คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 13
เห็นด้วยครับ
เรื่องของความรู้สึกมันเอามาตรมาวัดลำบาก คำว่าแพงของบางคนอาจจะไม่ได้แพงสำหรับบางคน ใช้เงินใคร...ให้ดูที่ความพอใจของคนๆนั้นเป็นหลักครับ ถ้าคุณกำลังใช้เงินพ่อแม่คุณ พ่อแม่คุณยังพอใจกับภาวะการใช้จ่ายของคุณ มันก็ไม่มีปัญหา แต่ในฐานะลูก ความเกรงใจพ่อแม่ตัวเองก็ควรต้องมีโดยพื้นฐาน สังเกตุครับ ถ้าท่านให้คุณใช้มาก แต่ท่านอดออม นั่นคือคุณต้องคิด และรู้ว่าควรปฏิบัติตัวแบบใด ต้องทราบภาวะทางการเงินของครอบครัวโดยที่ท่านไม่ต้องเอ่ยปาก หากคิดว่าตัวเองโตแล้ว ใช้เงินเป็น คำว่าไม่รู้ในที่นี้ใช้ไม่ได้ครับ
ถ้าท่านใช้แบบปกติ ทั่วไป ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนหรือเต็มใจให้คุณใช้ ก็ใช้ไปตามที่เคยใช้นั่นถูกแล้วครับ แต่คิดให้มากๆตอนทำงาน ว่าตอนที่เราใช้เงินพ่อแม่ ท่านเลี้ยงดูเราโดยที่เราไม่ต้องคิดเรื่องภาวะการเงินของครอบครัว ท่านทำได้ ยามท่านแก่เฒ่า คุณทำได้แบบที่ท่านทำไหม? ให้ท่านใช้ได้โดยที่ไม่ต้องคิดเผื่อภาวะทางการเงินของคุณ ถ้าคิดว่าทำได้ ก็ใช้ไปครับ... ตามนั้น ส่วนคนอื่น...ถ้าเขาคิดมากกับความเป็นคุณ ก็ปล่อยเขาไป พยายามคิดในใจว่าเขาเหนื่อยเกินกว่าจะคิดเรื่องตัวเอง คุณจะมีความสุขขึ้นครับ
ปล. ผมไม่ใช่เจ้าของล็อคอินนะครับ
เรื่องของความรู้สึกมันเอามาตรมาวัดลำบาก คำว่าแพงของบางคนอาจจะไม่ได้แพงสำหรับบางคน ใช้เงินใคร...ให้ดูที่ความพอใจของคนๆนั้นเป็นหลักครับ ถ้าคุณกำลังใช้เงินพ่อแม่คุณ พ่อแม่คุณยังพอใจกับภาวะการใช้จ่ายของคุณ มันก็ไม่มีปัญหา แต่ในฐานะลูก ความเกรงใจพ่อแม่ตัวเองก็ควรต้องมีโดยพื้นฐาน สังเกตุครับ ถ้าท่านให้คุณใช้มาก แต่ท่านอดออม นั่นคือคุณต้องคิด และรู้ว่าควรปฏิบัติตัวแบบใด ต้องทราบภาวะทางการเงินของครอบครัวโดยที่ท่านไม่ต้องเอ่ยปาก หากคิดว่าตัวเองโตแล้ว ใช้เงินเป็น คำว่าไม่รู้ในที่นี้ใช้ไม่ได้ครับ
ถ้าท่านใช้แบบปกติ ทั่วไป ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนหรือเต็มใจให้คุณใช้ ก็ใช้ไปตามที่เคยใช้นั่นถูกแล้วครับ แต่คิดให้มากๆตอนทำงาน ว่าตอนที่เราใช้เงินพ่อแม่ ท่านเลี้ยงดูเราโดยที่เราไม่ต้องคิดเรื่องภาวะการเงินของครอบครัว ท่านทำได้ ยามท่านแก่เฒ่า คุณทำได้แบบที่ท่านทำไหม? ให้ท่านใช้ได้โดยที่ไม่ต้องคิดเผื่อภาวะทางการเงินของคุณ ถ้าคิดว่าทำได้ ก็ใช้ไปครับ... ตามนั้น ส่วนคนอื่น...ถ้าเขาคิดมากกับความเป็นคุณ ก็ปล่อยเขาไป พยายามคิดในใจว่าเขาเหนื่อยเกินกว่าจะคิดเรื่องตัวเอง คุณจะมีความสุขขึ้นครับ
