มีข้อสงสัยเกี่ยวกับกรณีของเณรคำหรือของพระรูปอื่นด้วยคับ

อย่างแรก เขาเป็นหลวงปู่ได้ยังไง ซื้อยศ วิ่งเต้น หรือมาจากสายไหนเหรอคับ (เพราะผมเห็นบางคณะมีการจัดวางสายว่าถ้ามาจากสายนี้สามารถไต่ยศได้ถึงเท่านี้ หรือสามารถก้าวกระโดดได้เลย)
อย่างที่สอง ถ้าพระมีพวกยศฐาบรรดาศักดิ์เข้ามาเกี่ยวข้องแล้วในเรื่องของการค้นหาทางนิพพานนี่มันจะเกิดเหรอคับ เพราะผมมองมันเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวพระยึดมั่นถือมั่น กับไม่หลุดจากทางโลก เหมือนกับข้าราชการที่ต้องการยศสูงๆ ขึ้นต้องการเงินทอง ชื่อเสียง หรืออำนาจในการต่อรองมากขึ้น เป็นต้นน่ะคับ
อย่างที่สาม ระหว่างพระบ้านกับพระป่า ถ้าพระบ้านให้นี่พอเข้าใจคับ แต่ถ้าเป็นพระป่าอะไรคือตัวชี้วัดว่าจะให้ยศใครใหญ่กว่าน่ะคับ คือ สมมติว่ามีพระรูปหนึงปฏิบัติในป่ามาตลอดเป็นระยะเวลา 20 ปี เอาอะไรชี้วัดคับว่าท่านต้องได้ยศอะไร ถ้าท่านไม่ได้สอบ หรือถ้ามีการให้แล้วจะเอาอะไรวัดว่าท่านสมควรได้ยศอะไรคับ
อย่างที่สี่ อันนี้ผมเห็นตั้งแต่เด็กๆ แหละ จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๗  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ "[๒๑๔] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์นอนบนเตียงสูง ชาวบ้านเที่ยวชมวิหาร เห็นแล้วเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงนอนบนเตียงสูง รูปใดนอน ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ" ก็เท่ากับว่าถ้าพระทำตัวเหมือนคฤหัสถ์ เช่นมีเฟอร์นิเจอร์ มีรถประจำตำแหน่ง พักที่หรู หรือเลือกของใช้แบรนด์เนม ก็ถือว่าอาบัติหมดสิคับ แล้วไม่ถือว่าคนทีถวายนี่เขาไม่ทำให้พระยึดติดกับของพวกนี้เหรอคับ
อย่างที่ห้า เกี่ยวกับเรื่องเงินคับ สรุปแล้วพระทุกรูปถ้ามีเงินในบัญชีไม่สามารถตรวจสอบได้หรือคับ ข้อนี้ผมงง เพราะถ้าผมดูกรณีเณรคำนี่น่าจะเป็นกรณีแรกที่ ปปง เข้าไปตรวจสอบเรื่องเงิน เพราะผมเห็นก่อนหน้านี้ก็มีคดีของพระยันตระ พระนิกร ถ้าล่าสุดก็ธรรมชโย อันนี้อยู่ยงคงกระพัน เป็นต้น สรุปแล้วไม่สามารถตรวจสอบได้หรือเอาผิดได้เลยหรือคับ ผมเห็นก็มีทั้ง ผศ ทั้งอะไรหรือมิอะไรตั้งเยอะแยะหรือต้องรอให้เรื่องแดงก่อนแล้วค่อยตรวจสอบคับ ผมสงสัย (หรือเขามีจ่ายใต้โต๊ะกันหรือซูเอี๋ยข้างนอกกันคับ)

เอาแค่ 5 อย่างคับ รบกวนผู้รู้ช่วยตอบเพื่อความกระจ่างหน่อยคับ
หมายเหตุ! ไม่ได้ดราม่านะคับ แค่อยากรู้คับ ขอบคุณคับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
ความเห็นผมนะ

