บ้านรักเรือนใจ ตอนที่ 1// Sabika

บทนำ http://pantip.com/topic/30682200

การพบกัน

.”จี”

“จี” เสียงเรียกจากด้านนอกดังขึ้นอีกครั้ง

“ตาจี” และอีกครั้งที่ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ จากเจ้าของห้อง

“จี ตื่นได้แล้วลูก” ร่างสูงใหญ่สมส่วนบนที่นอนที่ยุ่งเหยิงดึงหมอนมาปิดใบหน้าเพื่อหลบเลี่ยงเสียงที่ไม่พึงปรารถนา

“จี แม่เรียกเป็นครั้งที่ห้าแล้วนะ” อีกครั้งที่ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ จากคนในห้อง

“จีจี้ แม่เรียกได้ยินมั้ย” เสียงเรียกที่ดังขึ้นในครั้งนี้ทำให้ร่างสมส่วนบนที่นอนกระเด้งตัวลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มิใช่เพราะน้ำเสียงที่เรียกหากแต่เป็นชื่อที่ได้ยินทำให้เจ้าของห้องรู้แล้วว่ามารดากำลังจะโมโห

“ตื่นแล้วครับแม่” เสียงนุ่มทุ้มรีบตอบออกไปทันทีแม้ดวงตาจะยังปรี่รืออยู่ก็ตาม

“รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วมาทานข้าวนะลูก” เสียงด้านนอกบอกอีกครั้งและจากไป

           จีหรือจีรพัส  ปัดผมยาวที่ปิดหน้าปิดตาของตนออกไปอย่างลวก ๆ พร้อมเรียกสติให้ตัวเองและลากสังขารที่อ่อนแรงไปทำตามที่มารดาสั่ง ปีนี้เค้าอายุ 27 ปีแล้วแต่ก็ยังคงไม่สามารถตื่นนอนได้เองไม่ว่าจะใช้นาฬิกาปลุกที่เสียงดังแค่ไหนก็ไม่สามารถปลุกเค้าได้ ยกเว้นก็แต่เสียงมารดาของเค้าเวลาเรียกเค้าว่า “จีจี้” เท่านั้นถึงขั้นที่บรรดาพี่น้องต้องอัดเสียงตะโกนของมารดาไว้ให้เป็นเสียงปลุกเสียงพิเศษสำหรับเค้าแต่เพียงผู้เดียว   จีรพัสแต่งตัวหวีผมอย่างลวก ๆ แล้วเดินออกไปหามารดาที่กำลังทำอาหารเช้าอยู่ในครัว

“มีอะไรทานครับแม่” กอดมารดาพร้อมกดจมูกลงบนแก้มอวบนั้นอย่างเอาใจ

“หึ กลับมาตีอะไรล่ะเรา แม่นึกว่าบ้านนี้แม่อยู่คนเดียวซะอีก อยู่ดี ๆ เด็กที่ไหนไม่รู้มาปีนรั้วบ้านสะเดาะประตูเข้ามา” ผู้เป็นมารดาไม่หลงกลกับลูกชายจอมเจ้าเล่ห์และเริ่มต้นซักฟอกในแบบฉบับตัวเองทันที

“โธ่ แม่ครับผมก็แค่เลยไปสังสรรกับพวกไอ้...” เห็นสายตาพิฆาตของมารดาจึงรีบเปลี่ยนประโยคให้สุภาพขึ้นทันที “เอ่อ ... ไปกับพวกบอมครับ”

“แม่ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย   แค่จะเตือนว่าอย่ากลับบ้านให้มันดึกดื่นนักเลยลูกที่นี่เมืองไทยไม่ใช่ปารีสนะอันตรายรอบด้าน  แล้วไอ้ที่ปีนเข้าบ้านมาดึก ๆ เพราะกลัวเสียงรถทำให้แม่ตื่นน่ะเลิกได้แล้วมันอันตราย  เกิดแม่เข้าใจว่าเป็นขโมยขโจรจะทำยังไง แล้วเกิดวันดีคืนดีมีขโมยนึกมาปีนบ้านเราเล่นแล้วแม่เข้าใจว่าเป็นจีจะทำยังไง”  บ่นยาวเหยียดให้ลูกชายตัวดีที่ทำหน้าจ๋อยอยู่

