ประสบการณ์การดูหนังขอแต่ละคนนั้น ผมเชื่อว่าในรอบ 10 ปี คงมีหนังซักเรื่องที่ส่งผลต่อจิตใจระหว่างดูและหลังดูจบได้มากถึงกับต้องยกย่องให้เป็นหนังแห่งทศวรรษได้ สำหรับผมหลังจากเรื่อง SE7EN ก็มี A Separation นี่แหละครับ ที่ใช้คำจำกัดความนี้ได้ ผมขอแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ให้เพื่อนๆได้อ่านสนุกๆ นะครับ
เมื่อเย็นวันเสาร์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปเช่าหนังที่หน้าหมู่บ้าน (เช่า 2 แถม 1) ได้เรื่อง Die Hard 5, Gangster Squad ส่วนเรื่องแถมก็มาสะดุดหน้าปก A Separation ซึ่งเหตุการณ์นี้ผมสะดุดกับ A Separation มาหลายครั้งแล้ว รู้ว่าเป็นหนัง Oscar ของอิหร่าน แต่พออ่านเรื่องย่อปกหลัง เป็นเรื่องคู่สามีภรรยาที่กำลังหย่าร้างกัน ทำให้ผมวางมันลงไปเลย คือผมไม่ชอบพล็อตเรื่องการหย่าร้างของคู่รักซักเท่าไร แต่วันนั้นมันไม่มีเรื่องอื่นแล้วจริงๆ และปฏิเสธเรื่องนี้มาหลายครั้งล่ะ เลยหยิบๆ ไปให้มันครบ 3 เรื่อง พอกลับมาถึงบ้านผมเลือกดู Gangster Squad ก่อนเลย แต่พอเช้าวันอาทิตย์ผมดันมีธุระไม่อยู่บ้านกลับมาถึงบ้านก็ 4 ทุ่ม ทั้งที่รู้ว่าดึกแล้วแต่อยากจะดูหนังซักเรื่องก่อนนอน เลยหยิบ A Separation มาดู ...........................
“นี่มันหนังบ้าอะไรวะเฮ้ย!” หนังดำเนินเรื่องไปสักพักคำพูดนี้ก็เกิดขึ้นในใจผม หนังดำเนินเรื่องได้อย่างเฉียบคม ผ่านบทสนทนาธรรมดาๆของตัวละครและเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันที่อาจเกิดขึ้นได้กับใครสักคนหากมีเหตุอะไรที่เกิดเปลี่ยนแปลงเข้ามาในชีวิตปกติ (ซึ่งในหนังมัน Real เอามากๆ) การลำดับเรื่องเป็นอะไรที่ผมทึ่งมากมันถูกจัดวางไว้ให้ไหลไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การกระทำแต่ละการกระทำ คำพูดแต่ละคำพูด แฝงนัยสำคัญให้กับเหตุของปัญหาไปจนถึงผลลัพธ์ของปัญหา ที่หนังลำดับและสื่อให้ผู้ชมรับรู้ได้อย่างถึงแก่น อันนี้ต้องให้เครดิตผู้กำกับไปเต็มๆ คือมันเหมือนกับเขาให้เราไปเป็นผู้สังเกตการณ์ครอบครัวเล็กๆครอบครัวหนึ่ง(สเกลเล็กมากๆ) ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นมีผลกระทบอะไรบ้าง จะแก้ปัญหายังไง ใช้วิธีไหน ใช้คำพูดอะไร และสิ่งนั้นส่งผลให้เกิดอะไรกับคนรอบข้างบ้าง โอ้ย! มันสุดยอดจริงๆ เล่นเอาผมหายง่วงและติดตามดูหนังอย่างใจจดใจจ่อแบบไม่กระพริบตา (อันนี้เวอร์ไปหน่อย)
