ประชาธิปไตยเลือกได้แต่ vote ชอบ กับ ไม่ลงคะแนน แต่ไม่มีโหวตเกลียด
ปัญหาคือ เราจะได้ผู้นำที่สุดขั่วเสมอ เช่น
สมมติการเลือกตั้งหัวหน้าห้องมีตัวแทนสามคน
นาย A เป็นผู้ชายที่หล่อ เป็นที่นิยมของฝ่ายหญิงแต่ชอบหาเรื่องผู้ชายคนอื่น
นส B เป็นผู้หญิงสวย เป็นที่นิยมของผู้ชายในห้อง แต่ชอบหาเรื่องผู้หญิงคนอื่น
นาย C หน้าตาธรรมดา เป็นมิตรกับทุกคน ไม่ค่อยมีคนเกลียด
ถ้าในห้องมีผู้ชายมาก B ก็ชนะ แต่ถ้าในห้องมีผู้หญิงมาก A ก็ชนะ พออีกฝ่ายชนะแล้วก็บอกให้ฝ่ายแพ้ทนไปเอง จนในที่สุดก็ทะเลาะทั้งห้อง
ทั้งๆ ที่ถ้าเลือก C ในห้องก็ยังสามัคคีอยู่แต่ไม่มีใครเลือก เพราะลงได้แต่ชอบ แต่ถ้าลงเกลียดได้ด้วย ไม่แน่ว่า C อาจชนะ
อีกตัวอย่างที่อียิปต์สมมติ มีพวกเสรีนิยม 49% กับเคร่งศาสนา 51% ยังไงซะ เลือกตั้งเสร็จพวกเคร่งศาสนาก็ต้องชนะ
ผู้นำที่เคร่งศาสนาก็ไม่ต้องสนใจคะแนนของพวกเสรีนิยม เพราะมีฐานเสียงถึง 51% ของตนอยู่แล้ว จีงออกนโยบายไม่ต้องเห็นใจฝ่ายเสรีนิยม
แก้รัฐธรรมนูธแล้วพวกเสรีนิยมก็ต้องทำตามกฏใหม่ของพวกเคร่งศาสนา ถ้าไม่ยอมก็วุ่นวายหาทางออกไม่ได้
ถ้าจะบอกให้ฝ่ายแพ้ทนๆไปสี่ปี มันก็ได้แค่ชั่วคราว เพราะสุดท้ายมันก็ถึงจุดที่ทนไม่ได้เพราะแพ้เรื่อยๆ แล้วจะรุนแรงเกินจริงถึงฆ่ากันเองด้วยซ้ำ
บางคนบอกให้เลือกพรรคกลางๆ ไม่เคร่งมาก ไม่เสรีมากเกินไป แต่คนก็ไม่เลือกอยู่ดีเพราะเทคะแนนให้เคร่ง กับ เสรีสุดขั่วกันหมด
งั้นเอาอย่างนี้ดีไหม ไหนๆ น้ำกับไฟก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ให้โหวตเกลียดกันไปเลย ผู้ชนะคือผู้ที่มีคะแนนโหวต หลังหักคะแนนเกลียดออกไป
เช่น ถ้านายมอร์ซี มีคะแนนโหวตชอบ 51% ก็ต้องหักคะแนนโหวตเกลียด 49% จะเหลือแค่ 2% (แต่จริงๆแล้วไม่ทุกคนที่เป็นเสรีนิยมจะโหวตเกียจนายมอร์ซี จึงอาจมีคะแนนหลังหักเกลียดเหลือประมาณ 10%) ในทางตรงกันข้ามพวกเสรีนิยมก็โดนโหวตเกลียดจากพวกเคร่งศาสนาจนคะแนนน้อยกว่านายมอร์ซีอยู่ดี คราวนี้ถ้ามีพรรคที่สามเป็นกลางก็เอาชนะได้ พวกเสรีก็รับได้ พวกเคร่งก็รับได้ เพราะอย่างน้อยฝ่ายที่เกลียดไม่ได้เลือก พรรคที่สามเองก็ต้องเร่งสร้างคะแนนไม่อย่างนั้นคราวหน้าโดนเกลียดบ้าง อาจเหลือคะแนนหักเกลียดแล้วเหลือแค่ 1%
แล้วจะทำไปเพื่ออะไร ?
