 80 km/h ซึ่งรถไฟฟ้านี้สามารถรับส่งคนไปชานเมืองได้ด้วย เพียงแต่การเดินระหว่างเมืองอาจทำเวลาได้ไม่เร็วมากเหมือนรถไฟชานเมืองเต็มรูปแบบ เพราะ metro train จะมีสถานีถี่กว่า แต่ก็สามารถปรับโครงสร้างเมืองได้ดีกว่า
รถไฟฟ้าบนเส้นเอกชัยแบบ metro train ที่คิดเอาไว้ นั้น จะมีทั้งหมด 32 สถานี บนระยะทาง 31 กิโลเมตร เป็น metro train เต็มรูปแบบ สถานีจะเริ่มต้นจากหน้าสวนดาวคะนอง-จอมทอง เชื่อมกับสายสีม่วงสถานีดาวคะนอง ห่างจากสถานีสายสีม่วงดาวคะนองประมาณ 250 เมตร มี sky walk เชื่อมถึงกัน
รถไฟบนเส้นถนนเอกชัยที่เหมาะสมจึงไม่ใช่หัวลำโพง-มหาชัย แต่จะเป็นรถไฟฟ้าดาวคะนอง-มหาชัย
รถไฟจะวิ่งจากสถานีต้นทางมาเรื่อยถึงซอยเอกชัย 4 ซึ่งจะมีสถานีตั้งอยู่จุดนี้ เป็นจุดเชื่อมต่อกับสายสีแดงสถานีจอมทอง แล้วเลี้ยวซ้ายวิ่งไปตามเส้นถนนเอกชัยจนถึงโรงพยาบาลเจษฎา 2 วิ่งมาถึงถนนธนบุรี-ปากท่อ แล้วเลี้ยวซ้ายอีกที ปลายทางคือโรงพยาบาลสนามท่าจีน รวมระยะทางทั้งหมด 31 กิโลเมตร ระยะห่างแต่ละสถานีตกเฉลี่ยที่ 1 กิโลเมตร อาจมีบางสถานีห่างกันแค่ 700 เมตร เพราะต้องเชื่อมต่อสถานที่สำคัญ ระยะห่างระหว่างสถานีมากที่สุด จะไม่เกิน 1.3 กิโลเมตร
ยกตัวอย่างสถานีรถไฟฟ้าสายดาวคะนอง-มหาชัย
ต้นทาง 3 สถานี ได้แก่
สถานีที่ 1 สวนดาวคะนอง-จอมทอง เชื่อมสายสีม่วง
สถานีที่ 2 ซอยจอมทอง 6
สถานที่ 3 ซอยเอกชัย 4 เชื่อมต่อสายสีแดง
ปลายทาง 3 สถานี นับจากปลายทางได้แก่
สถานีที่ 1 โรงพยาบาลสนามท่าจีน
สถานีที่ 2 สนามกีฬาสมุทรสาคร
สถานีที่ 3 วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร
ส่วนรถไฟชานเมืองที่จะวิ่งเส้นทางเดิม ควรมีสถานีไม่มาก เน้นเดินทางระหว่างเมืองได้เร็ว
ตามแผนที่ประกาศใหม่นั้น แนวทางที่ 2 จะมี 18 สถานี แต่ควรมี 17 สถานีตามแผนเก่าก็พอ จะได้เดินทางระหว่างเมืองได้เร็วขึ้น เส้นทางนี้มีระยะทางทั้งหมด 35.9 กิโลเมตร นับจากหัวลำโพงถึงมหาชัย
ถ้าได้สร้างรถไฟฟ้าบนเส้นเอกชัยก่อน ก็ต้องคิดถึงจุดเชื่อมต่อให้ดีด้วย ตรงจอมทอง รถไฟฟ้าเส้นเอกชัย ต้องทำทางลดต่ำลงมาเผื่อรถไฟลอดใต้สายสีแเดง เหมือนสายสีเหลืองที่ลอดใต้แอร์พอร์ตลิงค์ตรงสถานีหัวหมาก ต้องวางแผนไว้แต่ทีแรก
