ในวันนั้น ที่ฉันเป็นมะเร็ง ณ วันนี้ ฉันหายจากมะเร็งแล้ว ขอให้กระทู้นี้เป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยมะเร็งทุกท่านค่ะ

สวัสดีค่ะ นาน ๆ เราจะตั้งกระทู้สักที ถ้าไม่จำเป็นหรือ ต้องการคำปรึกษาจริงๆ ก็จะเป็นผู้อ่านซะมากกว่า ได้อ่านกระทู้เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ รู้สึกจุกแน่นที่หัวใจ บางกระทู้มันเศร้าเหลือเกิน
หัวใจฉันคอยแต่จะสั่นไหวตามอารมณ์ของผู้เขียน ตัวฉันเองก็เพิ่งหายป่วย อยากจะแบ่งปันประสบการณ์และมอบกำลังใจให้กับผู้ป่วยทุกท่านค่ะ

ฉันอายุ 27 ค่ะ เป็นพนักงานบริษัท ธรรมดาคนหนึ่ง ฉันเป็นมะเร็งค่ะ ที่ไทรอยด์ ระยะไหนหมอไม่บอก บอกแต่ว่ากระจายเข้ากระแสเลือดและต่อมน้ำเหลือง เมื่อต้อนต้นปี2555 ตอนนั้นอายุ 26 ก็อยู่ในช่วงวัยรุ่นปลาย ๆ นี่แหล่ะ ใช้ชีวิตสบาย ๆ ทำงาน ไปวัน ๆ พร้อมกับเรียนปริญญาไปด้วย

ช่วงเดือนมกราคม 2555 ฉันตื่นขึ้นมาแล้วเจ็บคอมาก มากที่ไม่เคยเจ็บมาก่อนในชีวิต เจ็บอยู่ประมาณ 2-3 วัน ก็หายไปเอง ฉันก็ยังใช้ชีวิตปกติ แต่เหมือนคอของฉันมันจะบวม ๆ เหมือนมีก้อนแข็ง ๆ ขึ้นมา ฉันก็ยังนิ่งนอนใจ 555+ ชะล่าใจไง อิๆ จนถึงเดือนเมษายน เพื่อนที่ทำงานสังเกตุเห็น และก็บังคับให้ฉันไปหาหมอ ถึงเวลาแล้วสิที่ฉันต้องไปหาหมอ พอไปหาหมอ เขาก็จับที่คอ ดึงที่ก้อน เคล้น แรงมาก เหมือนหมอแกล้งเลยอ่ะ คอฉันแดงไปหมด แต่ไม่เจ็บแฮะ ผลการวินิจฉัย เขาบอกว่าลูกกระเดือกฉันอักเสบ (ประกันสังคมนะคะ) ฉันก็เถียงกับหมอ ว่าจะอักเสบได้ไง สรุป หมอเถียงชนะ  ฉันก็เชื่อหมอ รับยาแก้อักเสบ ยาฆ่าเชื้อกลับบ้านมากิน หมอบอกถ้ายาหมด แล้วไม่หายให้มาอีก แต่ฉันไม่ได้กินยาหรอกนะ แบบว่าเกลียดการกินยามากอ่ะ ปรากฎว่าไม่ยุบ ก็ไปหาหมออีก คราวนี้เถียงหมอคอเป็นเอ็น555 จนหมอส่งตัวไปหาหมออีกท่าน เป็นศัลแพทย์ พอเขาเห็นเท่านั้นแหล่ะ สั่งผ่าตัดทันที เรายัง งงๆ อยู่เลยไม่ขอผ่า กลัวมาก หมอบอกมันจะใหญ่ขึ้น ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นมะเร็ง นีกว่าคอหอยพอก ส่งไปอัลตร้าซาวน์ ก้อนนั้นมีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงมาก ยังไงก็ต้องผ่า

