ทำไม ร. 4 ถึงมี 2 พระองค์ ( ไม่เข้าใจจริง ๆ )

กระทู้คำถาม
ตามกระทู้ครับ  อยากรู้  ทำไม มี  พระจอมเกล้า  กับ  พระปิ้นเกล้า  เป็น ร. 4 ทั้ง 2 พระองค์  ประเด็นที่อยากรู้คือ

1. ทำไม ไม่เป็น  พระจอมเกล้า ร.4 พระปิ่น ร.5  แล้วเรียงลำดับกันมา

2. ในสมัยนั้น  ก็  เรียก ร.4 ทั้ง 2 พระองค์  หรือ  เริ่มเรียกในสมัยหลัง

3. ใช้หลักเกณฑ์อะไรครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 20
แก่จนป่านนี้ นึกว่าร.4มี2ชื่อแต่พระองคฺเดียว เหมิอนร.5ก้มี2ชื่อ พันทิพนี้ดีจริงๆ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
เรียน จขกท.
เท่าที่ "จำได้" และ "เข้าใจ"
การสืบราชสันตติวงศ์สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ หาได้มี "กฎเกณฑ์" ตายตัวไม่
โดยมาก "ขุนนาง - อำมาตย์" จะเป็นกลุ่มที่ "ยก" พระราชวงศ์ "พระองค์" ใดขึ้นครองราชย์
แต่โดย "ธรรมเนียม" กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ "ว้งหน้า" ซึ่งมี "อำนาจ" และหรือ "กำลัง"
ตามที่ "ยอมรับ" กัน จะได้สืบสันตติวงศ์ ด้วยเริ่ม "สร้างกรุง" สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล(บุญมา)
สมเด็จพระอนุชาธิราชในรัชกาลที่ ๑ ทรง "ร่วมมือ" กับพระเชษฐาธิราช ในการตั้ง "ราชวงศ์" ใหม่
จึงเป็นที่ยอมรับกันว่าทรงเป็น "หมายเลขสอง" แต่ก็เสด็จทิวงคตเสียก่อน รัชกาลที่ ๑ จึงทรงแต่งตั้ง
ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอกรมขุนอิศรสุนทร พระราชโอรส "พระองค์ใหญ่" ใน "พระอัครมเหสี"
ดำรงพระอิศริยยศกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า และต่อมาก็ได้เถลิงถวัลยราชสมบัติเป็น
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒  ซึ่งในรัชสมัยนี้ หาได้ทรงแต่งตั้ง "วังหน้า" จาก
พระราชโอรสพระองค์ใดไม่ เนื่องจาก "ขัดข้องทางเทคนิค" ด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ "พระองค์ใหญ่"
ในพระอัครมเหสี คือ เจ้าฟ้ามงกุฏ มีขุนนาง - อำมาตย์ "ขึ้น" ด้วย "น้อย" กว่าพระราชโอรสใน "พระสนมเอก"
คือ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ที่ทรงกำกับงานราชการสำคัญมากมายซึ่งต่อมา
เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๒ "ขุนนาง - อำมาตย์" ก็ได้ "อเนกนิกรสโมสรสมมุติ" ขึ้นครองสิริราชสมบัติเป็น
รัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยที่ก่อนสิ้นรัชกาลที่ ๒ เจ้าฟ้ามงกุฎได้ "ออกผนวช"
เป็นพระวชิญาณภิกษุ อันเป็นการบวชทาง "เทคนิค"
อีกประการหนึ่ง ในรัชกาลที่ ๓ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าจุฬามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์(พระปิ่นเกล่าฯ)
ทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยและทรงเจริญในราชการเป็นอันมากได้กำกับกรมสำคัญหลายกรม และ
ทรงมี ขุนนาง - อำมาตย์ "ขึ้น" มาก แม้จะทรงเป็น"พระอนุชา" แท้ๆ ของ วิชิรญาณภิกษุ ก็หาได้ทำให้
"พระบารมี "ลดถอยลงไปไม่ เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๓ โดยที่ทรงมิได้มอบราชสมบัติให้แก่พระราชวงศ์พระองค์ใด
จึงเป็น "ภาระ" ให้ ขุนนาง-อำมาตย์ พิจารณา "ตกลง" ว่าจะ "ทูลเชิญ" พระราชวงศืพระองค์ใดขึ้นครอง
ราชสมบัติ เหล่าขุนาง - อำมาตย์ ที่มีตระกูล "บุนนาค" เป็น "หลัก" ก็จึงได้ "อเนกนิกรสโมสรสมมุติ"
ทูลเชิญพระวชิรญาณภิกษุลาผนวขขึ้นครองราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ ๔ ในราชวงศ์นี้ เมื่อเสด็จขึ้นครองราชแล้ว