อย่างแรก เขาเป็นหลวงปู่ได้ยังไง  ?
  - จริงๆแล้ว ในแวดวงพระไม่มีหรอกครับ หลวงปู่ หลวงตา ชาวบ้านเรียกกันเฉยๆ เขาก็เรียกกันไปตามนั้น ตามอายุท่าน บ้างเรียกเพราะเป็นญาติ เช่น หลวงน้า หลวงลุง เป็นต้น อันที่จริงแล้วต้องเรียกตามสมณศักดิ์ เช่น พระครู , เจ้าคุณ ฯ แต่ที่เรียกกันติดปากว่า หลวงพ่อโต หลวงปู่ทวด หลวงตาบัว ฯลฯ ชาวบ้านเรียกเพราะนับถือ เรียกตามอายุ  ทีนี้ ปัญหามันเลยเถิดไปว่า พอมีคนเรียกพระเกจิว่า หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ฯลฯ พวกอลัชชีก็เลยเอาบ้าง ดูโก้ดี หรูดี เลยอุปโลกน์ตัวเองว่าเป็นหลวงปู่ จริงๆ พระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ท่านไม่นิยมเรียกตัวเองว่า หลวงปู่ หรอก ที่เรียกมักจะเป็น ลูกศิษย์ที่เค้าตั้งให้ซะมากกว่า  
    ตัวอย่าง  พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต ) ท่านบวชในสังกัด ธรรมยุติกนิกาย มีฐานานุกรมเป็นพระครูวินัยธร คนมักเรียกท่านว่า พระอาจารย์มั่น  เพราะ ท่านเป็นอาจารย์สอนธรรมทางวิปัสสนากรรมฐาน หรือเรียก หลวงปู่มั่น เพราะว่าท่านเป็นพระสายธรรมยุติก์ ไม่ติดยศ คนจึงเรียกท่านว่า หลวงปู่ ด้วย คุณธรรม และ อายุ ของท่านสูง ดังนี้

อย่างที่สอง ถ้าพระมีพวกยศฐาบรรดาศักดิ์เข้ามาเกี่ยวข้องแล้วในเรื่องของการค้นหาทางนิพพานนี่มันจะเกิดเหรอคับ
    - นิพพานคงไม่เกิดหรอก ถ้ายังยึดมั่นในอัตตาอยู่  แต่ต้องแยกให้ดีนะ พระปฏิบัติดี ท่านก็มีสมณศักดิ์นะ เพียงแต่ท่านไม่ติดยศ ท่านก็ไม่ให้ชาวบ้านต้องเรียกท่านตามยศ เช่น พระครู ท่านเจ้าคุณ ฯลฯ คือ ชาวบ้านเรียกอย่างไรก็ไปอย่างนั้น โดยมาก สายพระป่า ชาวบ้านมักนิยมเรียกท่านว่า หลวงปู่ หลวงตา แต่ท่านหลวงปู่หลวงตา เหล่านี้ เวลาท่านต้องทำสังฆกรรม หรือ พิธี กับพระราชาคณะ ท่านก็เอาพัดยศไปด้วย อย่างเช่น ขรัวโต สมเด็จฯ  นั่นไง

อย่างที่สาม ระหว่างพระบ้านกับพระป่า ถ้าพระบ้านให้นี่พอเข้าใจคับ แต่ถ้าเป็นพระป่าอะไรคือตัวชี้วัดว่าจะให้ยศใครใหญ่กว่าน่ะคับ
     - อย่างที่บอก พระป่าท่านก็มียศ มีสมณศักดิ์ เป็นพระครู เป็นสมเด็จฯ  แต่ท่านไม่ว่างมาสอบเปริยญ นี่ถ้าให้สอบท่านก็คงได้เต็ม ทีนี้ พอได้ยศแล้วก็ย่อมวางภาระไม่ลง จะปฏิบัติต่อก็ไม่ได้ ติดขัดไปหมด ท่านจึงไม่เอายศ แต่ก็มีคนชอบเอายศไปให้ท่าน บ้างก็อ้างว่าให้ท่านช่วยดูแล ไปเป็นเจ้าอาวาสหน่อย ทีนี้ก็วุ่นเพราะเจ้าอาวาสต้องเก่ง ต้องคอยดูแลปัญหาสารพัด ทั้งญาติโยม ทั้งพระลูกวัด จะเอาเวลาใหนมาเจริญกรรมฐานล่ะ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมี พระบ้าน กับ พระป่า แยกกัน แต่ทั้งนี้ พระบ้าน จะมารับแต่นิมนต์อย่างเดียวก็หามิได้ ก็ต้องอาศัยการสอบทานธรรมจากพระป่า ที่เป็นนักปฏิบัติจริงด้วย แล้วนำธรรมจริงมาสอนชาวบ้าน ส่วนพระป่าก็ได้อาศัย พระบ้าน ช่วยกันสืบทอดพุทธศาสนา คอยดูแลวัดวาอารามให้ ดังนั้น พระป่า กับ พระบ้าน ก็ต้องอยู่กันอย่างน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ฉะนี้
         เพิ่มเติม พระป่าสายกรรมฐาน วัดกันที่ กองกิเลสล้วนๆ ใครกำจัดได้มาก ได้น้อย มองกันออก เพราะท่าน เจริญกรรมฐาน