สำหรับการแสดงต้องขอชมนักแสดงทุกคนที่แสดงเหมือนไม่แสดง ไม่มีการแต่งหน้าอะไรทั้งสิ้น ใช้การแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง แววตา แม้แต่น้ำตาที่ไหลออกมา มันดูสมจริงเอามากๆ ส่วนบทพูดมันเหมือนกับเราใช้พูดกับคนในครอบครัวจริงๆ ถ้าเป็นผมๆก็จะพูดเหมือนในตัวละครนั้นเป๊ะ และในหนังแสดงให้เห็นถึงคำพูดธรรมดาๆนั้นกลับมีผลกระทบต่อจิตใจคนได้มากกว่าที่เราคิด โดยใส่จิตวิทยาเข้าไปเพียงเล็กน้อยในจังหวะที่เหมาะสมก็สามารถดึงเอาความรู้สึกหรือความจริงจากคนๆนั้นได้ไม่ยาก ทำให้ผมรู้ซึ้งถึงความโหดของกระบวนการไต่สวนซึ่งหน้า ด้วยคำถามง่ายๆธรรมดานี่แหละ สามารถต้อนเราจนมุมได้ไม่ยากเลย พวกเราโชคดีแค่ไหนที่กระบวนการยุติธรรมให้มีทนายเป็นตัวแทนรับแรงกดดันนี้ ทำให้ผมคิดได้ว่าชีวิตนี้ขอหลีกเลี่ยงการต้องคดีขึ้นโรงขึ้นศาลเพราะมันโหดและกดดันจริงๆ
อย่างที่ได้เกริ่นไว้ A Separation เป็นหนังที่ส่งผลต่อจิตใจผมได้ในระดับเดียวกับเรื่อง SE7EN เลยทีเดียว ผมยังจำได้ว่าหลังจากดู SE7EN จบผมนอนไม่หลับเลยหนังมันกระทบจิตใจแบบสุดๆ ในหนังมันทำให้เราดำดิ่งสู่ความมืดของจิตใจมนุษย์ ผ่านการฆาตกรรมต่อเนื่องศพแรกจนศพสุดท้ายแถมยังกดดันเราต่อด้วยฉากสำคัญท้ายเรื่อง ที่สามารถทำให้เรารู้สึกถึงแรงกดดันที่พระเอกได้รับจากสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจนั้น คนเราจะตัดสินใจทำอะไรหรือไม่ทำอะไรบางครั้งแค่ความคิดวูบเดียวเท่านั้นเองที่ใช้ตัดสิน เหมือนกันหลังดู A Separation จบผมข่มตาหลับไม่ได้เลยเนื้อหาในหนังมันติดอยู่ในความคิดผมอย่างมาก สลัดไม่ออก มันวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น การกระทำ คำพูด คำโกหก การสู้ชีวิต การเอาตัวรอด ความศรัทธาต่อศาสนา จารีตประเพณี ครอบครัว ผลของการกระทำ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้ ผมโชคดีมากที่ได้ดู ผมได้แง่คิดหลายอย่างที่นำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันและหนังเรื่องนี้ได้เปลี่ยนแนวทางการดูหนังของผมไปเลย โลกแคบมานาน เสพแต่หนัง Hollywood หนังทางเลือกดีๆมีอีกเยอะ เช่น ล่าสุดกับหนังฝรั่งเศสเรื่อง Intouchables เป็นต้น
คืนนั้นกว่าผมจะนอนได้เล่นเอาซะตีสาม เช้าวันจันทร์ไปทำงานสายชัวร์ไม่ต้องสืบ หวังว่าเพื่อนๆที่ได้อ่านกระทู้นี้แล้วเผอิญไปเจอ A Separation ในร้านเช่าหนัง คงต้องบอกให้เพื่อนๆอย่าพลาดหยิบเรื่องนี้มาดูซะล่ะ หนังแบบนี้ 10 ปี จะมีสักเรื่อง
