คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 16
ต้องหาหมออันดับแรกก่อนเลยครับ บางทีอาจไม่ใช่อัลไซเมอร์ก็ได้นะครับ เพียงแต่เป็นแค่สมองเสื่อมแบบคนแก่ทั่ว ๆ ไป อัลไซเมอร์มันจะเป็นสมองเสื่อมชนิดนึงที่มีคราบโปรตีนชนิดนึงไปจับที่สมองทำให้สมองส่งสัญญาณสื่อสารกันลำบาก แต่สมองเสื่อมทั่ว ๆ ไปตามวัยไม่ใช่แบบนั้น
อัลไซเมอร์อาการจะไปไวมากกว่าสมองเสื่อมทั่วไปครับ และ พฤติกรรมก็จะเป็นลักษณะแบบไร้เหตุผล ทำอะไรไม่ค่อยมีเหตุมีผล เช่น กลัวคนขโมยของ เห็นภาพหลอน เอาของใช้ไปเก็บในตู้เย็น เป็นต้น
โรคนี้แยกแยะยากระหว่างเสื่อมทั่วไปกับอัลไซเมอร์ ผมพาคุณแม่ไปหาหมอสองโรงพยาบาล คุณหมอก็วิเคราะห์โรคไม่ตรงกัน ท่านนึงบอกเริ่มเป็นอัลไซเมอร์ จึงแนะนำให้เริ่มกินยาชลออาการอัลไซเมอร์ซึ่งราคาแพงมากตกเม็ดละ 150 บาทกินทุกวัน อีกท่านบอกไม่เป็นเพราะถ้าเป็น อาการจะไปไวมาก จึงถามคุณหมอท่านที่สองว่าแล้วเราต้องกินยาอัลไซเมอร์หรือไม่ คุณหมอบอกจะกินหรือไม่กินก็ได้ กินก็ไม่เป็นผลเสียเพราะยาตัวนี้ก็มีผลต่อการรักษาลักษณะของอาการสมองเสื่อมแบบทั่วไปได้บ้าง จึงตัดสินใจให้กินต่อ กินไปได้ประมาณ 3 เดือน รู้สึกว่าอาการแกดีขึ้นครับ ถามซ้ำน้อยลง มีเหตุมีผลมากขึ้น รู้จักคิดวางแผน หน้าตาเริ่มดีขึ้น(ก่อนหน้านี้หน้าตาเริ่มออกลักษณะเอ๋อ ๆ แล้ว) รู้จักเป็นห่วงลูกหลาน เริ่มออกความคิดเห็น เริ่มตอบเราว่าแม่รู้ตัวไม่เป็นอะไรหรอก รู้ว่าเมื่อก่อนงง ๆ จำอะไรไม่ค่อยได้ ผลที่ได้คือผมพอใจครับ ถึงแม้จะไม่หายดีเหมือนเก่า(ก็อ่ะนะแกก็แก่ลงเรื่อย ๆ นี่นะ) แต่ผมยอมรับได้ครับ ยอมเสียเงินซื้อยาให้แกกิน
สรุปคือตอนนี้ผมเชื่อหมอท่านที่สองมากกว่าว่าแกไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์ครับ น่าจะเป็นสมองเสื่อมทั่ว ๆ ไปตามวัยคนแก่ เพราะ คุณพ่อผมเป็นอัลไซเมอร์ด้วย ตอนนี้อยู่ศูนย์ดูแลอยู่(ผมดูแลแกที่บ้านมาร่วมสิบปี จนพวกพี่เลี้ยงที่จ้างมาช่วยเกเร เบี้ยวงานไปหลายคน จนดูคนเดียวไม่ไหวจริง ๆ จึงตัดสินใจฝากให้ศูนย์ดูแลครับ) เพราะดูคนเดียวไม่ไหวจริง ๆ ครับ เรียกว่าชีวิตเราต้องอยู่กับเขาตลอดถ้าจะดูกันจริง ๆ ไม่ต้องทำการทำงานเลยก็ว่าได้ การดูก็ลำบากมาก ๆ เครียดอีกต่างหากนะครับ อึแตกฉี่แตกนี่ไม่ต้องพูดถึง จูงเดินเข้าห้องน้ำเข้าไปลุยกันในห้องน้ำนับครั้งไม่ถ้วน ทำแม้กระทั่งเวลาแกท้องผูกเบ่งไม่เป็น เราต้องใส่ถุงมือไปช่วยแกนั่งแคะออกมา ซึ่งไม่ใช่ง่าย ๆ เลย มันเหนียวเอาออกยากมาก(ไม่อยากจะเล่าเลย บางท่านอาจรับไม่ได้) ล้างก้นนี่ไม่ใช่ล้างแบบล้างตัวเราเองนะครับ เพราะมันจะเลอะกระจายเต็มก้นทั้งก้นครับ โดยเฉพาะตอนกินยาระบายนี่เต็มแพมเพอร์สทีเดียว ลองคิดสภาพดูกันเอาเองละกันนะครับ เราต้องลุยกับแกในห้องน้ำ ต้องจมอยู่กับกลิ่น ต้องลงมือล้าง พอนะเดี๋ยวกินข้าวไม่ลง