ฉันได้ผ่าตัดหลังสงกรานต์ เครือญาติต้องมาจากตจว.เพื่อเฝ้าไข้ เพราะฉันมาทำงานต่างถิ่น มีแต่แฟนคนเดียวที่ดูแลตลอด ก่อนผ่าตัดฉันกังวลมาก ด้วยมีโรคประจำตัว ความดันโลหิตสูง ไขมัน บลา ๆ หมอบอก อาจน็อคยาสลบ อาจไม่มีเสียง อาจเสียงแหบ โอยเครียด ด้วยการทำงานต้องใช้เสียงด้วย ปรากฎว่าการผ่าตัดผ่านไปด้วยดี แต่ฉันทรมานมาก เจ็บระบมที่คอไปหมด นึกไปถึงกรรมเก่าต่าง ๆ นาๆ ว่าไปทำอะไรมา ถึงได้โดนเชือดคอแบบนี้ มีกระบอกรองเลือดติดที่คอตลอด หิ้วติดตัวเหมือนของมีค่ายิ่ง แต่ในความเจ็บปวด ฉันได้รับรู้ว่า ทุกคนรักฉัน อยู่ รพ. 3 วัน อีกสัปดาห์ ตัดไหม ฟังผล ฉันดีใจตามประสาคนขี้เกียจ ว่าจะได้ลาป่วยเป็นเดือน ทั้งที่ทำงานและมหาวิทยาลัย อิๆ คิดโปรแกรมท่องเที่ยว ทั้งที่คอพันแผลหนาเตอะ

วันฟังผล ฉันมากับแฟน 2 คน แต่ฉันเข้าไปฟังผลคนเดียว หมอบอกให้เรียกญาติเข้ามาด้วย ฉันก็ทำตาม เรียกแฟนเข้ามา เพราะญาติกลับหมดแล้ว ผลการตรวจชิ้นเนื้อ ฉันเป็นมะเร็งไทรอยด์ เชื้อมะเร็งลามเข้ากระแสเลือด และต่อมน้ำเหลืองแล้ว อารมณ์ตอนนั้น มะเร็งไทรอยด์คืออะไร งง ช็อค แบบสติหลุดโลก อายุ 26 เอง ยังเรียนไม่จบ ครอบครัว ไหนจะเงินค่ารักษาล่ะ แฟนจะทิ้งหรือเปล่า ฯลฯ เรียกได้ว่าเดินไม่เป็นเลยทีเดียว ฉันนั่งร้องไห้ หน้าห้องตรวจ คนอื่นมองเยอะแยะ แต่ฉันไม่สน มีแค่แฟนยืนเคียงข้าง ฉันโทรกลับบ้าน คนที่บ้านแย่ไปตาม ๆ กัน หมอคนที่ผ่าตัดบอกว่าอย่าหนีไปไหนนะ ให้มารักษาตัว หายแน่นอน แต่หมอก็ไม่บอกอีกแหล่ะ ว่าระยะไหน

ผ่าตัดอีกครั้ง 10 พฤษภา 2555 เปลี่ยนเป็นหมอ หู คอ จมูก เนื่องจากคนแรกไม่ชำนาญ ก่อนผ่าก็เอกซเรย์หลัง อธิบายการวางยาสลบ เจ็บตัวอีกครั้งหนักกว่าเก่า แผลผ่ายาว ไปถึง หู ข้างขวา เพราะต้องเอาต่อมน้ำเหลืองออก ฉันทรมานมาก ต้องรับยาทางเส้นเลือด ปวดสุดๆ ร้องไห้สะอึกสะอื้น ตลอดเวลาที่ยาเดินเข้าเส้น แม่ฉันทนไม่ไหว ว่าฉัน ไม่อดทน ว่าต่างๆ นาๆ ด้วยสภาพจิตใจและร่างกายในตอนนั้นของฉัน ทำให้ฉันไล่แม่ออกไปจากห้อง (แย่จริงๆ) แม่ออกไปยืนร้องไห้คนเดียว (นางพยาบาลบอกตอนเช้า แถมว่าฉันอีก ทำให้แม่ร้องไห้) 7 วันเต็ม ๆ ที่นอน รพ.ต้องตรวจเลือดตลอด เพื่อดูแคลเซียม ถ้าต่ำ อาจชักได้ ตลอดเวลาที่ฉันแย่ แฟนอยู่ข้างฉันตลอด นอนข้างเตียงฉัน แค่ฉันขยับตัว เขาก็ลุกมาดูฉันแล้ว ดูแลแม้กระทั่งเทปัสสาวะใส่ขวด (หมอเก็บปัสสาวะ) เขากระซิบข้างหูฉันว่าเขาจะไม่ทิ้งฉันไปไหน ฉันรู้สึกดีมาก ไม่อยากเป็นมะเร็งเลย

