สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
สมัยนั้นยังไม่มีกฎมณเฑียรบาลครับ มีแต่กฎคร่าวๆซึ่งก็ไม่ได้เป็นหลักอะไรมาก เป็นหลักจารีตมากกว่า
กฎมณเฑียรบาลที่ตราเป็นกฎหมายจริงจังนี่พึ่งมามีเอาปลายรัชกาลที่ 6 นี้เอง
แต่อดีตมาการที่ใครจะรับราชสมบัติได้นั้นก็ต้องมีอิทธิพลต่อขุนนางพอสมควร ต้องมีอำนาจที่จะทำให้เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ยอมรับได้
เพราะในอดีตไม่ได้มีระบบการสืบทอดชัดเจน หลังการสวรรคตของกษัตริย์องค์ก่อน
ถ้าไม่มีเชื้อพระวงศ์ที่ทรงอำนาจพอจะขึ้นสู่บัลลังก์ได้เลย รึมีผู้อยู่ในตำแหน่งรัชทายาทอยู่แล้ว อย่างวังหน้า พระมหาอุปราช
ก็มีหลายครั้งที่เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ต้องมาประชุมเลือกกษัตริย์องค์ใหม่
ถ้าสังเกตการสืบราชสมบัติในไทยจริงๆจะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือตามกฎและตามความเหมาะสม
ซึ่งถ้าถูกต้องทั้งกฎและมีความเหมาะสมอย่างรัชกาลที่ 2 ก็ไม่มีปัญหาอะไร
แต่กรณีที่หาผู้ที่มีคุณสมบัติพร้อมไม่ได้ ก็ต้องเลือกอย่างหนึ่งอย่างใด
ในครั้งเปลี่ยนแผ่นดินรัชกาลที่ 2 นั้น รัชกาลที่ 3 มีอายุถึง 37 แล้ว จัดว่ามีวัยวุฒิที่เหมาะสม
และยังได้ช่วยบริหารบ้านเมืองมาตลอด มีประสบการณ์ในทางราชการและการปกครองคน
ส่วนรัชกาลที่ 4 พึ่งอายุเพียง 20 และไม่มีประสบการณ์ทางราชการอะไรนัก หลักๆมีเพียงเคยนำกองทัพไปรับครัวมอญมา
ในกรณีนี้เมื่อรัชกาลที่ 2 ไม่ได้แต่งตั้งผู้ใดอยู่ในฐานะรัชทายาท (วังหน้า) เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ก็ต้องมาประชุมกันเพื่อคัดเลือกกษัตริย์องค์ใหม่
และจากกระประชุมก็เลือกรัชกาลที่ 3 ที่ความเหมาะสมเป็นหลัก
ข้ามกฎไปเพราะหากยึดกฎอาจไม่เป็นผลดีต่อแผ่นดิน เนื่องจากรัชกาลที่ 4 ยังขาดประสบการณ์และฐานกำลังหนุนหลัง
แต่กระนั้นรัชกาลที่ 3 เองก็ยังยึดมั่นเสมอ ว่าตามความชอบธรรมราชสมบัติควรเป็นของรัชกาลที่ 4
จึงได้ไม่แต่งตั้งพระอัครมเหสี ยังผลให้โอรสธิดาทั้งหมดมีแต่พระองค์เจ้ ไม่มีเจ้าฟ้าเลย
และยังเคยพูดเป็นนัยบอกแนวทางไว้ วิจารณ์เชื้อพระวงศ์ต่างๆว่ามีข้อเสียไม่เหมาะสม แต่กับรัชกาลที่ 4 กลับกล่าวข้อเสียที่เล็กน้อยมากๆ
กฎมณเฑียรบาลที่ตราเป็นกฎหมายจริงจังนี่พึ่งมามีเอาปลายรัชกาลที่ 6 นี้เอง
แต่อดีตมาการที่ใครจะรับราชสมบัติได้นั้นก็ต้องมีอิทธิพลต่อขุนนางพอสมควร ต้องมีอำนาจที่จะทำให้เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ยอมรับได้