นอกจากนี้ยังมีภาระอีกมากมายที่ต้องทำให้แก ต้องใส่กางเกง เปลี่ยนแพมเพอร์ส อาบน้ำ ป้อนข้าว พลิกตัว ให้ยา เรียกว่า หนักทีเดียว
ของคุณแนะนำพาหาหมอก่อนเลยครับ หมอบางท่าน(ส่วนใหญ่ตามโรงพยาบาลรัฐ) ไม่ค่อยแนะนำให้กินยาตัวแพงที่ผมบอกเพราะทัศนคติแต่ละท่านไม่เหมือนกัน บางท่านไม่เชื่อว่ายาจะรักษาหรือชะลออาการได้ ก็เลยมีความคิดว่ามันเป็นการสิ้นเปลืองเปล่า บางท่านให้ความสำคัญกับการใช้ยามาก ที่บอกอย่างนี้เพราะเรื่องอัลไซเมอร์นี่หมอบางคนยังไม่รอบรู้นะครับ แล้วแต่ว่าคุณจะเจอหมอแบบไหน
อีกอย่างที่พอช่วยได้คือต้องพยายามอย่าให้ผู้ป่วยเครียด ควรพาไปเที่ยวหรือไปเยี่ยมลูกหลานบ่อย ๆ คือต้องให้มีกิจกรรมทำ อย่าปล่อยอยู่คนเดียว ถ้าอยู่บ้านต้องมีเพื่อนคุย เพื่อนเล่น อาจให้หลานเล่นด้วย เช่น เอาเกมส์ต่าง ๆ มาเล่นด้วยกัน เป็นต้น ชวนพูดคุยเรื่องเก่า ๆ ด้วยเพื่อให้สมองกระตือรือร้นที่จะคิดคำพูดสนทนา จะต้องกระตุ้นด้วย รูป รส กลิ่น เสียง ครับ สมองจึงจะไม่ดาวน์ลงเร็ว ทำแบบนี้ควบคู่กับกินยา ผมเชื่อเลยว่า มีโอกาสกลับมาใกล้เคียงกับเดิมสูงครับ หรือ ไม่ก็ชลออาการได้ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยแน่นอนครับ ถึงเวลานั้นคนที่ลำบากคือคนดูแลแล้วครับ และถึงเวลานั้นไม่มียาอะไรกู้สภาพคืนมาได้แล้ว
เคยอ่านผลการเก็บสถิติว่า คนที่คู่ชีวิตเสียชีวิตไปก่อน คนที่เหลือมีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์สูงกว่าคนทั่วไปครับ ซึ่งผมสันนิษฐานว่าที่เป็นเช่นนั้นน่าจะเกิดจากสมองขาดคู่คิดคู่สนทนา บวกกับจิตใจหดหู่ เกิดความเครียด วิถีชีวิตเปลี่ยน ไม่มีคู่อยู่คอยรับฟังหรือพูดด้วย ทำให้สมองเสียไวครับ ซึ่งพอชีวิตประจำวันเปลี่ยนมาเป็นแบบเงียบเหงา(เช่นคู่ตาย หรือ เกษียณแล้วไม่มีงานอดิเรกทำ ไม่เข้าสังคม) ทำให้สมองหลั่งสารเคมีหรือโปรตีนชนิดนึงจนไปจับที่สมองทำให้สมองส่งสัญญาณสื่อสารกันไม่ได้ครับ ฉะนั้นเราต้องรู้ตัวเอง อย่าปล่อยให้สมองว่างเกินไป หรือ เครียดเกินไป พักผ่อนน้อยไป สิ่งนึงที่เป็นยาวิเศษคือ การจัดสรรเวลาไปออกกำลังกายครับ ผมเชื่อว่า คนที่ออกกำลังกายประจำน่าจะเป็นอัลไซเมอร์น้อยกว่าคนไม่ได้ออกแน่ ๆ ครับ