หมอกระดูกเข้าพบ ผลการเอกซเรย์หลัง ปรากฎว่า กระดูกก้นกบฉันหายไป !!! โอ้แม่เจ้า ฉันไม่รอดแน่ หมอบอกว่าจะส่งไปสแกนกระดูก อีกครั้ง  ในช่วงเวลานั้นทุกคนเครียดมาก แย่ไปตาม ๆ กัน มันทำให้ฉันคิดได้ว่า อย่าทำตัวให้ทุกคนเป็นห่วง โดยเฉพาะยาย ที่รักของฉัน ฉันเริ่ม ร่าเริง สดชื่น กินทุกอย่างที่อยากกิน (หมอไม่ห้ามเลย) เพื่อให้คนรอบข้างรู้สึกผ่อนคลาย

ออกเดินทางสู่ประสบการณ์ กับการรักษามะเร็งไทรอยด์
ฉันต้องเดินทางไปรักษาตัวในกรุงเทพ ซึ่งก็ไม่ไกลจาก จังหวัดที่ฉันทำงานอยู่ ไปแสกนกระดูกที่ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ คนป่วยเยอะแยะ หนักบ้าง เบาบ้าง ทำให้ใจฉันสู้ขึ้นมาทันที คนอื่นเป็นเยอะแยะ ต้องหายสิ เตือนตัวเองตลอด

12 มิถุนายน 2555 กับการกลืนแร่รังสี ไอโอดีน 131
ฉันโชคดีที่เป็นมะเร็งที่ไม่ต้องคีโม และไม่ต้องฉายแสง จากที่ศึกษาข้อมูลมาอย่างเต็มที่เพราะตัวเองเป็น ทำให้ฉันรู้ว่าการรักษาต้องกินแร่รังสี ไอโอดีน เพื่อให้รังสีไปฆ่าเชื้อมะเร็งตามร่างกายที่เชื้อกระจายไปถึง ฉันต้องไปนอนค้างเพื่อรับแร่ ที่สถานพยาบาลศูนย์มะเร็งกรุงเทพ 4 วัน กับความเหงา ความกลัว และความหดหู่ใจ ห้ามเยี่ยม แม้กระทั่งหมอ ยังออกตรวจทางโทรศัพท์ เพราะเวลาที่ฉันกินรังสีเข้าไป ตัวฉันก็จะแผ่รังสี ให้คนอื่น (เหมือนหนังจีนเลย 555) เป็นสิ่งที่คนอื่นไม่ต้องการ จึงโดนกักตัวไว้ มีข้อห้ามหลายอย่างในช่วงนั้น ห้ามกินอาหารทะเล น้ำปลา เกลือ ทุกอย่างที่มีโอโอดีน
เพื่อการรักษาที่ได้ผล จิตใจแย่มาก ร้องไห้ตลอด 4 วันเต็ม ลิ้นรับรสเปลี่ยนไป เพราะรังสี กินอะไรก็ไม่อร่อย แต่ประมาณเกือบเดือนก็หายไป ผมเริ่มร่วง แต่ไม่ล้าน ทำใจในสิ่งที่เป็น

ปรับตัวเพื่อตัวเอง
ฉันกลับมาทำงานและกลับมาเรียน สุขภาพฉันเปลี่ยนไป ฉันต้องกินยาฮอโมนไทรอยด์ แคลเซียม วิตามินดี ตลอดชีวิต ฉันนั่งโดยไม่มีพนักพิงหลังนาน ๆ ไม่ได้ จะปวดหลังมาก ถึงขนาดต้องลงไปนอนราบเลยทีเดียว เหนื่อยง่าย นั่งหายใจยังเหนื่อย เสียงของฉันเปลี่ยนไปไม่มากนัก ยังทำงานได้ปกติ โชคดีงานไม่ใช้แรง กำลังใจฉันดีเยี่ยม หน้าตาสดใส ร่าเริง เปล่งปลั่งกว่าตอนที่ไม่ป่วยอีก ตลอดเวลาที่ป่วย ฉันท่องเที่ยวไปในทุกที ที่ฉันไปสามารถไปถึง โดยมีแฟนขับรถพาฉันไป เคียงข้างฉันทั้งยามสุข ยามทุกข์ เป็นคนพาฉันไปหาหมอตลอด หลงทางบ้าง ไม่ค่อยเข้ากรุงเทพเท่าไหร่ มันทำให้ฉันรับรู้ได้ว่า เขารักฉัน เรื่องอาหารการกิน ฉันกินปกติ มีคนแนะนำให้กินยาสมุนไพร ยาหม้อ ยาผีบอกต่าง ๆ แต่ฉันไม่กิน ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่ฉันเหนื่อยที่จะต้องตามไปทางนั้น ทางนี้ ตามคนอื่น ๆ บอก ไม่อยากขวนขวาย รักษาตามแพทย์แผนปัจจุบันนี่แหล่ะ

