ถ้าคุณพูดเรื่องประชาธิปไตย ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารคุณก็จะถูกผลักไปเป็นเสื้อแดง
ถ้าอีกวันคุณวิจารณ์รัฐบาล อ่านเว็บ Manager รู้สึกทะแม่งๆ กับการจำนำข้าว คนอื่นก็จะบอกว่าคุณเป็นเสื้อเหลือง
รำคาญมากนัก บอกว่าไม่ชอบมันทั้งคู่ หนักเลยทีนี้ หาว่าเป็นสลิ่มไปเสียอย่างนั้น
อีกอย่างที่ผมว่าน่าห่วงก็เรื่องการแสดงความคิดเห็นใน Social Media หรือ Web board ต่างๆ นี่แหละ เข้าใจนะว่าโลกทุกวันนี้มันเชื่อมต่อถึงกันเพียงปลายนิ้ว แต่วิจารณญาณหรือการพิจารณาไตร่ตรองข้อมูลให้รอบด้านมันช่างมีน้อยเหลือเกิน
คีย์บอร์ดกลายเป็นอาวุธสำคัญที่เอาไว้ทิ่มแทง แก้แค้น ทำลายฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เห็นด้วย โดยไม่คิดที่จะฟังความเห็นหรือ "อ่าน" ให้มากกว่านี้
นึกเปรียบเทียบกับโครงการ "World Book Capital" ถ้าเราเปลี่ยนใหม่เป็น "World Keyboard Capital" คงจะเหมาะสมกว่า เพราะบ้านเมืองเราตอนนี้ใช้คีย์บอร์ดกันเก่งเหลือเกิน
ผมเคยพูดกับลูกสาวหลายครั้งว่า เดี๋ยวนี้ข้อมูลหาง่ายอะไรๆ ก็ Google เดี๋ยวมันก็ขึ้นมา แต่ที่มันยากกว่าสมัยพ่อก็คือการแยกแยะและเปรียบเทียบว่าอันไหนน่าเชื่อถือ อย่าบอกว่าจริงหรือปลอมเลย โลกทุกวันนี้ทุกคนเหมือนจะมีชุดความจริงของตัวเอง ดังนั้นการอ่านให้มาก เปรียบเทียบจากข้อมูลหลายๆ แหล่ง ไม่ใช่ว่าเจออันไหนก่อนก็เชื่ออันนั้น ผมถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนยุคนี้สมัยนี้
อีกเรื่องที่ผมรู้สึกแปลกๆ กับบ้านเมืองเราขณะนี้ก็คือ เรามองกันว่าคนแต่ละคนมีชีวิต ความเชื่อ และทัศนคติด้านเดียว ลืมมองมิติด้านอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือความเชื่อด้านการเมืองกันไป พออยู่ตรงข้ามกันแล้วก็เฝ้าแต่จ้องจับผิด ไม่เชื่อในสิ่งที่อีกคนพูด ไม่ว่าจะเรื่องใดๆ ก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก ถ้าเราคิดจะพัฒนาไปเป็นอารยะประเทศอย่างที่ฝันกัน
- ผมชอบทักษิณในมิติของผู้บริหารที่คิดเร็วทำเร็ว มีวิสัยทัศน์ แต่ไม่ชอบความใจร้อนและบรรดาคนรอบข้างบางคน
- ชอบอภิสิทธิ์และชวน ที่พูดจามีหลักการและเลือกใช้คำพูดได้ดี แต่ไม่ชอบที่บางทีก็ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม
- ชอบคุณปิยบุตร แสงกนกกุลเวลามาให้ความรู้เกี่ยวกับการเมืองของฝรั่งเศสในรายการ Divas Cafe แต่ก็ไม่ได้เห็นด้วยไปทั้งหมด
- ชอบเว็บผู้จัดการที่ Update ข่าวเร็วดีและมีเรื่องหลากหลาย แต่ผมไม่ชอบการเสียดสี และลักษณะการปลุกเร้าของข่าวการเมืองในเว็บ
- ชอบอ่านหลายๆ column ในมติชนสุดสัปดาห์ แต่ก็ไม่ชอบนักเขียนบางคน
- ชอบอ่านงานของคุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา และการเลือกแขกรับเชิญในรายการตอบโจทย์ แต่บางทีก็รำคาญแกในบทบาทพิธีกร