ทรง "สถาปนา" สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ขึ้นเป็นสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ที่วังหน้า ซึ่งมีทั้ง "กำลัง"  "อำนาจ" และ "บารมี" และต่อมาด้วยพระอัจฉริยภาพทางรัฐประศาสโนบายอัน
แยบคายได้ "บวรราชาภิเษก" วังหน้า เป็นที่ พระบาทสมเด็จพระปวเรนทรมหาจุฬามณี พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ดำรงพระอิศริยยศ(เทียบเท่า) พระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งด้วยพระปรีชาสามารถแลถึงพร้อมด้วย
"กำลัง" "อำนาจ" และ "บารมี" ย่อมเป็นที่ "ประกัน" ความมั่นคงแห่งราชบัลลังค์ในรัชกาลที่  ๔
(ทั้งสองพระองค์) ได้เป็นอย่างดี
เรื่องนี้ค่อนข้าง "ลึกซึ้ง" และ แสดงให้เห็นความ "แหลมคม" ทางการเมืองการปกครองในสมัยนั้น
ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่า "พระมหากษัตริย์" และ "ขุนนาง - อำมาตย์" ต้อง "ไปทางเดียวกัน" หาไม่แล้ว
"อาจ" เกิด "ผิดพลาดทางเทคนิค" ระส่ำระสายจนกระทั่งถึง "เปลี่ยนรัชกาล" ได้ ดังมีมาตั้งแต่
ครังสมัยกรุงศรีอยุธยา  แม่ปัจจุบันนี้ บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ผมว่า "หลัก" น่าจะนำมา
"ศึกษาเทียบเคียง" และเป็น "อุทาหรณ์" ให้เราได้ "เข้าใจ" เรื่อง "การเมือง" ได้ ไม่มาก ก็น้อย ละเด้อ
ครับ      
อมยิ้ม06
ความคิดเห็นที่ 9
เพราะ พระจอม มีอิทธิพลทางทหาร ไม่เท่าพระปิ่น เนื่องจากผนวชนาน
พระปิ่นคุมทหารได้ มีทหารในสังกัดมาก  พระจอม จึงตั้งพระปิ่น ให้มีศักดิ์เสมอตน  เพื่อช่วยดูแลกองทัพ และ ลดแรงเสียดทานจากทหาร
หากพระจอม สวรรคตก่อนพระปิ่น พระปิ่นก็จะได้สืบบัลลังก์ต่อ แต่พระปิ่นสวรรคตก่อน
พอสิ้นร.4 ปัญหาจึงเกิด เพราะ  กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ โอรสในพระปิ่น มีอิทธิพลมาก และมีแนวโน้มจะได้เป็นกษัตริย์
แต่ลูกพระจอม คือ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ยังเด็กอยู่  และขุนนางสกุลบุนนาคที่ใหญ่คับกรุงสนับสนุนเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ เพื่อเสริมอำนาจตนเอง
กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญที่ได้ตำแหน่งวังหน้ามาเพราะการสนับสนุนของตระกูลบุนนาค ก็เกรงใจ จึงไม่อาจคัดค้าน
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาสุริยวงศ์ฯ ได้สำเร็จราชการ
เมื่อพระจุลได้บริหารเอง ก็ปฏิรูปการปกครองต่างๆ  ดึงอำนาจเข้าสู่วังหลวง
รวมถึงการคุกคามจากตะวันตก ทำให้เกิดการขัดแย้งกับวังหน้า ร่ำๆจะเป็นสงครามกลางเมือง
ความคิดเห็นที่ 10
เป็นเรื่องการเมืองในสมัยนั้นครับ
ทั้งพระจอมเกล้า กับพระปิ่นเกล้าต่างก็มีพวกและมีอำนาจทั้งคู่
หากหักกันเองอาจจะเป็นภัยกับสยามซึ่งกำลังอยู่ในยุคเริ่มต้นของการล่าอาณานิคมอยู่
ทางออกที่ดีที่สุดคือให้มีศักดิ์เป็นกษัตริย์ทั้งคู่ จะได้ไม่ชิงกันเอง เป็นการรอมชอม
สมัยนั้นมีการดึงคนต่างชาติมาคานอำนาจของแต่ละฝ่ายด้วย
พระปิ่นเกล้าดึงเอาอังกฤษมาเป็นพวก ส่วนพระจอมเกล้าดึงเอาฝรั่งเศสมาเป็นพวก

ข้อดีคือประเทศสงบสุข และเกิดการพัฒนาประเทศอย่างรวดเร็ว เพราะฝรั่งทั้งสองฝ่ายต่างก็พยายามโชว์เหนือเกทับอีกฝ่าย เลยขนเทคโนโลยีมาให้เราศึกษาเต็มไปหมด อีกทั้งพระปรีชาสามารถของทั้งสองพระองค์ที่เรียนรู้เทคโนโลยีของฝรั่งได้อย่างรวดเร็วยิ่ง สยามในยุคนั้นกลายเป็นประเทศที่รุ่งเรืองเอามากๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่