“คร้าบแม่ ต่อไปถ้าจะกลับดึกจีจะโทรมาบอกแม่ก่อน แม่จะได้ไม่ห่วงแล้วรอ” เจ้าตัวคนผิดทำหน้าเศร้าเพื่อเรียกคะแนนสงสารจากมารดา

“ให้มันได้อย่างที่พูดเถอะ ไปกินอาหารเช้าได้แล้วเราน่ะ” บ่นไม่จริงจังพร้อมดันร่างสูงใหญ่ให้นั่งลงเพื่อทานอาหารเช้า

         ด้วยจีรพัสไปอาศัยอยู่ที่ปารีสเป็นเวลาหลายปีทำให้เคยชินกับการกินอาหารเช้า สาย บ่าย เย็นแบบฝรั่งเศสตามอย่างผู้เป็นบิดา ดังนั้นอาหารเช้าของเค้าจึงเป็นอะไรที่ง่าย รวดเร็วและไม่มาก คือกาแฟ และขนมปังทาแยมเท่านั้น จะมีบางวันที่หิวก็เพิ่มโยเกิร์ตและผลไม้ จีรพัสรับประทานอาหารเช้าพร้อมอ่านหนังสือพิมพ์ในขณะที่มารดานั่งดูข่าวในทีวีอย่างเคย

“วันนี้จีเข้าบริษัทรึเปล่าลูก หรือว่าจะไปรับกิอย่างเดียว” มารดาถามขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มวางหนังสือพิมพ์ลง

“เข้าครับ เอางานไปส่งลุงเอกเพราะลูกค้าเร่งมา แล้วเที่ยงจีก็ว่าจะออกไปรอรับกิที่สนามบินเลยครับ เห็นป้าปิ่นบอกว่าอยากไปด้วย แต่เดี๋ยวจะบอกจีอีกที” ตอบมารดาเสร็จก็จิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์

“อืม นั่นสิแต่ป้าเราเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้หรอก บอกไปนาทีนี้เดี๋ยวอีกห้านาทีก็เปลี่ยนใจ” ประโยคหลังเรียกเสียงหัวเราะจากทั้งสองแม่ลูกคนเป็นลูกได้เป็นอย่างดีเพราะพูดขึ้นพร้อมกันด้วยรู้นิสัยกันดี

“รับกิเสร็จแล้วก็กลับบ้านเลยนะจี ห้ามไปเถลไถลที่ไหนเด็ดขาด” กำชับเจ้าตัวดีไว้ก่อนไม่เช่นนั้นนางคงได้เจอหน้าลูกชายอีกคนวันพรุ่งนี้เป็นแน่

“คร้าบคุณหญิงแม่จีจะรีบพากีกิลูกรักของแม่กลับมาทันทีที่ท่านชายลงจากเครื่องบินเลย” ตอบอย่างทะเล้นพร้อมคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งหนีฝ่ามือที่กำลังจะฟาดลงมาอย่างรวดเร็ว

“จีไปนะครับแล้วจะรีบกลับ” ตะโกนบอกลามารดาพร้อมขับรถคู่ใจออกไปทันที

“ไอ้ลูกคนนี้” นางได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจหากใบหน้าเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม

        ที่สนามบินสุวรรณภูมิชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ราวกับชาวตะวักตกกำลังยืนสนทนาโทรศัพท์อยู่ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

“ไอ้จีแกอยู่ไหนเนี่ยเครื่องชั้นลงนานแล้วนะแล้วนี่ชั้นก็รอแกมาครึ่งชั่วโมงแล้ว” เสียงหงุดหงิดดังไปตามสายและใบหน้าของเจ้าของเสียงยิ่งบิดเบี้ยวเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้รับคำตอบจากปลายสาย