ปล. ผมไม่ใช่เจ้าของล็อคอินนะครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 22
เราว่าเจ้าของกระทู้เป็นคนที่มีความคิดคนหนึ่งนะ
และกระทู้ก็มีประเด็นคือว่าคนที่เห็นอะไรแล้วชอบเหมารวมด่วนตัดสินนี่มันก็มีจริงๆและน่าเพลียจริงๆ
ไม่ใช่แค่ประเด็นนี้ แต่เป็นทุกๆประเด็นเลย
เมื่อไหร่น้อคนส่วนใหญ่จะมีตรรกะแยกแยะดีชั่วมากกว่าเหมารวม
อันนี้เห็นด้วยว่าถ้าคนเปลี่ยนได้ คงจะดีกับสังคม
แต่เราทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจ และพยายามอธิบายให้คนใกล้ตัวที่ยังปรับเปลี่ยนความคิดได้ให้ปรับเปลี่ยนซะ
ทีนี้มาพูดในประเด็นของเด็กใช้เงินฟุ่มเฟือย
อยากให้เจ้าของกระทู้ลองตรองดู ถ้าคุณเป็นคนที่คำนวณความคุ้มค่าของสิ่งต่างๆ อาจจะเข้าใจตัวอย่างสมมตินี้
คนสองคนมีความสุขเท่ากันและความสำเร็จเท่ากัน เริ่มจากต้นทุนชีวิตคล้ายๆกัน
(สมมติพ่อแม่ทั้งสองมีฐานะพอๆกัน ให้เงินเริ่มทำธุรกิจพอๆกัน)
คนแรกใช้จ่ายเดือนละแสนเพื่อไปถึงจุดนั้น
คนที่สองใช้จ่ายเดือนละหมื่นเพื่อไปถึงจุดเดียวกัน
สมมติคุณเป็นคนมีฐานะที่ใช้เดือนละแสน
คุณอาจจะมีเหตุผลของคุณว่าทำไมต้องใช้เดือนละแสน มันดีอย่างนั้นคุ้มอย่างนี้ ซึ่งมันก็ไม่ผิดอะไรนะ
แค่ความสุขของคุณขนาดหนึ่งหน่วย ราคามันแพงกว่าความสุขของเจ้าคนที่สอง
เจ้าคนที่สอง ไม่ต้องกินเนื้อแกะ กินส้มตำข้างถนน ใส่เข็มขัดแตกหน่อยๆ เค้าก็มีความสุขได้ ทำประโยชน์ให้คนอื่นได้
อ่านหนังสือที่หอสมุดแต่สอบคะแนนดีได้ หนังสือยืมเพื่อน แบ่งกันอ่านกับเพื่อน แต่มีความสุขเท่ากับคุณ เก่งเท่ากับคุณ
คุณอาจบอกว่า ผมเลือกไม่ได้ นี่มันรสนิยมส่วนตัวผม ความชอบของผม ไม่ชอบก็ไม่ได้
มันก็อาจจะฟังขึ้น แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณใช้มากกว่าอีกคนตั้งสิบเท่า เพื่อให้ได้ความสุขและความสำเร็จเท่าๆกับเจ้าคนที่สอง
สังคมเขายกย่องคนที่สองก็ถูกแล้ว ถ้าทุกคนในสังคมมีความสุขกับสิ่งง่ายๆ เรียนรู้ได้ สำเร็จได้จากทรัพยากรจำนวนน้อย เหมือนคนที่สอง
เงินหนึ่งแสนสามารถทำให้คนสิบคนในสังคมมีความสุขได้ สำเร็จได้
แต่กับคุณ เงินหนึ่งแสนมันทำให้คุณมีความสุขหรือเก่งได้คนเดียว
การที่สังคมไม่ชอบคนฟุ่มเฟือย มันก็ถูกแล้ว มันเป็นไปตามกลไกในโลกที่ทรัพยากรจำกัด
จริงอยู่เงินมันเงินพ่อแม่คุณหามาและคนอื่นไม่ได้มาจ่ายด้วย
แต่ทำไมคนถึงยกย่องคนที่ใช้ทรัพยากรแต่พอดีตัว?