*** A Separation หนังกระแทกจิตใจแห่งทศวรรษ ***
ประสบการณ์การดูหนังขอแต่ละคนนั้น ผมเชื่อว่าในรอบ 10 ปี คงมีหนังซักเรื่องที่ส่งผลต่อจิตใจระหว่างดูและหลังดูจบได้มากถึงกับต้องยกย่องให้เป็นหนังแห่งทศวรรษได้ สำหรับผมหลังจากเรื่อง SE7EN ก็มี A Separation นี่แหละครับ ที่ใช้คำจำกัดความนี้ได้ ผมขอแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ให้เพื่อนๆได้อ่านสนุกๆ นะครับ
เมื่อเย็นวันเสาร์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปเช่าหนังที่หน้าหมู่บ้าน (เช่า 2 แถม 1) ได้เรื่อง Die Hard 5, Gangster Squad ส่วนเรื่องแถมก็มาสะดุดหน้าปก A Separation ซึ่งเหตุการณ์นี้ผมสะดุดกับ A Separation มาหลายครั้งแล้ว รู้ว่าเป็นหนัง Oscar ของอิหร่าน แต่พออ่านเรื่องย่อปกหลัง เป็นเรื่องคู่สามีภรรยาที่กำลังหย่าร้างกัน ทำให้ผมวางมันลงไปเลย คือผมไม่ชอบพล็อตเรื่องการหย่าร้างของคู่รักซักเท่าไร แต่วันนั้นมันไม่มีเรื่องอื่นแล้วจริงๆ และปฏิเสธเรื่องนี้มาหลายครั้งล่ะ เลยหยิบๆ ไปให้มันครบ 3 เรื่อง พอกลับมาถึงบ้านผมเลือกดู Gangster Squad ก่อนเลย แต่พอเช้าวันอาทิตย์ผมดันมีธุระไม่อยู่บ้านกลับมาถึงบ้านก็ 4 ทุ่ม ทั้งที่รู้ว่าดึกแล้วแต่อยากจะดูหนังซักเรื่องก่อนนอน เลยหยิบ A Separation มาดู ...........................
“นี่มันหนังบ้าอะไรวะเฮ้ย!” หนังดำเนินเรื่องไปสักพักคำพูดนี้ก็เกิดขึ้นในใจผม หนังดำเนินเรื่องได้อย่างเฉียบคม ผ่านบทสนทนาธรรมดาๆของตัวละครและเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันที่อาจเกิดขึ้นได้กับใครสักคนหากมีเหตุอะไรที่เกิดเปลี่ยนแปลงเข้ามาในชีวิตปกติ (ซึ่งในหนังมัน Real เอามากๆ) การลำดับเรื่องเป็นอะไรที่ผมทึ่งมากมันถูกจัดวางไว้ให้ไหลไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การกระทำแต่ละการกระทำ คำพูดแต่ละคำพูด แฝงนัยสำคัญให้กับเหตุของปัญหาไปจนถึงผลลัพธ์ของปัญหา ที่หนังลำดับและสื่อให้ผู้ชมรับรู้ได้อย่างถึงแก่น อันนี้ต้องให้เครดิตผู้กำกับไปเต็มๆ คือมันเหมือนกับเขาให้เราไปเป็นผู้สังเกตการณ์ครอบครัวเล็กๆครอบครัวหนึ่ง(สเกลเล็กมากๆ) ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นมีผลกระทบอะไรบ้าง จะแก้ปัญหายังไง ใช้วิธีไหน ใช้คำพูดอะไร และสิ่งนั้นส่งผลให้เกิดอะไรกับคนรอบข้างบ้าง โอ้ย! มันสุดยอดจริงๆ เล่นเอาผมหายง่วงและติดตามดูหนังอย่างใจจดใจจ่อแบบไม่กระพริบตา (อันนี้เวอร์ไปหน่อย)