“สิบนาทีบ้าอะไรของแก สิบมาครึ่งชั่วโมงแล้วนะ ถ้าแกมารับไม่ได้ทำไมไม่บอกชั้นจะได้นั่งแท็กซี่กลับบ้านเอง แกก็รู้ว่ามันเหนื่อยนะเว้ยนั่งเครื่องมาตั้งหลายชั่วโมงแล้วแถมยัยผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ ชั้นก็ดูไม่ค่อยจะเต็ม  พูดได้ไม่หยุดกับป้าข้าง ๆ เรื่องต้นไม้ใบหญ้าจนหมดโลกแล้วมั้งไม่หยุดเลยตั้งแต่เครื่องขึ้นยัน....โอ๊ย” เสียงห้าวยังคงจะบ่นต่อไปไม่หยุดหากไม่มีฝ่ามือของใครบางคนฟาดเข้าที่ไหล่อย่างแรง

“โอ๊ย” เสียงร้องอย่างตกใจและเจ็บแปลบดังขึ้นมาตามสายจีรพัสใจหายวาบ

“เฮ้ย กิเป็นอะไร” เสียงร้องที่ดังและเงียบไปนั้นทำให้จีรพัสรีบดับเครื่องยนต์ที่นำเข้าจอดแล้วและออกวิ่งทันทีด้วยคิดว่าฝาแฝดอาจจะกำลังอยู่ในภาวะอันตราย

“กิ...กิ...ไอ้กิ...เฮ้ยกิเป็นอะไร” น้ำเสียงร้อนรนกรอกไปตามสายอย่างสั่นไหวพร้อมเท้ายาว ๆ ที่วิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิตด้วยห่วงคนที่อยู่ปลายสายเป็นอย่างมาก

          ส่วนบุคคลที่ร้องโอ๊ย กำลังยืนกุมไหล่มองหน้าผู้หญิงตัวเล็กผมซอยสั้นหน้าตาน่ารักสดใสตรงหน้าที่หากแววตาเอาเรื่อง เป็นเวลาอื่นเค้าคงจะเพลินไปกับความน่ารักตรงหน้าหากแต่เวลานี้ชายหนุ่มมีแต่ความโกรธเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร

“นี่คุณอีกแล้วเหรอ คุณมาตีผมทำไมไม่ทราบ”

“อุ๊ย คุณชั้นขอโทษ ชั้นนึกว่าคุณเป็นคนที่ชั้นรู้จักมองจากด้านหลังเหมือนมากจะว่าไปด้านหน้านี่ก็ยิ่งเหมือน”  หญิงสาวที่นั่งติดกับชายหนุ่มตลอดการเดินทางเอ่ยขึ้นพร้อมอย่างขอโทษขอโพยด้วยเข้าผิดว่าชายหนุ่มเป็นคนที่ตนรู้จักหากแต่เมื่อเห็นหน้าของผู้ชายตรงหน้าก็รู้ตัวเองว่าพลาดที่ฟาดฝ่ามือเข้าใส่คนผิด   แต่ความรู้สึกผิดหายไปทันทีเมื่อจำได้ว่าเมื่อครู่ตัวเธอได้ยินเค้ากำลังกล่าวหาผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งข้างเขาบนเครื่องบินว่าสติไม่ดีซึ่งก็คือตัวเธอนั่นเอง

“ขอโทษอีกครั้งนะคะ หวังว่าคงไม่ถือเพราะชั้นไม่ค่อยเต็มนะค่ะบางทีก็จำคนผิดบ่อย ๆ”  เอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมจิกตามองชายหนุ่มตรงหน้าที่เธอจำได้แล้วว่านั่งอยู่บนเครื่องบินด้วยกันมาร่วมสิบชั่วโมง   ‘ผู้ชายอะไรหน้าตาหล่อเหมือนรูปปั้นสวย ๆซะเปล่าปากจัดเป็นบ้า’