เพราะคนเหล่านั้นเมื่อความต้องการตัวเองอิ่มแล้ว มักจะเริ่มคิดถึงคนอื่น เริ่มทำประโยชน์เพื่อคนอื่น
ซึ่งเราว่าเค้าก็ยกย่องถูกคนแล้วนะ คนที่ทำประโยชน์เพื่อคนอื่นได้มากกว่า ก็ได้รับการยกย่องมากกว่า
คนรู้จักเราเงินเดือนหลักแสน เก็บเงินไว้ 80% ทุกเดือน กินอะไรซ้ำๆ ถูกๆ เบื่อๆ ทำอะไรก็เขียมไปหมด
ความคิดของเค้าคือ เขากินแค่นี้ ใช้แค่นี้ ก็มีความสุขแล้ว
เงินที่เหลือเก็บๆเอาไว้ จะบริจาคให้คนอื่นที่ไม่สามารถซื้ออะไรถูกๆมากินด้วยซ้ำ ต้องทนหิว
หรือคนที่เกิดในสังคมที่เลวร้าย วันๆกลัวแต่จะไม่รอดชีวิต หรือต้องโดนทำทารุณทางร่างกายและจิตใจทุกวัน
เงินที่ดูเหมือนน้อยนิดสำหรับเค้า อาจช่วยชีวิตคนเหล่านี้บนโลกได้อีกเยอะ แทนที่จะจ่ายให้กับพ่อค้าเนื้อแกะที่รวยอยู่แล้ว
คุณรู้มั้ยว่าถ้าคุณยอมไม่กินเนื้อแกะจานนึง แล้วเอาเงินให้คนจน
ความสุขของคุณอาจจะพร่องไปนิดหน่อย แต่คนจนคนนั้นจะไม่หิวไปหลายวัน
ทั้งนี้ทั้งนั้นมันเรื่องของคุณ คุณเลือกที่จะใช้เงินนั้นในการซื้อเนื้อแกะ มันไม่ใช่เรื่องผิด
คุณจะใช้เงินเท่าไหร่เพื่อการกุศล เท่าไหร่เพื่อตนเอง มันแล้วแต่จิตศรัทธา การตัดสินใจส่วนตัว ไม่มีถูกผิด
และความเห็นที่เรากล่าวมาไม่ได้ตั้งใจจะประณามให้คุณเปลี่ยนพฤติกรรม หรือเอาเงินทั้งหมดมาให้การกุศล
แต่เราแค่อยากจะชี้ให้คุณมองภาพใหญ่ขึ้น ที่ไม่ได้มีแต่พ่อแม่ ตัวคุณ ครอบครัวคุณ
ไปดูสังคมที่คุณอยู่ ไปดูคนอื่นๆในโลก ถ้าคุณมองอย่างพยายามเข้าใจและเห็นใจเพื่อนมนุษย์คนอื่น
คุณจะเห็นว่า เงินหนึ่งบาทคือพลังหนึ่งหน่วย ที่คุณเลือกได้ว่าเงินนี้จะไปสนับสนุนใคร
คุณเลือกที่จะสนับสนุนสตาร์บัค หรือคนขายเข็มขัดแบรนด์เนม ที่ไม่ได้ต้องการเงินนั้น แล้วคุณได้ความพอใจคุ้มค่าเงิน มันก็ไม่ผิด
อีกหลายคนเลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น เลือกที่จะปรับความต้องการตัวเองให้น้อยลง พอให้กายใจสบาย
จะได้ส่งพลังที่เหลือไปให้คนที่ต้องการจริงๆ หรือไปช่วยสนับสนุนคนที่ทำเพื่อคนอื่น สนับสนุนอุดมการณ์ที่เขาเชื่อ
แม้แต่เอาเงินไปลงกับธุรกิจที่ดีที่สร้างประโยชน์ให้คนอื่น
มันเป็นการใช้เงินที่คุ้มค่าสำหรับเขา
ถ้าจะคิดเรื่อง "ใช้เงินคุ้มค่า" อย่างถี่ถ้วน
มันไม่ใช่แค่ใช้แล้วได้สิ่งที่สมเนื้อเงินกลับมา หรือใช้เงินแบบที่ครอบครัวตัวเองไม่ต้องลำบาก
มันควรจะคิดรวมไปถึง
- มีวิธีที่ไม่ต้องใช้แต่ได้ประโยชน์เท่าเดิมไหม
- สิ่งที่เห็นว่าเป็นความสุข เป็นความสุขแท้จริงหรือว่ามโนว่ามันเป็นความสุข เป็นความโลภ ลุ่มหลงหรือเปล่า
- ใช้เงินแล้วมีประโยชน์ต่อคนอื่นด้วยหรือเปล่า หรือใช้เพื่อตัวเองคนเดียว
- มีทางเอาเงินไปทำอย่างอื่นที่ได้ประโยชน์มากกว่าหรือเปล่า