และถ้าสร้างสถานีรถไฟฟ้าแบบถี่ๆ มีจำนวนสถานีมากเหมือน bts ก็อย่าคิดว่า ไม่จำเป็นต้องมีรถ feeder ยังไงก็ต้องมี แต่รถ feeder ไม่ต้องวิ่งระยะไกลมากเหมือนการมีจำนวนสถานีน้อยๆ เพราะการมีสถานีถี่ก็ทำให้ feeder วิ่งระยะสั้นลง หรืออาจมีรถ feeder น้อยลงได้
จริงๆแล้ว การก่อสร้างรถไฟฟ้าหลายสายที่จะทำในอนาคต จะสร้างแบบรถไฟฟ้าล้อยางสายสีทองก็ได้ เพราะว่าทุกวันนี้ในกรุงเทพมีรถไฟฟ้าหลายสายกระจายกันครอบคลุมทั่ว คนก็กระจายไปกันเป็นกลุ่มๆเล็กไปอยู่รอบสถานีรถไฟฟ้าทั่วกรุงเทพ ต่างจาก 20-30 ปีก่อนที่คนกลุ่มใหญ่มากระจุกตัวกันรอบสถานี bts อ่อนนุช-หมอชิต mrt บางซื่อ-หัวลำโพง พอคนจำนวนมากๆมาอยู่รอบสถานีรถไฟฟ้าซึ่งยังมีจำนวนสถานีน้อย ก็ต้องทำรถไฟแบบเฮฟวี่เรลเพื่อรองรับคนจำนวนมากที่กระจุกตัวกันรอบสถานีแล้วต้องการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า
ยุคสมัยนี้ ในกรุงเทพจึงเลือกทำโมโนเรลหรือรถไฟฟ้าล้อยางแบบสายสีทองได้ คนไม่มารุมกระจุกตัวอยู่ตามรอบสถานีเหมือนแต่ก่อนแล้ว รถไฟฟ้ามีหลายสาย คนกระจายกันไปทั่ว
รถไฟฟ้าโมโนเรล จุคนได้เต็มที่ประมาณ 1,000 คนต่อขบวน
รถไฟฟ้าแทรมล้อยาง จุคนได้เต็มที่ประมาณ 800 คนต่อขบวน
รถไฟฟ้าล้อยางแบบสายสีทองจึงน่าจะเหมาะกับถนนเอกชัยมาก การสร้างรถไฟฟ้าแทรมล้อยางประหยัดกว่าโมโนเรลด้วย
สำคัญของรถไฟฟ้าคือเดินทางได้เร็ว จุดเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าอีกสายสะดวก ไม่ต้องเดินไกล เปลี่ยนขบวนได้เร็ว และค่าโดยสารไม่แพง
ถ้าสร้างบนถนนเอกชัย ช่วงแรกของการเปิดให้บริการก็น่าจะวิ่งแค่ 2 ตู้ จุคนได้ไม่เกิน 280 คน แบบสายสีทอง แล้ววิ่งให้บริการทุก 15 นาที
พอคนใช้บริการมากขึ้น ก็เพิ่มตู้ที่ 3 ให้จุคนได้ 400 กว่าคน
แล้วต่อไปจะเพิ่มตู้ หรือเพิ่มการถี่ของการวิ่งจากขบวนละ 15 นาที เหลือเพียง 10 นาที ก็แล้วแต่พิจารณาตามความเหมาะสม
ข้อดีของการสร้างรถไฟล้อยาง metro train บนถนนเอกชัยก่อนรถไฟชานเมืองเส้นทางเดิม
1.เส้นเอกชัยมีความในด้านเศรษฐศาสตร์และการลงทุนมากกว่าเส้นทางเดิม สามารถทำรถไฟแบบโมโนเรลหรือแทรมล้อยางในลักษณะของ metro train รถไฟที่เน้นวิ่งในเมืองแบบ bts มีการตั้งสถานีถี่ๆ กระจายความเจริญได้อย่างเต็มที่ตลอดเส้นทาง ปรับเปลี่ยนโครงสร้างเมืองได้มาก
2.ถนนเอกชัยบางช่วงมี 4 ช่องจราจร จึงควรหารถไฟที่ใช้พื้นก่อสร้างน้อยกว่า เสาของโมโนเรลหรือแทรมล้อยางมีขนาดเล็กกว่าเฮฟวี่เรล ทำให้มีความยืดหยุ่นในการเวนคืนพื้นที่ด้านข้างถนนเอกชัยได้มากขึ้น
