ถามเกี่ยวกับคนที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเบอร์ครับ

คนรู้จักป่วยเป็นโรคนี้ซึ่งมีอาการหลงๆลืมๆ ถามคำถามเดิมๆวันนึงเป็นหลายสิบๆครั้ง เพิ่งถามได้2นาทีก็จำไม่ได้ถามใหม่อีกแล้วหลายสิบครั้ง พูดอะไรก็ลืมถามซ้ำๆซากๆ กลางคืนตอนนอนก็ถามปลุกถามรบกวนรบกวนจนคนอื่นรำคาญ คืออยากทราบว่าจะมีวิธีอะไรที่รักษาให้หายหรือทุเลาลงได้ และมีสถานที่ไหนบ้างที่พัฒนา บำบัดหรือฝึกผู้ป่วยโรคนี้เพื่อให้มีกิจกรรมเพราะขณะนี้ผู้ป่วยไม่ได้ทำงานอยู่ที่บ้านทำให้คิดว่าถ้าอยู่แต่ที่บ้านคงไม่ดีแน่ น่าจะหาสถานที่พัฒนาให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมจึงอยากทราบสถานที่และวิธีรักษาหรือชะลออาการ ขอบคุณครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 16
ต้องหาหมออันดับแรกก่อนเลยครับ บางทีอาจไม่ใช่อัลไซเมอร์ก็ได้นะครับ  เพียงแต่เป็นแค่สมองเสื่อมแบบคนแก่ทั่ว ๆ ไป   อัลไซเมอร์มันจะเป็นสมองเสื่อมชนิดนึงที่มีคราบโปรตีนชนิดนึงไปจับที่สมองทำให้สมองส่งสัญญาณสื่อสารกันลำบาก    แต่สมองเสื่อมทั่ว ๆ ไปตามวัยไม่ใช่แบบนั้น

อัลไซเมอร์อาการจะไปไวมากกว่าสมองเสื่อมทั่วไปครับ  และ พฤติกรรมก็จะเป็นลักษณะแบบไร้เหตุผล  ทำอะไรไม่ค่อยมีเหตุมีผล เช่น  กลัวคนขโมยของ  เห็นภาพหลอน  เอาของใช้ไปเก็บในตู้เย็น เป็นต้น

โรคนี้แยกแยะยากระหว่างเสื่อมทั่วไปกับอัลไซเมอร์    ผมพาคุณแม่ไปหาหมอสองโรงพยาบาล  คุณหมอก็วิเคราะห์โรคไม่ตรงกัน  ท่านนึงบอกเริ่มเป็นอัลไซเมอร์ จึงแนะนำให้เริ่มกินยาชลออาการอัลไซเมอร์ซึ่งราคาแพงมากตกเม็ดละ 150 บาทกินทุกวัน  อีกท่านบอกไม่เป็นเพราะถ้าเป็น  อาการจะไปไวมาก    จึงถามคุณหมอท่านที่สองว่าแล้วเราต้องกินยาอัลไซเมอร์หรือไม่   คุณหมอบอกจะกินหรือไม่กินก็ได้  กินก็ไม่เป็นผลเสียเพราะยาตัวนี้ก็มีผลต่อการรักษาลักษณะของอาการสมองเสื่อมแบบทั่วไปได้บ้าง จึงตัดสินใจให้กินต่อ    กินไปได้ประมาณ 3 เดือน รู้สึกว่าอาการแกดีขึ้นครับ ถามซ้ำน้อยลง มีเหตุมีผลมากขึ้น รู้จักคิดวางแผน  หน้าตาเริ่มดีขึ้น(ก่อนหน้านี้หน้าตาเริ่มออกลักษณะเอ๋อ ๆ แล้ว)  รู้จักเป็นห่วงลูกหลาน เริ่มออกความคิดเห็น   เริ่มตอบเราว่าแม่รู้ตัวไม่เป็นอะไรหรอก รู้ว่าเมื่อก่อนงง ๆ จำอะไรไม่ค่อยได้   ผลที่ได้คือผมพอใจครับ ถึงแม้จะไม่หายดีเหมือนเก่า(ก็อ่ะนะแกก็แก่ลงเรื่อย ๆ นี่นะ) แต่ผมยอมรับได้ครับ ยอมเสียเงินซื้อยาให้แกกิน  