ถ้าคิดครบทุกข้อ แบบนี้ถึงเรียกใช้เงินแบบคิดแล้ว
และกระทู้ก็มีประเด็นคือว่าคนที่เห็นอะไรแล้วชอบเหมารวมด่วนตัดสินนี่มันก็มีจริงๆและน่าเพลียจริงๆ
ไม่ใช่แค่ประเด็นนี้ แต่เป็นทุกๆประเด็นเลย
เมื่อไหร่น้อคนส่วนใหญ่จะมีตรรกะแยกแยะดีชั่วมากกว่าเหมารวม
อันนี้เห็นด้วยว่าถ้าคนเปลี่ยนได้ คงจะดีกับสังคม
แต่เราทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจ และพยายามอธิบายให้คนใกล้ตัวที่ยังปรับเปลี่ยนความคิดได้ให้ปรับเปลี่ยนซะ
ทีนี้มาพูดในประเด็นของเด็กใช้เงินฟุ่มเฟือย
อยากให้เจ้าของกระทู้ลองตรองดู ถ้าคุณเป็นคนที่คำนวณความคุ้มค่าของสิ่งต่างๆ อาจจะเข้าใจตัวอย่างสมมตินี้
คนสองคนมีความสุขเท่ากันและความสำเร็จเท่ากัน เริ่มจากต้นทุนชีวิตคล้ายๆกัน
(สมมติพ่อแม่ทั้งสองมีฐานะพอๆกัน ให้เงินเริ่มทำธุรกิจพอๆกัน)
คนแรกใช้จ่ายเดือนละแสนเพื่อไปถึงจุดนั้น
คนที่สองใช้จ่ายเดือนละหมื่นเพื่อไปถึงจุดเดียวกัน
สมมติคุณเป็นคนมีฐานะที่ใช้เดือนละแสน
คุณอาจจะมีเหตุผลของคุณว่าทำไมต้องใช้เดือนละแสน มันดีอย่างนั้นคุ้มอย่างนี้ ซึ่งมันก็ไม่ผิดอะไรนะ
แค่ความสุขของคุณขนาดหนึ่งหน่วย ราคามันแพงกว่าความสุขของเจ้าคนที่สอง
เจ้าคนที่สอง ไม่ต้องกินเนื้อแกะ กินส้มตำข้างถนน ใส่เข็มขัดแตกหน่อยๆ เค้าก็มีความสุขได้ ทำประโยชน์ให้คนอื่นได้
อ่านหนังสือที่หอสมุดแต่สอบคะแนนดีได้ หนังสือยืมเพื่อน แบ่งกันอ่านกับเพื่อน แต่มีความสุขเท่ากับคุณ เก่งเท่ากับคุณ
คุณอาจบอกว่า ผมเลือกไม่ได้ นี่มันรสนิยมส่วนตัวผม ความชอบของผม ไม่ชอบก็ไม่ได้
มันก็อาจจะฟังขึ้น แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณใช้มากกว่าอีกคนตั้งสิบเท่า เพื่อให้ได้ความสุขและความสำเร็จเท่าๆกับเจ้าคนที่สอง
สังคมเขายกย่องคนที่สองก็ถูกแล้ว ถ้าทุกคนในสังคมมีความสุขกับสิ่งง่ายๆ เรียนรู้ได้ สำเร็จได้จากทรัพยากรจำนวนน้อย เหมือนคนที่สอง
เงินหนึ่งแสนสามารถทำให้คนสิบคนในสังคมมีความสุขได้ สำเร็จได้
แต่กับคุณ เงินหนึ่งแสนมันทำให้คุณมีความสุขหรือเก่งได้คนเดียว
การที่สังคมไม่ชอบคนฟุ่มเฟือย มันก็ถูกแล้ว มันเป็นไปตามกลไกในโลกที่ทรัพยากรจำกัด
จริงอยู่เงินมันเงินพ่อแม่คุณหามาและคนอื่นไม่ได้มาจ่ายด้วย
แต่ทำไมคนถึงยกย่องคนที่ใช้ทรัพยากรแต่พอดีตัว?
เพราะคนเหล่านั้นเมื่อความต้องการตัวเองอิ่มแล้ว มักจะเริ่มคิดถึงคนอื่น เริ่มทำประโยชน์เพื่อคนอื่น
ซึ่งเราว่าเค้าก็ยกย่องถูกคนแล้วนะ คนที่ทำประโยชน์เพื่อคนอื่นได้มากกว่า ก็ได้รับการยกย่องมากกว่า
คนรู้จักเราเงินเดือนหลักแสน เก็บเงินไว้ 80% ทุกเดือน กินอะไรซ้ำๆ ถูกๆ เบื่อๆ ทำอะไรก็เขียมไปหมด