อัลไซเมอร์อาการจะไปไวมากกว่าสมองเสื่อมทั่วไปครับ และ พฤติกรรมก็จะเป็นลักษณะแบบไร้เหตุผล ทำอะไรไม่ค่อยมีเหตุมีผล เช่น กลัวคนขโมยของ เห็นภาพหลอน เอาของใช้ไปเก็บในตู้เย็น เป็นต้น
โรคนี้แยกแยะยากระหว่างเสื่อมทั่วไปกับอัลไซเมอร์ ผมพาคุณแม่ไปหาหมอสองโรงพยาบาล คุณหมอก็วิเคราะห์โรคไม่ตรงกัน ท่านนึงบอกเริ่มเป็นอัลไซเมอร์ จึงแนะนำให้เริ่มกินยาชลออาการอัลไซเมอร์ซึ่งราคาแพงมากตกเม็ดละ 150 บาทกินทุกวัน อีกท่านบอกไม่เป็นเพราะถ้าเป็น อาการจะไปไวมาก จึงถามคุณหมอท่านที่สองว่าแล้วเราต้องกินยาอัลไซเมอร์หรือไม่ คุณหมอบอกจะกินหรือไม่กินก็ได้ กินก็ไม่เป็นผลเสียเพราะยาตัวนี้ก็มีผลต่อการรักษาลักษณะของอาการสมองเสื่อมแบบทั่วไปได้บ้าง จึงตัดสินใจให้กินต่อ กินไปได้ประมาณ 3 เดือน รู้สึกว่าอาการแกดีขึ้นครับ ถามซ้ำน้อยลง มีเหตุมีผลมากขึ้น รู้จักคิดวางแผน หน้าตาเริ่มดีขึ้น(ก่อนหน้านี้หน้าตาเริ่มออกลักษณะเอ๋อ ๆ แล้ว) รู้จักเป็นห่วงลูกหลาน เริ่มออกความคิดเห็น เริ่มตอบเราว่าแม่รู้ตัวไม่เป็นอะไรหรอก รู้ว่าเมื่อก่อนงง ๆ จำอะไรไม่ค่อยได้ ผลที่ได้คือผมพอใจครับ ถึงแม้จะไม่หายดีเหมือนเก่า(ก็อ่ะนะแกก็แก่ลงเรื่อย ๆ นี่นะ) แต่ผมยอมรับได้ครับ ยอมเสียเงินซื้อยาให้แกกิน
สรุปคือตอนนี้ผมเชื่อหมอท่านที่สองมากกว่าว่าแกไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์ครับ น่าจะเป็นสมองเสื่อมทั่ว ๆ ไปตามวัยคนแก่ เพราะ คุณพ่อผมเป็นอัลไซเมอร์ด้วย ตอนนี้อยู่ศูนย์ดูแลอยู่(ผมดูแลแกที่บ้านมาร่วมสิบปี จนพวกพี่เลี้ยงที่จ้างมาช่วยเกเร เบี้ยวงานไปหลายคน จนดูคนเดียวไม่ไหวจริง ๆ จึงตัดสินใจฝากให้ศูนย์ดูแลครับ) เพราะดูคนเดียวไม่ไหวจริง ๆ ครับ เรียกว่าชีวิตเราต้องอยู่กับเขาตลอดถ้าจะดูกันจริง ๆ ไม่ต้องทำการทำงานเลยก็ว่าได้ การดูก็ลำบากมาก ๆ เครียดอีกต่างหากนะครับ อึแตกฉี่แตกนี่ไม่ต้องพูดถึง จูงเดินเข้าห้องน้ำเข้าไปลุยกันในห้องน้ำนับครั้งไม่ถ้วน ทำแม้กระทั่งเวลาแกท้องผูกเบ่งไม่เป็น เราต้องใส่ถุงมือไปช่วยแกนั่งแคะออกมา ซึ่งไม่ใช่ง่าย ๆ เลย มันเหนียวเอาออกยากมาก(ไม่อยากจะเล่าเลย บางท่านอาจรับไม่ได้) ล้างก้นนี่ไม่ใช่ล้างแบบล้างตัวเราเองนะครับ เพราะมันจะเลอะกระจายเต็มก้นทั้งก้นครับ โดยเฉพาะตอนกินยาระบายนี่เต็มแพมเพอร์สทีเดียว ลองคิดสภาพดูกันเอาเองละกันนะครับ เราต้องลุยกับแกในห้องน้ำ ต้องจมอยู่กับกลิ่น ต้องลงมือล้าง พอนะเดี๋ยวกินข้าวไม่ลง
นอกจากนี้ยังมีภาระอีกมากมายที่ต้องทำให้แก ต้องใส่กางเกง เปลี่ยนแพมเพอร์ส อาบน้ำ ป้อนข้าว พลิกตัว ให้ยา เรียกว่า หนักทีเดียว