- ชอบคุณวรพจน์ พันธุ์พงศ์ เวลาเขียนบทความหรือบทสัมภาษณ์ แต่ไม่ชอบบทบาทเกี่ยวกับการเมืองของพี่เค้าตอนนี้
- ชอบคุณณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ในบทบาทของนักพูดหรือนักปราศัย แต่ไม่ชอบวิธีคิดและบทบาทของรัฐมนตรี
- ชอบศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองฝรั่งเศสรวมทั้งประเทศอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าบ้านเราจะต้องเป็นแบบนั้นไปเสียทั้งหมด
สุดท้ายนะ ผมก็รักในหลวง ในแบบที่คนไทยหลายๆ คนเป็น ณ ปัจจุบันนี้บ้านเรายังเป็นแบบนี้ เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ถกเถียงกันได้ มีเสรีภาพกันตามสมควร มีจุดยืนมีสิ่งที่เห็นต่าง แค่อยากเห็นการเถียงกันอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่คิดกันแต่ว่าเสรีภาพอยู่ที่ปลายนิ้ว จะพิมพ์จะเขี่ยอะไรก็ได้ โดยไม่อ่านไม่ฟังกันเลย แค่เห็นสีเสื้อก็ไม่ฟังเนื้อหากันแล้ว
ผมไม่สนหรอกว่าใครจะหาว่าเป็นสลิ่ม ผมฟังมันทุกข้างทุกสีนั่นแหละ ฟังจริงๆ อ่านจริงๆ สาระก็เอามาเพิ่มรอยหยักในสมอง อะไรที่มันเป็นอารมณ์หรือเรื่องปรุงแต่งก็ตัดทิ้งไป ทำมาหากินเลี้ยงปากท้อง ภาษีผมก็จ่ายครบถ้วน อบรมลูกเต้าให้เป็นคนดีจะได้ไม่ต้องไปสร้างปัญหาให้สังคม ผมก็ถือว่าผมทำหน้าที่พลเมืองของผมแล้วระดับหนึ่ง จะสลิ่มจะลอดช่องจะไม่มีอุดมการณ์ ไม่เลือกข้างก็เรื่องของผมแล้วกันนะ
สลิ่มขอบ่นหน่อยนะค้าบบ
ถ้าอีกวันคุณวิจารณ์รัฐบาล อ่านเว็บ Manager รู้สึกทะแม่งๆ กับการจำนำข้าว คนอื่นก็จะบอกว่าคุณเป็นเสื้อเหลือง
รำคาญมากนัก บอกว่าไม่ชอบมันทั้งคู่ หนักเลยทีนี้ หาว่าเป็นสลิ่มไปเสียอย่างนั้น
อีกอย่างที่ผมว่าน่าห่วงก็เรื่องการแสดงความคิดเห็นใน Social Media หรือ Web board ต่างๆ นี่แหละ เข้าใจนะว่าโลกทุกวันนี้มันเชื่อมต่อถึงกันเพียงปลายนิ้ว แต่วิจารณญาณหรือการพิจารณาไตร่ตรองข้อมูลให้รอบด้านมันช่างมีน้อยเหลือเกิน
คีย์บอร์ดกลายเป็นอาวุธสำคัญที่เอาไว้ทิ่มแทง แก้แค้น ทำลายฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เห็นด้วย โดยไม่คิดที่จะฟังความเห็นหรือ "อ่าน" ให้มากกว่านี้
นึกเปรียบเทียบกับโครงการ "World Book Capital" ถ้าเราเปลี่ยนใหม่เป็น "World Keyboard Capital" คงจะเหมาะสมกว่า เพราะบ้านเมืองเราตอนนี้ใช้คีย์บอร์ดกันเก่งเหลือเกิน
ผมเคยพูดกับลูกสาวหลายครั้งว่า เดี๋ยวนี้ข้อมูลหาง่ายอะไรๆ ก็ Google เดี๋ยวมันก็ขึ้นมา แต่ที่มันยากกว่าสมัยพ่อก็คือการแยกแยะและเปรียบเทียบว่าอันไหนน่าเชื่อถือ อย่าบอกว่าจริงหรือปลอมเลย โลกทุกวันนี้ทุกคนเหมือนจะมีชุดความจริงของตัวเอง ดังนั้นการอ่านให้มาก เปรียบเทียบจากข้อมูลหลายๆ แหล่ง ไม่ใช่ว่าเจออันไหนก่อนก็เชื่ออันนั้น ผมถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนยุคนี้สมัยนี้