สรุปคือตอนนี้ผมเชื่อหมอท่านที่สองมากกว่าว่าแกไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์ครับ  น่าจะเป็นสมองเสื่อมทั่ว ๆ ไปตามวัยคนแก่   เพราะ คุณพ่อผมเป็นอัลไซเมอร์ด้วย  ตอนนี้อยู่ศูนย์ดูแลอยู่(ผมดูแลแกที่บ้านมาร่วมสิบปี จนพวกพี่เลี้ยงที่จ้างมาช่วยเกเร เบี้ยวงานไปหลายคน จนดูคนเดียวไม่ไหวจริง ๆ จึงตัดสินใจฝากให้ศูนย์ดูแลครับ)   เพราะดูคนเดียวไม่ไหวจริง ๆ ครับ เรียกว่าชีวิตเราต้องอยู่กับเขาตลอดถ้าจะดูกันจริง ๆ ไม่ต้องทำการทำงานเลยก็ว่าได้    การดูก็ลำบากมาก ๆ  เครียดอีกต่างหากนะครับ   อึแตกฉี่แตกนี่ไม่ต้องพูดถึง  จูงเดินเข้าห้องน้ำเข้าไปลุยกันในห้องน้ำนับครั้งไม่ถ้วน  ทำแม้กระทั่งเวลาแกท้องผูกเบ่งไม่เป็น   เราต้องใส่ถุงมือไปช่วยแกนั่งแคะออกมา  ซึ่งไม่ใช่ง่าย ๆ เลย มันเหนียวเอาออกยากมาก(ไม่อยากจะเล่าเลย บางท่านอาจรับไม่ได้)     ล้างก้นนี่ไม่ใช่ล้างแบบล้างตัวเราเองนะครับ  เพราะมันจะเลอะกระจายเต็มก้นทั้งก้นครับ โดยเฉพาะตอนกินยาระบายนี่เต็มแพมเพอร์สทีเดียว  ลองคิดสภาพดูกันเอาเองละกันนะครับ เราต้องลุยกับแกในห้องน้ำ ต้องจมอยู่กับกลิ่น ต้องลงมือล้าง  พอนะเดี๋ยวกินข้าวไม่ลง

นอกจากนี้ยังมีภาระอีกมากมายที่ต้องทำให้แก  ต้องใส่กางเกง เปลี่ยนแพมเพอร์ส อาบน้ำ ป้อนข้าว พลิกตัว ให้ยา  เรียกว่า หนักทีเดียว

ของคุณแนะนำพาหาหมอก่อนเลยครับ   หมอบางท่าน(ส่วนใหญ่ตามโรงพยาบาลรัฐ) ไม่ค่อยแนะนำให้กินยาตัวแพงที่ผมบอกเพราะทัศนคติแต่ละท่านไม่เหมือนกัน บางท่านไม่เชื่อว่ายาจะรักษาหรือชะลออาการได้ ก็เลยมีความคิดว่ามันเป็นการสิ้นเปลืองเปล่า   บางท่านให้ความสำคัญกับการใช้ยามาก   ที่บอกอย่างนี้เพราะเรื่องอัลไซเมอร์นี่หมอบางคนยังไม่รอบรู้นะครับ  แล้วแต่ว่าคุณจะเจอหมอแบบไหน

อีกอย่างที่พอช่วยได้คือต้องพยายามอย่าให้ผู้ป่วยเครียด  ควรพาไปเที่ยวหรือไปเยี่ยมลูกหลานบ่อย ๆ คือต้องให้มีกิจกรรมทำ อย่าปล่อยอยู่คนเดียว ถ้าอยู่บ้านต้องมีเพื่อนคุย เพื่อนเล่น อาจให้หลานเล่นด้วย เช่น เอาเกมส์ต่าง ๆ มาเล่นด้วยกัน เป็นต้น  ชวนพูดคุยเรื่องเก่า ๆ ด้วยเพื่อให้สมองกระตือรือร้นที่จะคิดคำพูดสนทนา      จะต้องกระตุ้นด้วย รูป รส กลิ่น เสียง ครับ สมองจึงจะไม่ดาวน์ลงเร็ว   ทำแบบนี้ควบคู่กับกินยา  ผมเชื่อเลยว่า มีโอกาสกลับมาใกล้เคียงกับเดิมสูงครับ หรือ ไม่ก็ชลออาการได้ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยแน่นอนครับ   ถึงเวลานั้นคนที่ลำบากคือคนดูแลแล้วครับ  และถึงเวลานั้นไม่มียาอะไรกู้สภาพคืนมาได้แล้ว