ติดตามผล ฉันต้องไป แสกนตัว เพื่อดูผลจากการกินรังสี ที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ผลออกมาก็เป็นที่หน้าพอใจของหมอ แต่ผลเลือดยังไม่ดีนัก สรุปว่าฉันยังไม่หายดี หมอบอกต้องใช้เวลา อีก 6 เดือน เจาะเลือดดูอีก ถ้าไม่ดี ก็กลืนแร่อีกครั้ง ฉันก็ไม่ได้วิตกอะไร เพราะไม่อยากให้คนที่รักต้องคิดมาก กลับไปใช้ชีวิต สดใส ร่าเริง ท่องเที่ยว ไปเรื่อยเหมือนเดิม จนเข้าสู่ ปี 2556 ฉันเรียนจบปริญญาตรี โดยการช่วยเหลือ ของเพื่อน ๆ คอยดูแลรายงาน ติว ต่างๆ ดีใจมาก ชีวิตก้าวต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่คิดว่าตัวเองเป็นโรคร้าย คิดแค่ว่า มันก็แค่โรคหนึ่ง ที่กำลังจะผ่านไป

11 กรกฎาคม 2556 ฟังผลเลือดอีกครั้ง
ลุ้นระทึก กับผลเลือด คุณหมอบอกว่า ฉันหายแล้วววววววว หายจากมะเร็งแล้ว ฉันยังงง อยู่ เลยถามหมอว่า ทำไมหายง่ายจัง คนอื่นต้องกินแร่ตั้งหลายที หมอเลยแซวว่า หายง่ายไม่ชอบอีก หมอเลยอธิบายว่า ร่างกายฉันตอบรับแร่รังสีอย่างดี แต่แนวโน้มที่มะเร็งจะกลับมาอีก ยังมีสูง เพราะผลเลือดอีกตัว แนวโน้มยังสูงอยู่ แต่ก็ถือว่าหายแล้วนั่นแหล่ะ ฉันดีใจมากเดินยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิงเลย ชีวิตต่อจากนี้ไป ไม่รู้อนาคต แต่ฉันจะก้าวต่อไป อย่างแน่วแน่

ขอเป็นกำลังใจ
ฉันขอเป็นกำลังแรงใจ ให้ผู้ป่วยทุกท่าน ที่เผชิญอยู่กับโรคร้าย ไม่ว่าจะเป็นมากน้อยแค่ไหน ขอให้ท่านจงมีกำลังแรงใจ ต่อสู้เพื่อตนเอง และคนที่รัก ตัวฉันเองถึงจะหายแล้ว แต่ร่างกายก็อ่อนแอ นั่งเก้าอี้ไม่มีพนักพิงหลังไม่ได้ ต้องยึดติดยาตลอดชีวิต แต่ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองโชคร้าย ยังมีคนที่แย่กว่าเรามากมายนัก และสิ่งสำคัญที่สุดคือ พลังจากในตัวเราเอง จิตใจที่สงบ จิตใจที่มุ่งหมายจะอยู่ดูโลกกว้าง มันจะส่งผลต่อสุขภาพกาย และสุขภาพใจ ให้ร่างกายสดชื่น กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง เมื่อจิตใจเป็นสุข ร่างกายจะตอบสนองการรักษา ขอให้ทุกท่านโชคดีค่ะ

อาจจะยาวไปหน่อย แต่อยากแบ่งปันประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต .....ยิ้ม


via Pantip Talk
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่