อีกเรื่องที่ผมรู้สึกแปลกๆ กับบ้านเมืองเราขณะนี้ก็คือ เรามองกันว่าคนแต่ละคนมีชีวิต ความเชื่อ และทัศนคติด้านเดียว ลืมมองมิติด้านอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือความเชื่อด้านการเมืองกันไป พออยู่ตรงข้ามกันแล้วก็เฝ้าแต่จ้องจับผิด ไม่เชื่อในสิ่งที่อีกคนพูด ไม่ว่าจะเรื่องใดๆ ก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก ถ้าเราคิดจะพัฒนาไปเป็นอารยะประเทศอย่างที่ฝันกัน
- ผมชอบทักษิณในมิติของผู้บริหารที่คิดเร็วทำเร็ว มีวิสัยทัศน์ แต่ไม่ชอบความใจร้อนและบรรดาคนรอบข้างบางคน
- ชอบอภิสิทธิ์และชวน ที่พูดจามีหลักการและเลือกใช้คำพูดได้ดี แต่ไม่ชอบที่บางทีก็ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม
- ชอบคุณปิยบุตร แสงกนกกุลเวลามาให้ความรู้เกี่ยวกับการเมืองของฝรั่งเศสในรายการ Divas Cafe แต่ก็ไม่ได้เห็นด้วยไปทั้งหมด
- ชอบเว็บผู้จัดการที่ Update ข่าวเร็วดีและมีเรื่องหลากหลาย แต่ผมไม่ชอบการเสียดสี และลักษณะการปลุกเร้าของข่าวการเมืองในเว็บ
- ชอบอ่านหลายๆ column ในมติชนสุดสัปดาห์ แต่ก็ไม่ชอบนักเขียนบางคน
- ชอบอ่านงานของคุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา และการเลือกแขกรับเชิญในรายการตอบโจทย์ แต่บางทีก็รำคาญแกในบทบาทพิธีกร
- ชอบคุณวรพจน์ พันธุ์พงศ์ เวลาเขียนบทความหรือบทสัมภาษณ์ แต่ไม่ชอบบทบาทเกี่ยวกับการเมืองของพี่เค้าตอนนี้
- ชอบคุณณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ในบทบาทของนักพูดหรือนักปราศัย แต่ไม่ชอบวิธีคิดและบทบาทของรัฐมนตรี
- ชอบศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองฝรั่งเศสรวมทั้งประเทศอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าบ้านเราจะต้องเป็นแบบนั้นไปเสียทั้งหมด
สุดท้ายนะ ผมก็รักในหลวง ในแบบที่คนไทยหลายๆ คนเป็น ณ ปัจจุบันนี้บ้านเรายังเป็นแบบนี้ เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ถกเถียงกันได้ มีเสรีภาพกันตามสมควร มีจุดยืนมีสิ่งที่เห็นต่าง แค่อยากเห็นการเถียงกันอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่คิดกันแต่ว่าเสรีภาพอยู่ที่ปลายนิ้ว จะพิมพ์จะเขี่ยอะไรก็ได้ โดยไม่อ่านไม่ฟังกันเลย แค่เห็นสีเสื้อก็ไม่ฟังเนื้อหากันแล้ว
ผมไม่สนหรอกว่าใครจะหาว่าเป็นสลิ่ม ผมฟังมันทุกข้างทุกสีนั่นแหละ ฟังจริงๆ อ่านจริงๆ สาระก็เอามาเพิ่มรอยหยักในสมอง อะไรที่มันเป็นอารมณ์หรือเรื่องปรุงแต่งก็ตัดทิ้งไป ทำมาหากินเลี้ยงปากท้อง ภาษีผมก็จ่ายครบถ้วน อบรมลูกเต้าให้เป็นคนดีจะได้ไม่ต้องไปสร้างปัญหาให้สังคม ผมก็ถือว่าผมทำหน้าที่พลเมืองของผมแล้วระดับหนึ่ง จะสลิ่มจะลอดช่องจะไม่มีอุดมการณ์ ไม่เลือกข้างก็เรื่องของผมแล้วกันนะ