ของคุณแนะนำพาหาหมอก่อนเลยครับ หมอบางท่าน(ส่วนใหญ่ตามโรงพยาบาลรัฐ) ไม่ค่อยแนะนำให้กินยาตัวแพงที่ผมบอกเพราะทัศนคติแต่ละท่านไม่เหมือนกัน บางท่านไม่เชื่อว่ายาจะรักษาหรือชะลออาการได้ ก็เลยมีความคิดว่ามันเป็นการสิ้นเปลืองเปล่า บางท่านให้ความสำคัญกับการใช้ยามาก ที่บอกอย่างนี้เพราะเรื่องอัลไซเมอร์นี่หมอบางคนยังไม่รอบรู้นะครับ แล้วแต่ว่าคุณจะเจอหมอแบบไหน
อีกอย่างที่พอช่วยได้คือต้องพยายามอย่าให้ผู้ป่วยเครียด ควรพาไปเที่ยวหรือไปเยี่ยมลูกหลานบ่อย ๆ คือต้องให้มีกิจกรรมทำ อย่าปล่อยอยู่คนเดียว ถ้าอยู่บ้านต้องมีเพื่อนคุย เพื่อนเล่น อาจให้หลานเล่นด้วย เช่น เอาเกมส์ต่าง ๆ มาเล่นด้วยกัน เป็นต้น ชวนพูดคุยเรื่องเก่า ๆ ด้วยเพื่อให้สมองกระตือรือร้นที่จะคิดคำพูดสนทนา จะต้องกระตุ้นด้วย รูป รส กลิ่น เสียง ครับ สมองจึงจะไม่ดาวน์ลงเร็ว ทำแบบนี้ควบคู่กับกินยา ผมเชื่อเลยว่า มีโอกาสกลับมาใกล้เคียงกับเดิมสูงครับ หรือ ไม่ก็ชลออาการได้ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยแน่นอนครับ ถึงเวลานั้นคนที่ลำบากคือคนดูแลแล้วครับ และถึงเวลานั้นไม่มียาอะไรกู้สภาพคืนมาได้แล้ว
เคยอ่านผลการเก็บสถิติว่า คนที่คู่ชีวิตเสียชีวิตไปก่อน คนที่เหลือมีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์สูงกว่าคนทั่วไปครับ ซึ่งผมสันนิษฐานว่าที่เป็นเช่นนั้นน่าจะเกิดจากสมองขาดคู่คิดคู่สนทนา บวกกับจิตใจหดหู่ เกิดความเครียด วิถีชีวิตเปลี่ยน ไม่มีคู่อยู่คอยรับฟังหรือพูดด้วย ทำให้สมองเสียไวครับ ซึ่งพอชีวิตประจำวันเปลี่ยนมาเป็นแบบเงียบเหงา(เช่นคู่ตาย หรือ เกษียณแล้วไม่มีงานอดิเรกทำ ไม่เข้าสังคม) ทำให้สมองหลั่งสารเคมีหรือโปรตีนชนิดนึงจนไปจับที่สมองทำให้สมองส่งสัญญาณสื่อสารกันไม่ได้ครับ ฉะนั้นเราต้องรู้ตัวเอง อย่าปล่อยให้สมองว่างเกินไป หรือ เครียดเกินไป พักผ่อนน้อยไป สิ่งนึงที่เป็นยาวิเศษคือ การจัดสรรเวลาไปออกกำลังกายครับ ผมเชื่อว่า คนที่ออกกำลังกายประจำน่าจะเป็นอัลไซเมอร์น้อยกว่าคนไม่ได้ออกแน่ ๆ ครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
แต่ก่อนคุณพ่อของเราก็เคยเป็นค่ะ อาการหนักแบบว่าจำคนอื่นไม่ได้เลย ต้องคอยบอกว่าคนนี้คือลูกนะ
คนนี้คือภรรยานะ จำทางกลับบ้านก็ไม่ได้เลย
ตอนคุณพ่อกลับมาพักฟื้นที่บ้านใหม่ๆ ต้องใช้ความอดทนและความเข้าใจมากๆ เพราะอารมณ์แปรปรวนสุดๆ
แต่ตอนนี้อาการดีขึ้นมากๆแล้วค่ะ สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เดินทางคนเดียวได้ ขับรถได้
แต่ยังคงต้องไปหาหมอและทานยาเรื่อยๆ (รพ.สมเด็จเจ้าพระยา คลองสาน)