3.เมื่อมีรถไฟฟ้าบนเส้นถนนเอกชัยแล้ว จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเด็กนักเรียนฝั่งมหาชัยที่เข้ามาเรียนฝั่งธนฯได้ดี เพราะถ้าสร้างรถไฟชานเมืองเส้นทางเดิม ก็ต้องปิดการเดินรถไฟเส้นทางเดิม คนไม่สามารถเดินทางด้วยรถไฟเส้นทางเดิมได้ ถ้ามีรถไฟฟ้าบนเส้นถนนเอกชัย เด็กนักเรียนก็จะไปขึ้นรถไฟบนถนนเอกชัยแทนรถไฟเส้นเดิมในช่วงที่ปรับปรุงรถไฟแบบเก่าเส้นทางเดิมให้เป็นรถไฟฟ้า แล้วมาเรียนที่ฝั่งธนฯได้ตามปกติ ช่วงนั้นรัฐอาจจะต้องหนุนค่าโดยสารให้เด็กนักเรียนเป็นพิเศษ หนุนจนกว่ารถไฟชานเมืองมหาชัยจะสร้างและเปิดใช้บริการ
4.ถึงเวลาที่รถไฟฟ้าเอกชัยสร้างเสร็จ ก็เป็นไปได้มากว่า รถไฟฟ้าเส้นไปมหาชัย จะไม่ใช่แค่ช่วงหัวลำโพง-มหาชัย แต่จะเป็นบางซื่อ-มหาชัย วิ่งตรงจากบางซื่อถึงมหาชัย จากมหาชัยถึงบางซื่อ เพราะสามารถเคลียร์ปัญหาช่วง missink link ได้เรียบร้อย และสามารถสร้างให้เป็นสัญญาเดียว บางซื่อ-หัวลำโพง-มหาชัย จะประหยัดกว่าการแบ่ง 2 สัญญา 1.บางซื่อ-หัวลำโพง 2.หัวลำโพง-มหาชัย
เพราะฉะนั้น ถ้าเลือกได้ทั้ง 2 แนวทาง ก็ขอเลือกสร้างแนวทางที่ 5 รถไฟฟ้าบนเส้นถนนเอกชัยก่อน ช่วยลดผลกระทบได้หลายอย่าง แล้วค่อยมาสร้างรถไฟเส้นชานเมืองหัวลำโพง-มหาชัย แต่ถ้าเลือกได้แค่แนวทางเดียว ขอเลือกสร้างแนวทางที่ 2 แล้วใช้รถ feeder บริหารจัดการให้ดีอีกที
แต่ถึงตอนนัจะให้เหตุผลที่ดีของการสร้างรถไฟฟ้าบนถนนเอกชัยไว้หลายอย่าง คนที่เชียร์ให้สร้างรถไฟฟ้าตามแนวทางที่ 5 บนถนนเอกชัยก็อย่าพึ่งดีใจไป ต้องดูสภาพความเป็นจริงของถนนเอกชัยด้วย
ภาพตัวอย่าง ถนนเอกชัย
ซอยตลับ 1 ถนนไปกลับรวม 4 เลน ตรงนี้มีเกาะกลางถนน แต่เวลาสร้างรถไฟฟ้าก็ต้องกินพื้นที่ถนนข้างละ 1 เลน หรืออย่างน้อยสุด ปิดถนนฝั่งใดฝั่งหนึ่งแค่เลนเดียว
ซอยเอกชัย 33 ไปกลับรวม 4 เลน ไม่มีเกาะกลางถนน
ซอยเอกชัย 15 ไปกลับรวม 4 เลน ไม่มีเกาะกลางถนน
ดูสภาพแล้ว ถ้าสร้างรถไฟฟ้าบนถนนเส้นนี้ คงต้องเวนคืนบ้านเรือนกันมากมาย
ถ้ารัฐจะเวนคืนบ้านเรือนมาทำรถไฟฟ้า ก็อย่าเอาเปรียบประชาชน ให้เงินซัก 3 เท่าของราคาบ้านได้ยิ่งดี เพราะคนโดนเวนคืนต้องหาบ้านใหม่ ที่ทำงานใหม่อีก เดือดร้อนหลายต่อ รัฐต้องหาทางออกให้ดี อยากลงทุนอะไร ก็พยายามอย่าให้เดือดร้อนคนอื่น