“ไม่เป็นไร  แต่วันหลังก็หัดมองให้แน่ใจก่อนแล้วค่อยทักก็ได้นะคุณมันเป็นมารยาททางสังคมที่คนเจริญแล้วเค้าทำกัน”  เมื่อสาวเจ้าจิกตามองมาเค้าก็จิกตามองตอบ  ตาสีฟ้าใสบัดนี้กลายเป็นสีเทาขุ่นตามอารมณ์

“คุณว่าชั้นเหรอ”  เสียงแว้ดดังขึ้นทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ หญิงสาวกำลังจะเปิดศึกกับคนตรงหน้าแล้วหากเสียงเรียกชื่อของตนไม่ดังขึ้นเสียก่อน

“หนูเรย์ ทำอะไรอยู่ตรงนี้ลูกพ่อกับแม่รอนานแล้วนะ”

“หนูเรย์อยู่นี่ค่ะ พอดีหนูเรย์จำคนผิดนึกว่าใครบางคนที่รู้จักเลยเสียเวลาไปค่ะ”  เสียงใสหันไปตอบกับมารดาด้วยแววตาที่ยังคงเจือความโกรธอยู่

“อ้าวเหรอลูก .. ขอโทษด้วยนะคะคุณพอดีลูกสาวค่อนข้างเสียงดังน่ะค่ะ”  มารดาของสาวเจ้าขอโทษขอโพยชายหนุ่มด้วยเห็นว่าบรรยากาศตรงหน้าดูคุกรุ่นพิกล

“ไม่เป็นไรครับผมไม่ถือ” เมื่อผู้ใหญ่สุภาพมาชายหนุ่มก็สุภาพกลับ

ผุ้สูงวัยตรงหน้าส่งยิ้มบาง ๆ ให้  พลางพยายามลากลูกสาวตัวดีไป หากแต่เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังชายหนุ่มหล่อคนนี้ก็ดึงความสนใจของลูกสาวของตนเองไปเสียแล้ว

“กิ ... กิ แกเป็นอะไรรึเปล่า”  ชายหนุ่มผมยาวที่หน้าราวกับคน ๆ เดียวกันกับชายหนุ่มตรงหน้าเดินเข้าหาร่างของชายหนุ่มผมสั้นสีน้ำน้ำตาลอมทองทันทีที่มาถึง

“พี่จี ...พี่จีจริง ๆ ด้วย”  เสียงใส ๆ ทักขึ้นอย่างร่าเริงเมื่อเห็นชายหนุ่มผมยาวที่กำลังเขย่าผู้ชายอีกคนอย่างเอาเป็นเอาตายดึงความสนใจของสองหนุ่มตรงหน้ามายังร่างเล็กอีกครั้ง

“อ้าวหนูเรย์กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วมาทำอะไรที่นี่”  จีรพัสทักทายสาวน้อยตรงหน้าเมื่อเห็นเต็มตาว่าเป็นใคร  น้ำเสียงที่ทักทายออกไปอย่างคุ้นเคยทำให้ผู้เป็นผู้ชายอีกคนถึงกับขมวดคิ้ว

“ถึงว่าหน้าโคตรคุ้นที่แท้ก็แฝดพี่จีนี่เอง”  เสียงหญิงสาวที่ดังขึ้นทำให้ถูกมารดาตีแขนดังเพี๊ยะ

“หนูเรย์ พูดไม่เพราะ” สาวน้อยนามว่าหนูเรย์ถูกมารดาตีเพี๊ยะทันทีเมื่อคำไม่สุภาพหลุดออกมาเจ้าของชื่อยิ้มแหยพลางคลำแขนป่อย ๆ พลางมองหน้าคนผมยาวตรงหน้า

“คุณน้าสวัสดีครับ ... ผมจีรพัสเพื่อนรุ่นพี่หนูเรย์ที่ซอร์บอร์นครับ  แล้วนี่กิ  ...กิรกรพี่ชายฝาแฝดผมเองครับ”  ชายหนุ่มผมยาวเอ่ยทักทายมารดาของรุ่นน้องที่สนิทพร้อมแนะนำตัวเองกับพี่ชายเสร็จสรรพ   มารดาของหญิงสาวรับไหว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“คนนี้นี่เองพี่จีของหนูเรย์  แม่ได้ยินเรื่องจีจากหนูเรย์เยอะเลย  ไว้ว่าง ๆ แวะไปที่บ้านสิจ๊ะจะได้ช่วยเล่าวีรกรรมของหนูเรย์ให้แม่ฟังว่าแอบไปเกเรที่ไหนรึเปล่า”  มารดาของสาวน้อยร่างเล็กเอ่ยชวนอย่างเป็นกันเอง