สำหรับการแสดงต้องขอชมนักแสดงทุกคนที่แสดงเหมือนไม่แสดง ไม่มีการแต่งหน้าอะไรทั้งสิ้น ใช้การแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง แววตา แม้แต่น้ำตาที่ไหลออกมา มันดูสมจริงเอามากๆ ส่วนบทพูดมันเหมือนกับเราใช้พูดกับคนในครอบครัวจริงๆ ถ้าเป็นผมๆก็จะพูดเหมือนในตัวละครนั้นเป๊ะ และในหนังแสดงให้เห็นถึงคำพูดธรรมดาๆนั้นกลับมีผลกระทบต่อจิตใจคนได้มากกว่าที่เราคิด โดยใส่จิตวิทยาเข้าไปเพียงเล็กน้อยในจังหวะที่เหมาะสมก็สามารถดึงเอาความรู้สึกหรือความจริงจากคนๆนั้นได้ไม่ยาก ทำให้ผมรู้ซึ้งถึงความโหดของกระบวนการไต่สวนซึ่งหน้า ด้วยคำถามง่ายๆธรรมดานี่แหละ สามารถต้อนเราจนมุมได้ไม่ยากเลย พวกเราโชคดีแค่ไหนที่กระบวนการยุติธรรมให้มีทนายเป็นตัวแทนรับแรงกดดันนี้ ทำให้ผมคิดได้ว่าชีวิตนี้ขอหลีกเลี่ยงการต้องคดีขึ้นโรงขึ้นศาลเพราะมันโหดและกดดันจริงๆ
อย่างที่ได้เกริ่นไว้ A Separation เป็นหนังที่ส่งผลต่อจิตใจผมได้ในระดับเดียวกับเรื่อง SE7EN เลยทีเดียว ผมยังจำได้ว่าหลังจากดู SE7EN จบผมนอนไม่หลับเลยหนังมันกระทบจิตใจแบบสุดๆ ในหนังมันทำให้เราดำดิ่งสู่ความมืดของจิตใจมนุษย์ ผ่านการฆาตกรรมต่อเนื่องศพแรกจนศพสุดท้ายแถมยังกดดันเราต่อด้วยฉากสำคัญท้ายเรื่อง ที่สามารถทำให้เรารู้สึกถึงแรงกดดันที่พระเอกได้รับจากสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจนั้น คนเราจะตัดสินใจทำอะไรหรือไม่ทำอะไรบางครั้งแค่ความคิดวูบเดียวเท่านั้นเองที่ใช้ตัดสิน เหมือนกันหลังดู A Separation จบผมข่มตาหลับไม่ได้เลยเนื้อหาในหนังมันติดอยู่ในความคิดผมอย่างมาก สลัดไม่ออก มันวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น การกระทำ คำพูด คำโกหก การสู้ชีวิต การเอาตัวรอด ความศรัทธาต่อศาสนา จารีตประเพณี ครอบครัว ผลของการกระทำ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้ ผมโชคดีมากที่ได้ดู ผมได้แง่คิดหลายอย่างที่นำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันและหนังเรื่องนี้ได้เปลี่ยนแนวทางการดูหนังของผมไปเลย โลกแคบมานาน เสพแต่หนัง Hollywood หนังทางเลือกดีๆมีอีกเยอะ เช่น ล่าสุดกับหนังฝรั่งเศสเรื่อง Intouchables เป็นต้น
คืนนั้นกว่าผมจะนอนได้เล่นเอาซะตีสาม เช้าวันจันทร์ไปทำงานสายชัวร์ไม่ต้องสืบ หวังว่าเพื่อนๆที่ได้อ่านกระทู้นี้แล้วเผอิญไปเจอ A Separation ในร้านเช่าหนัง คงต้องบอกให้เพื่อนๆอย่าพลาดหยิบเรื่องนี้มาดูซะล่ะ หนังแบบนี้ 10 ปี จะมีสักเรื่อง