ความคิดของเค้าคือ เขากินแค่นี้ ใช้แค่นี้ ก็มีความสุขแล้ว
เงินที่เหลือเก็บๆเอาไว้ จะบริจาคให้คนอื่นที่ไม่สามารถซื้ออะไรถูกๆมากินด้วยซ้ำ ต้องทนหิว
หรือคนที่เกิดในสังคมที่เลวร้าย วันๆกลัวแต่จะไม่รอดชีวิต หรือต้องโดนทำทารุณทางร่างกายและจิตใจทุกวัน
เงินที่ดูเหมือนน้อยนิดสำหรับเค้า อาจช่วยชีวิตคนเหล่านี้บนโลกได้อีกเยอะ แทนที่จะจ่ายให้กับพ่อค้าเนื้อแกะที่รวยอยู่แล้ว
คุณรู้มั้ยว่าถ้าคุณยอมไม่กินเนื้อแกะจานนึง แล้วเอาเงินให้คนจน
ความสุขของคุณอาจจะพร่องไปนิดหน่อย แต่คนจนคนนั้นจะไม่หิวไปหลายวัน
ทั้งนี้ทั้งนั้นมันเรื่องของคุณ คุณเลือกที่จะใช้เงินนั้นในการซื้อเนื้อแกะ มันไม่ใช่เรื่องผิด
คุณจะใช้เงินเท่าไหร่เพื่อการกุศล เท่าไหร่เพื่อตนเอง มันแล้วแต่จิตศรัทธา การตัดสินใจส่วนตัว ไม่มีถูกผิด
และความเห็นที่เรากล่าวมาไม่ได้ตั้งใจจะประณามให้คุณเปลี่ยนพฤติกรรม หรือเอาเงินทั้งหมดมาให้การกุศล
แต่เราแค่อยากจะชี้ให้คุณมองภาพใหญ่ขึ้น ที่ไม่ได้มีแต่พ่อแม่ ตัวคุณ ครอบครัวคุณ
ไปดูสังคมที่คุณอยู่ ไปดูคนอื่นๆในโลก ถ้าคุณมองอย่างพยายามเข้าใจและเห็นใจเพื่อนมนุษย์คนอื่น
คุณจะเห็นว่า เงินหนึ่งบาทคือพลังหนึ่งหน่วย ที่คุณเลือกได้ว่าเงินนี้จะไปสนับสนุนใคร
คุณเลือกที่จะสนับสนุนสตาร์บัค หรือคนขายเข็มขัดแบรนด์เนม ที่ไม่ได้ต้องการเงินนั้น แล้วคุณได้ความพอใจคุ้มค่าเงิน มันก็ไม่ผิด
อีกหลายคนเลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น เลือกที่จะปรับความต้องการตัวเองให้น้อยลง พอให้กายใจสบาย
จะได้ส่งพลังที่เหลือไปให้คนที่ต้องการจริงๆ หรือไปช่วยสนับสนุนคนที่ทำเพื่อคนอื่น สนับสนุนอุดมการณ์ที่เขาเชื่อ
แม้แต่เอาเงินไปลงกับธุรกิจที่ดีที่สร้างประโยชน์ให้คนอื่น
มันเป็นการใช้เงินที่คุ้มค่าสำหรับเขา
ถ้าจะคิดเรื่อง "ใช้เงินคุ้มค่า" อย่างถี่ถ้วน
มันไม่ใช่แค่ใช้แล้วได้สิ่งที่สมเนื้อเงินกลับมา หรือใช้เงินแบบที่ครอบครัวตัวเองไม่ต้องลำบาก
มันควรจะคิดรวมไปถึง
- มีวิธีที่ไม่ต้องใช้แต่ได้ประโยชน์เท่าเดิมไหม
- สิ่งที่เห็นว่าเป็นความสุข เป็นความสุขแท้จริงหรือว่ามโนว่ามันเป็นความสุข เป็นความโลภ ลุ่มหลงหรือเปล่า
- ใช้เงินแล้วมีประโยชน์ต่อคนอื่นด้วยหรือเปล่า หรือใช้เพื่อตัวเองคนเดียว
- มีทางเอาเงินไปทำอย่างอื่นที่ได้ประโยชน์มากกว่าหรือเปล่า
ถ้าคิดครบทุกข้อ แบบนี้ถึงเรียกใช้เงินแบบคิดแล้ว
ความคิดเห็นที่ 5
ไม่มีใครว่า จขกท หรอกครับ
ถ้าที่บ้าน จขกท รวยและไม่มีปัญหาเรื่องการใช้จ่ายอยู่แล้ว ผมมองว่าดีซะอีก ขนขวายหาความรู้ไปเรียนพิเศษเพิ่ม และพ่อแม่ถ้าเลือกได้ก็อยากให้ลูกตัวเองสบายกันทุกคนแหละครับ