อย่างที่สี่ อันนี้ผมเห็นตั้งแต่เด็กๆ แหละ จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๗  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ "[๒๑๔] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์นอนบนเตียงสูง ...
       - พระมีศีล 227 ข้อ แต่ละข้อคือพระวินัย ซึ่งมีที่มาที่ไป ผู้บวชใหม่พึงควรศึกษา ผู้บวชนานพึงควรสอน และสอดส่อง ไม่ใช่ทำตัวให้เป็นแบบอย่างทำผิดพระวินัยเสียเอง ปัญหาล้วนมันเริ่มมาจาก แนวคิดที่ว่า เพราะ พระวินัยไม่ยอมเปลี่ยนแปลงนี่แหละ
พระบางรูป ชอบอ้างว่า พระวินัยล้าหลังสมควรปรับเปลียนให้เข้ากับยุคสมัย เช่น พระมีสมาร์ทโฟน , แทปเล็ต แต่ไม่รู้จักเอามาใช้ประโยชน์ พระมีเครื่องสำอางค์ ประทินผิว เพราะไม่สำคัญในศีลสิกขา พระจับเงินจับทอง จับจ่ายใช้สอย เพราะอ้างว่าต้องเดินทางต้องทำธุระ สุดท้าย พอถึงคราวทำวัตรเย็นก็ปลงอาบัติซะ นี่ถ้าทำผิดพระวินัยยิบๆย่อยๆนานๆบ่อยๆเป็นนิสัยเข้า มันก็จะซึมซับจนทำผิดพระวินัยข้อใหญ่ได้

อย่างที่ห้า เกี่ยวกับเรื่องเงินคับ สรุปแล้วพระทุกรูปถ้ามีเงินในบัญชีไม่สามารถตรวจสอบได้หรือคับ
       - ประเด็นคือ พระเองก็ต้องมีสังกัดมีวัด มีพระอุปัชฌาจารย์  ถ้าหากไม่มีวัดก็ตั้งเป็นสำนักสงฆ์ สำนักปฏิบัติธรรม ซึ่งแต่เดิมสำนักสงฆ์ทำขึ้นมาแค่พออยู่ได้ สำหรับนักปฏิบัติธรรมที่ไม่แสวงหาอะไร จึงไม่ต้องมีใครมีอะไรมาตรวจสอบ ทีนี้ พอมีคนเริ่มมาปฏิบัติธรรมมากขึ้น ก็ย่้อมต้องมีค่าใช้จ่าย พระอาจให้ทางคณะกรรมการที่เป็นฆราวาสมาจัดการดูแล หรือพระสงฆ์จะดูแลเองก็ได้ แต่เมื่อมีเงินเข้ามาในบัญชีมีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้น ก็ต้องทำเรื่องขออนุญาติขึ้นทะเบียนเป็นวัด(ไม่รู้ว่าใช้ศัพท์ถูกป่าวนะ) เมื่อเป็นวัดแล้ว จึงจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบดูแลทรัพย์สินให้เป็นเรื่องเป็นราว ทีนี้พระก็ไม่ต้องยุ่งกับเงินๆทองๆแล้ว ไม่ต้องอาบัติ ไม่เป็นโลกวัชชะ ปล่อยให้ฆราวาสเค้าจัดการกันเอง นี่คือ ถูกระเบียบของสงฆ์ แต่ที่มันไม่ถูกคือ พวกไม่ยอมขึ้นทะเบียน อ้างเป็นสำนักสงฆ์แต่ใช้ชื่อว่าวัด เช่น สำนักของหลวงปู่เณรคำ ไม่ยอมเปลี่ยนเป็นวัด เพราะ เณรคำอยากดูแลเอง ไม่มีหน่วยงานตรวจสอบ เพราะถ้าเป็นวัด ขึ้นทะเบียนบัญชี มีคณะกรรมการวัด หน่วยงานก็เข้ามาตรวจสอบได้เพราะเป็นวัดแล้ว  
      ส่วนใหญ่นะ พวกอลัชชีมักหากินเอาทางนี้ วนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ก็เป็นแบบนี้ คือไม่ยอมขึ้นทะเบียน อ้างว่าไม่ยอมรับมติคณะสงฆ์ อ้างว่า คำสอนของพระบรมศาสดายุคพุทธกาลโน้นด้วยว่านั่งสมาธิรำเลิกไปถึงสมัยพุทธกาล อ้างสัทธรรมปฏิรูปที่ตั้งขึ้นเองบ้าง แอบตั้งเป็นวัดป่าเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมแต่ไม่ยอมขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฏหมาย ใครจะตรวจสอบก็ไม่ได้ โปรโมทคุณสมบัติมากเข้าหน่อน ลอบแอบชักชวนบริจาค ตีซี้ผู้มีอันจะกิน ก่อตั้งมูลนิธิขึ้นเอง จ่ายส่วยใต้โต๊ะแก่พระราชาคณะ ทำไปทำมาพอเรื่องแดงก็หลีกเร้นไปนอกประเทศ เพราะหากินกันแบบนี้ ชาวพุทธต้องตรวจสอบใ้ห้ดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่