เพราะในอดีตไม่ได้มีระบบการสืบทอดชัดเจน หลังการสวรรคตของกษัตริย์องค์ก่อน
ถ้าไม่มีเชื้อพระวงศ์ที่ทรงอำนาจพอจะขึ้นสู่บัลลังก์ได้เลย รึมีผู้อยู่ในตำแหน่งรัชทายาทอยู่แล้ว อย่างวังหน้า พระมหาอุปราช
ก็มีหลายครั้งที่เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ต้องมาประชุมเลือกกษัตริย์องค์ใหม่
ถ้าสังเกตการสืบราชสมบัติในไทยจริงๆจะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือตามกฎและตามความเหมาะสม
ซึ่งถ้าถูกต้องทั้งกฎและมีความเหมาะสมอย่างรัชกาลที่ 2 ก็ไม่มีปัญหาอะไร
แต่กรณีที่หาผู้ที่มีคุณสมบัติพร้อมไม่ได้ ก็ต้องเลือกอย่างหนึ่งอย่างใด
ในครั้งเปลี่ยนแผ่นดินรัชกาลที่ 2 นั้น รัชกาลที่ 3 มีอายุถึง 37 แล้ว จัดว่ามีวัยวุฒิที่เหมาะสม
และยังได้ช่วยบริหารบ้านเมืองมาตลอด มีประสบการณ์ในทางราชการและการปกครองคน
ส่วนรัชกาลที่ 4 พึ่งอายุเพียง 20 และไม่มีประสบการณ์ทางราชการอะไรนัก หลักๆมีเพียงเคยนำกองทัพไปรับครัวมอญมา
ในกรณีนี้เมื่อรัชกาลที่ 2 ไม่ได้แต่งตั้งผู้ใดอยู่ในฐานะรัชทายาท (วังหน้า) เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ก็ต้องมาประชุมกันเพื่อคัดเลือกกษัตริย์องค์ใหม่
และจากกระประชุมก็เลือกรัชกาลที่ 3 ที่ความเหมาะสมเป็นหลัก
ข้ามกฎไปเพราะหากยึดกฎอาจไม่เป็นผลดีต่อแผ่นดิน เนื่องจากรัชกาลที่ 4 ยังขาดประสบการณ์และฐานกำลังหนุนหลัง
แต่กระนั้นรัชกาลที่ 3 เองก็ยังยึดมั่นเสมอ ว่าตามความชอบธรรมราชสมบัติควรเป็นของรัชกาลที่ 4
จึงได้ไม่แต่งตั้งพระอัครมเหสี ยังผลให้โอรสธิดาทั้งหมดมีแต่พระองค์เจ้ ไม่มีเจ้าฟ้าเลย
และยังเคยพูดเป็นนัยบอกแนวทางไว้ วิจารณ์เชื้อพระวงศ์ต่างๆว่ามีข้อเสียไม่เหมาะสม แต่กับรัชกาลที่ 4 กลับกล่าวข้อเสียที่เล็กน้อยมากๆ
แสดงความคิดเห็น
ถามเรื่องการขึ้นครองราช ของ ร.3 และ ร.4 ค่ะ
และหลังจาก ร.2 สวรรคต ทำไมจึงได้กลับมาขึ้นเป็น ร.4
แล้วโอรสของ ร.3ทำไมไม่ได้ขึ้นเป็น ร.3
หรือว่ากฏมณเฑียรบาลสมัยนั้นเขียนไว้อย่างนั้น เพราะดูตอน ร.8,ร.9 ขึ้นครองราช เขาจะไล่สายที่ใกล้พระมหากษัตริย์ที่สุด และหากสายไหนข้ามไปแล้วก็จะไม่กลับมาอีก แต่บังเอิญว่่า ร.6,ร.7 ท่านไม่มีโอรส จึงกลับไปไล่เรียงมาจากโอรสของ ร.5 และก็โชคร้าย สิ้นพระชนน์ไปก่อน(หมดทุกท่านเลยหรือ)จึงต้องมาไล่ชั้นหลาน จึงเป็นเช่น่ปัจจุบัน
พยายามหาข้อมูล เช่นในวิกิ ส่วนใหญ่รวบรัด ไม่อธิบายหรือประติดประต่อ จึงอยากถามผู้รู้ ขอบคุณค่ะ
แก้คำผิด : โอรสของ ร.3 ทำไมจึงไม่ได้ขึ้นเป็น ร.4