ประเด็นที่เค้าว่ากัน มันคือ เด็กที่ครอบครัวยังอดมื้อกินมื้อ พ่อแม่ทำงานหนักเพื่อหาเงินมาส่งลูกตัวเองให้เรียนสูงๆ จะได้ไม่ต้องลำบากตอนเป็นผู้ใหญ่เหมือนเค้า
แต่ไอ้พวกเด็ก vain พวกนั้นกลับถลุงเงินโครมๆไปกับการใช้จ่ายในสิ่งที่เกินฐานะและความจำเป็นไปเยอะ
กรณีนี้ เด็กคนที่ว่าสมควรถูกตำหนิครับ ในทางเดียวกันหากเด็กที่บ้านรวยและไม่มีปัญหาเรื่องการเงินใช้เงินถลุงโครมๆแบบที่เด็กคนที่สองทำ ก็ไม่มีใครว่าหรอก เว้นแต่พวกอิจฉาเท่านั้น
อีกประเด็นนึง เท่าที่สังเกตุมา ผู้ใหญาบางคนที่เค้าผ่านความจนความลำบากมาในวัยเด็ก ส่วนมากจะสั่งสอนลูกให้ใช้จ่ายอย่างประหยัดและรู้ค่าของเงินมากกว่าเด็กที่เกิดมาในตระกูลร่ำรวยหรือพ่อแม่ร่ำรวยมาแต่ต้นตระกูลแล้ว กลุ่มหลังจะไม่ค่อยอะไรมากเท่ากลุ่มแรก คือใช้จ่ายแบบสบายๆเลย
อ่อ ปกติมนุษย์ย่อมหาเหตุผลที่ฟังดูดีๆเพื่อมาสนับสนุนการกระทำขอบตัวเองเสมอๆครับ ไม่ว่าจะฟังขึ้นหรือไม่ก็ตาม
ถ้าที่บ้าน จขกท รวยและไม่มีปัญหาเรื่องการใช้จ่ายอยู่แล้ว ผมมองว่าดีซะอีก ขนขวายหาความรู้ไปเรียนพิเศษเพิ่ม และพ่อแม่ถ้าเลือกได้ก็อยากให้ลูกตัวเองสบายกันทุกคนแหละครับ
ประเด็นที่เค้าว่ากัน มันคือ เด็กที่ครอบครัวยังอดมื้อกินมื้อ พ่อแม่ทำงานหนักเพื่อหาเงินมาส่งลูกตัวเองให้เรียนสูงๆ จะได้ไม่ต้องลำบากตอนเป็นผู้ใหญ่เหมือนเค้า
แต่ไอ้พวกเด็ก vain พวกนั้นกลับถลุงเงินโครมๆไปกับการใช้จ่ายในสิ่งที่เกินฐานะและความจำเป็นไปเยอะ
กรณีนี้ เด็กคนที่ว่าสมควรถูกตำหนิครับ ในทางเดียวกันหากเด็กที่บ้านรวยและไม่มีปัญหาเรื่องการเงินใช้เงินถลุงโครมๆแบบที่เด็กคนที่สองทำ ก็ไม่มีใครว่าหรอก เว้นแต่พวกอิจฉาเท่านั้น
อีกประเด็นนึง เท่าที่สังเกตุมา ผู้ใหญาบางคนที่เค้าผ่านความจนความลำบากมาในวัยเด็ก ส่วนมากจะสั่งสอนลูกให้ใช้จ่ายอย่างประหยัดและรู้ค่าของเงินมากกว่าเด็กที่เกิดมาในตระกูลร่ำรวยหรือพ่อแม่ร่ำรวยมาแต่ต้นตระกูลแล้ว กลุ่มหลังจะไม่ค่อยอะไรมากเท่ากลุ่มแรก คือใช้จ่ายแบบสบายๆเลย
อ่อ ปกติมนุษย์ย่อมหาเหตุผลที่ฟังดูดีๆเพื่อมาสนับสนุนการกระทำขอบตัวเองเสมอๆครับ ไม่ว่าจะฟังขึ้นหรือไม่ก็ตาม
ความคิดเห็นที่ 8
เราเคยตั้งกระทู้แนวๆนี้ในห้องนี้พ่วงกับชานเรือน หวุดหวิดจะดราม่าเอา คือเรามองว่าคนที่ให้เงินลูกไปใช้กับเรื่องที่ไม่จำเป็นมากๆเนี่ย มันเป็นการทำร้ายทางอ้อมน่ะ โอเคว่ารวยจริงมีจริง แต่เผื่อใจไว้มั่งมั้ย กับวันที่ตัวเองอาจจะไม่สามารถฟุ่มเฟือยแบบนี้ได้แล้วน่ะ เราเองก็หัวสมัยใหม่ ไม่ใช่คนเขียมอะไรมากมายนะ แต่หลายๆครั้งที่เราพบว่าหลายคนใช้เงินเกินความจำเป็นไปมากน่ะ เช่นเด็กอายุ 12 