“แม่คะ" ค้อนมารดาหน้าคว่ำ

“ได้เลยครับ  ผมจะบอกคุณน้าทุกเรื่องเลย”  จีรพัสบอกมารดาของเพื่อนรุ่นน้องพลางหัวเราะ จึงทำให้ได้รับค้อนวงใหญ่จากคนตัวเล็กกว่าทันที

“แม่ว่าเราแยกย้ายกันตรงนี้ดีกว่า แล้วค่อยให้หนูเรย์พาจีไปเที่ยวบ้านนะจ๊ะ  ป่านนี้พ่อรอแย่แล้ว”  ผู้สูงวัยที่สุดในกลุ่มกล่าวตัดบทด้วยเห็นว่าชายหนุ่มนามว่ากิรกรค่อย ๆ เผยอาการเหนื่อยล้าออกมาทางร่างกายและสายตา  ซ้ำยังคงส่งสายตาคุกรุ่นไปให้ลูกสาวตัวน้อยของตนด้วย

“ครับคุณน้างั้นผมลาตรงนี้นะครับ  หนูเรย์แล้วค่อยเจอกันนะ”

สองหนุ่มยกมือไหว้อำลาผู้อาวุโสพร้อมมองตามสองแม่ลูกที่เดินกอดกันออกไป   ทันทีที่สองร่างหายไปกับฝูงชนจีรพัสก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองรีบวิ่งมาเพื่ออะไร

“เฮ้ยกิ... เป็นอะไรรึเปล่าเมื่อกี้ชั้นได้ยินเสียงนายร้องแล้วก็เงียบไป หายใจไม่ออกแน่นหน้าอกหรือเป็นอะไรรึเปล่า”  คำถามมาเป็นชุดพร้อมกับสองมือที่ตบไปมาตามร่างกายคนตรงหน้า

“พอ ๆ ๆ ไม่ได้เป็นอะไร  เมื่อกี้ที่ร้องไปในโทรศัพท์อ่ะเพราะยัยผู้หญิงสติไม่ดีเพื่อนรุ่นน้องแกนั่นแหล่ะมาตบไหล่ชั้นตัวเล็กนิดเดียวแรงยังกับช้าง” ปัดมือฝาแฝดตัวเองออกพลางบอกสาเหตุและเรียกสติของคนที่ตบตัวเองอยู่กลับมา

“แล้วถ้าชั้นเป็นอะไรนะป่านนี้ตายไปแล้ว  เพราะแกมัวแต่ไปคุยกับยัยบ้านั่น  ผู้หญิงบ้าอะไรพูดมากเป็นบ้า” บ่นงึมงำใส่คนตรงหน้าอย่างคนมีอารมณ์

“โอ๋ ๆๆๆ เค้าขอโทษที่มาช้า  ทำให้คุณชายต้องติดอยู่กับผู้หญิงสติไม่ดีว่าแต่....ขอกอดทีนะ...คิดถึงว่ะ” ไม่พูดเปล่าโถมตัวเข้ากอดคนตรงหน้าทันที

“ไอ้บ้าจี  ไม่เปลี่ยนเลยนะแกเนี่ย”  ผลักหัวน้องชายเบา ๆ แล้วกอดตอบด้วยแรงที่เท่าเทียมกัน

“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”  คนเป็นน้องพูดเบา ๆ หากเต็มไปด้วยความรัก ความคิดถึงและผูกพันที่แน่นเกินกว่าสิ่งใดจะทำลายลงได้

“ขอบใจ” ผู้เป็นพี่เอ่ยกลับด้วยเสียงแผ่วเบาเช่นเดียวกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่