ซึ่งที่คุณพ่ออาการดีขึ้น อาจเป็นเพราะคุณแม่พยายามให้คุณพ่อทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆ ฝึกให้ใช้สมอง ใ้ช้ความคิด
เย็นๆก็พาไปเดินออกกำลังกายในสวนแถวบ้าน พยายามไม่ให้นั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆ พอคุณพ่อได้ฝึกใช้สมอง ออกกำลังกาย
ไปพบแพทย์สม่ำเสมอ อาการเลยดีวันดีคืนค่ะ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษา ก็คือ ความรัก ความอดทน และความเข้าใจ จากครอบครัว คนใกล้ชิด
ลูกๆหลานๆ ซึ่งเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้นะคะ
ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้นะคะ
คนนี้คือภรรยานะ จำทางกลับบ้านก็ไม่ได้เลย
ตอนคุณพ่อกลับมาพักฟื้นที่บ้านใหม่ๆ ต้องใช้ความอดทนและความเข้าใจมากๆ เพราะอารมณ์แปรปรวนสุดๆ
แต่ตอนนี้อาการดีขึ้นมากๆแล้วค่ะ สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เดินทางคนเดียวได้ ขับรถได้
แต่ยังคงต้องไปหาหมอและทานยาเรื่อยๆ (รพ.สมเด็จเจ้าพระยา คลองสาน)
ซึ่งที่คุณพ่ออาการดีขึ้น อาจเป็นเพราะคุณแม่พยายามให้คุณพ่อทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆ ฝึกให้ใช้สมอง ใ้ช้ความคิด
เย็นๆก็พาไปเดินออกกำลังกายในสวนแถวบ้าน พยายามไม่ให้นั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆ พอคุณพ่อได้ฝึกใช้สมอง ออกกำลังกาย
ไปพบแพทย์สม่ำเสมอ อาการเลยดีวันดีคืนค่ะ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษา ก็คือ ความรัก ความอดทน และความเข้าใจ จากครอบครัว คนใกล้ชิด
ลูกๆหลานๆ ซึ่งเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้นะคะ
ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้นะคะ
ความคิดเห็นที่ 3
ในฐานะที่มีคุณพ่อป่วยเป็นสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ ขอบอกว่าภาวนาให้ท่านไม่แย่ลงไปกว่าเดิมดีกว่าค่ะ วันนี้ยังพูดได้ถามได้ ยังพอจะบอกความต้องการได้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้วค่ะ เพราะต่อไปความสามารถต่างๆจะถดถอยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลืมแม้กระทั่งการใช้ชีวิตประจำวัน การยืน เดิน นั่ง นอน การทานอาหาร การกลืน ทุกอย่างจะค่อยๆ ถดถอยลงไป เริ่มทำใจไว้ได้เลยค่ะ แนะนำให้ดูแลสุขภาพร่างกายท่านให้ดีค่ะ เอาใจใส่ท่านให้มากขึ้นกว่าเดิม จัดสิ่งแวดล้อมและคนที่ท่านคุ้นเคยช่วยดูแลท่านค่ะ
แสดงความคิดเห็น
ถามเกี่ยวกับคนที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเบอร์ครับ