อยากได้กล้องถ่ายรูปตามรุ่นพี่ที่รร. ทั้งที่ฝีมือตัวเองถ่ายด้วยกล้องตัวละ 4000 ก็พอแล้ว แต่กลับเรียกร้องเอากล้องตัว 19k อะไรแบบนี้ หรือประเภทว่าซื้อนิยายซีรีย์คุณชายฯมาเพราะติดละคร บ้าดารา แต่ไม่เคยอ่านเลย เอามาอ่านๆเปิดๆรวมกันแล้วไม่ถึงครึ่งเล่ม บางเล่มคนที่ร้านห่อปกแล้วมันเป็นคลื่น พอดีเป็นปกดาราที่ชอบ ก็ไปซื้อเล่มใหม่มาอีก บ้าไปแล้ว การใช้เงินแบบที่เรายกมานี้มันไม่ใช่ปะ ต่อให้รวยมากๆติดอันดับ top ของไทยเราว่ามันก็งี่เง่าน่ะ เออ ถ้าบ้ากล้องจริง ออกทริปถ่ายเป็นว่าเล่นทุกวีค จะเอากล้องตัวละ 45k มันก็น่าสนับสนุน หรือนิยงนิยายอะไร ถ้าอ่านจริงจังทุกวัน เป็นคนติดนิยาย จะซื้อเหมามันทั้งสำนักพิมพ์แจ่มใสหรือ ณ บ้านวรรณกรรมอะไรเราว่าก็ไม่น่าเกลียด วันนึงอาจจะเข้าแข่งแฟนพันธุ์แท้นิยายไทยได้
ประเด็นมันอยู่ที่ว่าพ่อแม่หลายคนไม่รู้จักสอนให้เด็กควบคุมความอยากได้อยากมีตามเพื่อน ให้รู้จักเลือกเอาแต่สิ่งที่มีประโยชน์จริงๆ ต่อยอดได้จริงๆ หรือสอนให้เผื่อใจไว้ในวันที่พ่อแม่ไม่อาจจะให้ได้ในสิ่งที่เคยได้น่ะ
ประเด็นมันอยู่ที่ว่าพ่อแม่หลายคนไม่รู้จักสอนให้เด็กควบคุมความอยากได้อยากมีตามเพื่อน ให้รู้จักเลือกเอาแต่สิ่งที่มีประโยชน์จริงๆ ต่อยอดได้จริงๆ หรือสอนให้เผื่อใจไว้ในวันที่พ่อแม่ไม่อาจจะให้ได้ในสิ่งที่เคยได้น่ะ
ความคิดเห็นที่ 1
สาธุ ขออย่าดราม่าเลย เพี้ยงงงงงงงงงงงงงง (ลืมถอดล๊อคอิน)
เล่าให้ฟังอีกนิด ตอนทำงานช่วงแรกๆ เงินเดือน 15000 ผมก็ใช้เงินสมฐานะ 15000 นะครับ
คือกินอาหารธรรมดา 3 มื้อ สิ้นเดือนก็ KFC พิเศษซักรอบหนึง เก็บเดือนล่ะ 4000
คือมันไม่ใช่ว่าเราเคยอยู่ยังไง แล้วจะต้องเป็นแบบนั้นตลอดไป เราแค่รู้สถานะตัวเองให้ดีว่าเราเป็นใครในตอนนั้น
และมาทำที่ใหม่ ได้รวมๆ 23000 ผมก็ เก็บมากขึ้น แต่เริ่มกินหรูขึ้นอีก เช่น โออิชิ เดือนล่ะครั้ง
นี่คือการใช้เงินตามฐานะของผม และเป็นความพึงพอใจ
(เงินตรงนี้ขอไม่นับรวมกับที่บ้านนะครับ เพราะไม่ได้ขออีกแล้ว)
เล่าให้ฟังอีกนิด ตอนทำงานช่วงแรกๆ เงินเดือน 15000 ผมก็ใช้เงินสมฐานะ 15000 นะครับ
คือกินอาหารธรรมดา 3 มื้อ สิ้นเดือนก็ KFC พิเศษซักรอบหนึง เก็บเดือนล่ะ 4000
คือมันไม่ใช่ว่าเราเคยอยู่ยังไง แล้วจะต้องเป็นแบบนั้นตลอดไป เราแค่รู้สถานะตัวเองให้ดีว่าเราเป็นใครในตอนนั้น
และมาทำที่ใหม่ ได้รวมๆ 23000 ผมก็ เก็บมากขึ้น แต่เริ่มกินหรูขึ้นอีก เช่น โออิชิ เดือนล่ะครั้ง
นี่คือการใช้เงินตามฐานะของผม และเป็นความพึงพอใจ
(เงินตรงนี้ขอไม่นับรวมกับที่บ้านนะครับ เพราะไม่ได้ขออีกแล้ว)
แสดงความคิดเห็น
เด็กสมัยนี้ ไม่รู้จักคุณค่าของเงิน, ฟุ่มเฟือย และ ต่อไปจะลำบาก จริงหรอครับ???