เคยอ่านผลการเก็บสถิติว่า คนที่คู่ชีวิตเสียชีวิตไปก่อน   คนที่เหลือมีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์สูงกว่าคนทั่วไปครับ   ซึ่งผมสันนิษฐานว่าที่เป็นเช่นนั้นน่าจะเกิดจากสมองขาดคู่คิดคู่สนทนา  บวกกับจิตใจหดหู่ เกิดความเครียด  วิถีชีวิตเปลี่ยน ไม่มีคู่อยู่คอยรับฟังหรือพูดด้วย  ทำให้สมองเสียไวครับ  ซึ่งพอชีวิตประจำวันเปลี่ยนมาเป็นแบบเงียบเหงา(เช่นคู่ตาย หรือ เกษียณแล้วไม่มีงานอดิเรกทำ ไม่เข้าสังคม) ทำให้สมองหลั่งสารเคมีหรือโปรตีนชนิดนึงจนไปจับที่สมองทำให้สมองส่งสัญญาณสื่อสารกันไม่ได้ครับ   ฉะนั้นเราต้องรู้ตัวเอง อย่าปล่อยให้สมองว่างเกินไป หรือ เครียดเกินไป พักผ่อนน้อยไป     สิ่งนึงที่เป็นยาวิเศษคือ การจัดสรรเวลาไปออกกำลังกายครับ ผมเชื่อว่า คนที่ออกกำลังกายประจำน่าจะเป็นอัลไซเมอร์น้อยกว่าคนไม่ได้ออกแน่ ๆ ครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
แต่ก่อนคุณพ่อของเราก็เคยเป็นค่ะ อาการหนักแบบว่าจำคนอื่นไม่ได้เลย ต้องคอยบอกว่าคนนี้คือลูกนะ
คนนี้คือภรรยานะ จำทางกลับบ้านก็ไม่ได้เลย

ตอนคุณพ่อกลับมาพักฟื้นที่บ้านใหม่ๆ ต้องใช้ความอดทนและความเข้าใจมากๆ เพราะอารมณ์แปรปรวนสุดๆ

แต่ตอนนี้อาการดีขึ้นมากๆแล้วค่ะ สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เดินทางคนเดียวได้ ขับรถได้
แต่ยังคงต้องไปหาหมอและทานยาเรื่อยๆ (รพ.สมเด็จเจ้าพระยา คลองสาน)

ซึ่งที่คุณพ่ออาการดีขึ้น อาจเป็นเพราะคุณแม่พยายามให้คุณพ่อทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆ ฝึกให้ใช้สมอง ใ้ช้ความคิด
เย็นๆก็พาไปเดินออกกำลังกายในสวนแถวบ้าน พยายามไม่ให้นั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆ พอคุณพ่อได้ฝึกใช้สมอง ออกกำลังกาย
ไปพบแพทย์สม่ำเสมอ อาการเลยดีวันดีคืนค่ะ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษา ก็คือ ความรัก ความอดทน และความเข้าใจ จากครอบครัว คนใกล้ชิด
ลูกๆหลานๆ ซึ่งเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้นะคะ

ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้นะคะ
ความคิดเห็นที่ 3
ในฐานะที่มีคุณพ่อป่วยเป็นสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ ขอบอกว่าภาวนาให้ท่านไม่แย่ลงไปกว่าเดิมดีกว่าค่ะ วันนี้ยังพูดได้ถามได้ ยังพอจะบอกความต้องการได้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้วค่ะ เพราะต่อไปความสามารถต่างๆจะถดถอยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลืมแม้กระทั่งการใช้ชีวิตประจำวัน การยืน เดิน นั่ง นอน การทานอาหาร การกลืน ทุกอย่างจะค่อยๆ ถดถอยลงไป เริ่มทำใจไว้ได้เลยค่ะ แนะนำให้ดูแลสุขภาพร่างกายท่านให้ดีค่ะ เอาใจใส่ท่านให้มากขึ้นกว่าเดิม จัดสิ่งแวดล้อมและคนที่ท่านคุ้นเคยช่วยดูแลท่านค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่