1. พรรคที่มีนโยบายสุดขั้ว ต้องปรับนโยบายให้เบาลง เอาใจอีกฝ่ายมากขึ้น เพราะต้องคำนึงถึงคะแนนเกลียดด้วย
2. เพิ่มโอกาสให้พรรคใหม่ๆ เล็กๆ ที่มีคนเกลียดน้อยๆ แต่ยังไม่มีผลงาน คนไม่รู้จักจึงมีคะแนนโหวตน้อยได้คะแนนเยอะขึ้น เพราะยังไม่มีคนเกลียด อันจะทำให้คนดีๆ กล้าลงมาเป็นทางเลือกของประชาชน
3. พรรคที่มีนโยบายกลางๆ ซึ่งปกติคนเค้าไม่เลือกเพราะคนหันไปเทคะแนนให้พรรคที่สุดขั้วที่ตนนิยม ได้จำนวน สส มากขึ้น
3. สำคัญคือ ความขัดแย้งของประชาชนมีน้อยลง เพราะเนื่องจากข้อ 1 และการได้มีส่วนร่วมแสดงออกว่าเกลียดใครไปแล้วจึงยอมรับได้
ถ้ามี hate vote ช่องกาเกลียด บ้านเมืองอิยิปต์และอื่นๆคงไม่วุ่นวายแบบนี้
ปัญหาคือ เราจะได้ผู้นำที่สุดขั่วเสมอ เช่น
สมมติการเลือกตั้งหัวหน้าห้องมีตัวแทนสามคน
นาย A เป็นผู้ชายที่หล่อ เป็นที่นิยมของฝ่ายหญิงแต่ชอบหาเรื่องผู้ชายคนอื่น
นส B เป็นผู้หญิงสวย เป็นที่นิยมของผู้ชายในห้อง แต่ชอบหาเรื่องผู้หญิงคนอื่น
นาย C หน้าตาธรรมดา เป็นมิตรกับทุกคน ไม่ค่อยมีคนเกลียด
ถ้าในห้องมีผู้ชายมาก B ก็ชนะ แต่ถ้าในห้องมีผู้หญิงมาก A ก็ชนะ พออีกฝ่ายชนะแล้วก็บอกให้ฝ่ายแพ้ทนไปเอง จนในที่สุดก็ทะเลาะทั้งห้อง
ทั้งๆ ที่ถ้าเลือก C ในห้องก็ยังสามัคคีอยู่แต่ไม่มีใครเลือก เพราะลงได้แต่ชอบ แต่ถ้าลงเกลียดได้ด้วย ไม่แน่ว่า C อาจชนะ
อีกตัวอย่างที่อียิปต์สมมติ มีพวกเสรีนิยม 49% กับเคร่งศาสนา 51% ยังไงซะ เลือกตั้งเสร็จพวกเคร่งศาสนาก็ต้องชนะ
ผู้นำที่เคร่งศาสนาก็ไม่ต้องสนใจคะแนนของพวกเสรีนิยม เพราะมีฐานเสียงถึง 51% ของตนอยู่แล้ว จีงออกนโยบายไม่ต้องเห็นใจฝ่ายเสรีนิยม
แก้รัฐธรรมนูธแล้วพวกเสรีนิยมก็ต้องทำตามกฏใหม่ของพวกเคร่งศาสนา ถ้าไม่ยอมก็วุ่นวายหาทางออกไม่ได้
ถ้าจะบอกให้ฝ่ายแพ้ทนๆไปสี่ปี มันก็ได้แค่ชั่วคราว เพราะสุดท้ายมันก็ถึงจุดที่ทนไม่ได้เพราะแพ้เรื่อยๆ แล้วจะรุนแรงเกินจริงถึงฆ่ากันเองด้วยซ้ำ
บางคนบอกให้เลือกพรรคกลางๆ ไม่เคร่งมาก ไม่เสรีมากเกินไป แต่คนก็ไม่เลือกอยู่ดีเพราะเทคะแนนให้เคร่ง กับ เสรีสุดขั่วกันหมด
งั้นเอาอย่างนี้ดีไหม ไหนๆ น้ำกับไฟก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ให้โหวตเกลียดกันไปเลย ผู้ชนะคือผู้ที่มีคะแนนโหวต หลังหักคะแนนเกลียดออกไป
เช่น ถ้านายมอร์ซี มีคะแนนโหวตชอบ 51% ก็ต้องหักคะแนนโหวตเกลียด 49% จะเหลือแค่ 2% (แต่จริงๆแล้วไม่ทุกคนที่เป็นเสรีนิยมจะโหวตเกียจนายมอร์ซี จึงอาจมีคะแนนหลังหักเกลียดเหลือประมาณ 10%) ในทางตรงกันข้ามพวกเสรีนิยมก็โดนโหวตเกลียดจากพวกเคร่งศาสนาจนคะแนนน้อยกว่านายมอร์ซีอยู่ดี คราวนี้ถ้ามีพรรคที่สามเป็นกลางก็เอาชนะได้ พวกเสรีก็รับได้ พวกเคร่งก็รับได้ เพราะอย่างน้อยฝ่ายที่เกลียดไม่ได้เลือก พรรคที่สามเองก็ต้องเร่งสร้างคะแนนไม่อย่างนั้นคราวหน้าโดนเกลียดบ้าง อาจเหลือคะแนนหักเกลียดแล้วเหลือแค่ 1%
แล้วจะทำไปเพื่ออะไร ?
1. พรรคที่มีนโยบายสุดขั้ว ต้องปรับนโยบายให้เบาลง เอาใจอีกฝ่ายมากขึ้น เพราะต้องคำนึงถึงคะแนนเกลียดด้วย
2. เพิ่มโอกาสให้พรรคใหม่ๆ เล็กๆ ที่มีคนเกลียดน้อยๆ แต่ยังไม่มีผลงาน คนไม่รู้จักจึงมีคะแนนโหวตน้อยได้คะแนนเยอะขึ้น เพราะยังไม่มีคนเกลียด อันจะทำให้คนดีๆ กล้าลงมาเป็นทางเลือกของประชาชน
3. พรรคที่มีนโยบายกลางๆ ซึ่งปกติคนเค้าไม่เลือกเพราะคนหันไปเทคะแนนให้พรรคที่สุดขั้วที่ตนนิยม ได้จำนวน สส มากขึ้น
3. สำคัญคือ ความขัดแย้งของประชาชนมีน้อยลง เพราะเนื่องจากข้อ 1 และการได้มีส่วนร่วมแสดงออกว่าเกลียดใครไปแล้วจึงยอมรับได้