1. เรื่องการใช้เงินตามฐานะ และความพึงพอใจ
(เช่น รวย ร้อยล้าน แต่พึงพอใจแบบคนเดินดิน )
2. อย่าตัดสินคนอื่น เพียงเพราะการใช้เงินตามฐานะของเขา
( เช่นเขากินสเต็กจานล่ะสามพัน แล้วบอกว่า ข้าวแกงสามสิบก็อิ่มเหมือนกัน)
ผมก็คนหนึ่งนะครับ ที่สมัยเรียนเนี่ยเคยใช้เงินแบบไม่คิดเลย ไม่ว่าจะเรื่องกิน เสื้อผ้าหน้าผม หนังสือเรียน
อุปกรณ์ไอทีต่างๆ มือถือเปลี่ยนปีล่ะเครื่อง(ฟุ่มเฟือยไหม) คอมพิวเตอร์ใช้ macbook(ทั้งที่ไม่จำเป็น)
อยู่หอพักราคาแพง(ติดแอร์สุดหรูที่สุดในซอย) อยากกินอะไรที่จะกินไม่ว่าจะบุฟเฟ่ห์ หรืออาหารหรูต่างๆ
อยากเรียนพิเศษญี่ปุ่น อยากเรียนพิเศษอังกฤษเต็มที่เลย อยากซื้อหนังสืออะไร แม้จะไร้สาระแค่ไหนเต็มที่เหมือนกัน
ถ้าถามว่าทำไมถึงใช้เงินแบบไม่คิด???
- ครอบครัวผมเขาไม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ
คุ้มไหมกับสิ่งที่ทำแลกกับเงินที่จ่ายไป ???
- แล้วแต่มุมมองครับ macbook ทำให้ผมใช้ osx เป็น และใช้ในการสมัครงานเป็นประสบการณ์
- มือถือที่ซื้อเครื่องใหม่ ผมศึกษาว่ามันจะทำให้ผมเขียนโค๊ดใหม่ๆ หรือทำอะไรได้บ้าง
- อาหาราคาแพง ทำให้ครั้งหนึ่งในชีวิตผมได้ชิมเนื้อแกะ และอะไรอีกมากมายที่ทั้งชีวิตยังไม่เคยลองกิน
- การเรียนภาษาต่างๆ ทำให้ผมสมัครงานได้ง่ายขึ้นครับ และมันช่วยได้จริงๆ
- การซื้อหนังสือไร้สาระ มันทำให้ผมค้นพบว่าตัวเองเก่งอะไร รักอะไร ชอบอะไร ซึ่งในหนังสือเรียนมันไม่ได้เขียนไว้
- ผมอยู่หอหรู เพราะเวลาอ่านหนังสือผมชอบใช้สมาธิสูง อากาศร้อนๆมันหงุดหงิดอ่านไม่ได้ หอสมุดก็จอแจเกินไป
ใช้จ่ายไม่คิด อนาคตจะรู้คุณค่าของเงินหรอ ???
- แล้วแต่จะคิดครับ คุณค่าของเงินแต่ล่ะคนมันวัดไม่เท่ากัน ตอนที่ทำงานผมก็ยังใช้เงินเยอะอยู่ แต่รู้ว่าต้องเก็บเท่าไหร่
และผมก็ไม่เห็นความจำเป็นว่าเราจะต้องพิสูจน์ความลำบาก เพื่อที่จะได้บอกกับโลกได้ว่าฉันเห็นค่าของเงิน
ดังนั้น "ผมจะซื้อในสิ่งที่อยากซื้อ ในราคาที่พึงพอใจ โดยไม่กระทบถึงแผนการชีวิตในอนาคตของผม"
เด็กแบบผมเติบโตมาในครอบครัวที่พร้อมจะสนับสนุนทุกสิ่งที่เขาคิดว่าดี และผมก็ใช้มันตามฐานะครับ
***** อยากจะฝากไว้จริงๆ คือเห็นเด็กสมัยนี้เข้าร้านหรู ก็อย่าเพิ่งไปตัดสินว่าพ่อแม่กำลังทำนาลำบากหาเงินมาให้ลูกกินกาแฟ
หรือมองว่าเด็กสมัยนี้แย่ ใช้เงินไม่เป็น ไม่เหมือนฉันเมื่อก่อนต้องผ่านอะไรมาเยอะกว่าจะมีเท่าตอนนี้ เพราะมันวัดกันไม่ได้หรอกครับ
ว่าคนเคยลำบากจะเห็นค่าของเงินทุกคน หรือคนฟุ่มเฟือยจะต้องลำบากทุกคนในอนาคต อย่าคิดไปวาดฝันอนาคตคนอื่นเลยครับ
ดูที่ใจ รู้ที่ใจ ปฏิบัติหน้าที่ของเราให้ดีก็พอ ใครดีเราก็ยินดีกับเขา ใครแย่ เราก็คอยช่วยเหลือ ไม่ใช่มานินทาลับหลังกันแบบทุกวันนี้
อย่าตัดสินคนอื่น ด้วยมุมมองของคุณ