จีนกำลังเผชิญปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินขั้นรุนแรง เพราะนอกจากประสบภาวะเงินทุนไหลออก เนื่องจากต่างชาติกังวลต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน อันเป็นผลจากรัฐบาลจีนที่ต้องการจะดูแลการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศให้มีเสถียรภาพ มากกว่าการกระตุ้นเศรษฐิจที่ผ่านมา โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างสถาบันการเงินในประเทศ เพื่อควบคุมความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อ หลังจากที่ภาคธนาคารพาณิชย์ ได้ขยายการปล่อยสินเชื่ออย่างรวดเร็วตลอดหลายปีที่ผ่านมา (ปี 2556 เติบโตแล้ว 22% เทียบกับปี 2555 เติบโต20% จนทำให้สัดส่วนสินเชื่อต่อ GDP ของจีน ขึ้นมาอยู่ที่ 198% เทียบกับ 125% ในปี 2556) ทำให้ธนาคารกลางจีนชะลอการอัดฉีดเงินเข้ามาให้ระบบ และกดดันให้ผลตอบแทนหรืออัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะสั้นของจีนมีความผันผวนสูงมากในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งนอกจากกดดันต้นทุนเงินกู้ระยะสั้นของภาคธนาคารแล้ว คาดว่ากระทบเป็นลูกโซ่ต่อผู้ประกอบรายกลางและรายเล็กที่พึ่งพาเงินกู้ระยะสั้น รวมถึงกระทบต่อภาคเอกชนที่มีการขยายการลงทุนไปก่อนหน้า เช่น เหล็ก และซีเมนต์ เป็นต้น โดยสรุปปัญหาภาคการเงินอาจจะเป็นปัจจัยซ้ำเติมเศรษฐกิจจีนให้ชะลอตัวกว่าที่นักเศรษฐกิจโลก (IMF) คาดไว้ที่ 7.75% สะท้อนจากล่าตัวเลข PMI (ภาคการผลิต) ลดลงจากเดือนก่อนหน้า ถือว่าเป็นการตกต่ำสุดในรอบ 9 เดือน และปัจจัยนี้อาจจะเป็นตัวเร่งต่างชาติในตลาดหุ้นเอเซียอีกทางหนึ่ง
*โบรกฯ สั่งจับตาการเงิน-ศก.จีน ชี้ อาจฉุด ศก.ไทยในปี 57
บทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า ปัจจัยที่ควรจับตา คือสถานการณ์การเงินและเศรษฐกิจจีน ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินของจีนพุ่งขึ้นมาแรงมาก บ่งชี้ถึงความกังวลกับภาคการธนาคาของจีนที่สูงขึ้นขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจก็ชะลอตัวลงต่อเนื่องในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย.56 ล่าสุด PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนมิ.ย.56 ลดลงต่ำกว่า 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการหดตัว และต่ำสุดในรอบ 9 เดือน ทั้งนี้หากภาคการเงินของจีนมีปัญหาและเศรษฐกิจเติบโตชะลอตัวมากกว่าคาดก็จะกระทบกับเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีค่าความสัมพันธ์สูง (โดยหาก GDP ของจีนเปลี่ยนแปลง 1.0% จะทำให้เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนแปลงถึง 2.4% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า) สำหรับบริษัทไทยที่ไปลงทุนในจีนและอาจถูกผลกระทบ ได้แก่ CPF, BBL, KBANK, BANPU, IVL, TRUBB, ROJNA, HANA, SUC, เครือสหพัฒน์, เป็นต้น กลยุทธ์การลงทุน : Wait & See หรือซื้อเก็งกำไรช่วงลงแรงเพื่อลุ้นขายจังหวะเด้ง แต่ต้องไม่หวัง Gap กำไรมาก หุ้นพื้นฐานที่แนะนำซื้ออ่อนตัวเพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาววันนี้เป็น STPI
ทั้งนี้ เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง โดยตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย.56 ของจีนชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ล่าสุด PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นของจีนในเดือนมิ.ย.56 ลดลงแตะ 48.3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน และดัชนีที่ต่ำกว่า 50 แสดงถึงการหดตัว อัตราดอกเบี้ยพุ่งขึ้นแรง อัตราดอกเบี้ย Swap 1 ปีของจีนทะยานขึ้นถึง 0.58% เป็น 5.05% สูงที่สุดนับตั้งแต่ที่ Bloomberg มีการเก็บตัวเลขมาในเดือนพ.ค.49 ส่วนอัตราดอกเบี้ยข้ามคืน (OvernightRate) พุ่งขึ้นแรงมาก โดยเมื่อ 12 **** โมงก่อนพุ่งขึ้นไปเหนือ 10% จากก่อนหน้าที่อยู่ประมาณ 6% และอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร 7 วันพุ่งขึ้นไปเหนือ 6% สูงสุดในรอบ 7 ปี ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร 7 วันที่ปรับขึ้นแรงบ่งชี้ถึงความวิตกกับความตึงตัวของสภาพคล่องทางการเงินในระยะสั้นของภาคการธนาคารจีน
นักวิเคราะห์ของ Fitch Rating ให้ความเห็นว่าสินเชื่อรวมของจีนที่รวมรายการนอกงบดุลที่บวมขึ้นเป็น198% ของ GDP ในปี 55 จาก 125% ในช่วง 4 ปีก่อนหน้านั้นน่ากังวล เพราะในช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤตภาคธนาคารในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ สัดส่วนสินเชื่อต่อ GDP ก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ความวิตกได้สะท้อนเข้ามาในตลาดแล้ว เห็นได้จากอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งขึ้นมาแรงมาก สถานการณ์ที่เป็นลบมากขึ้นในภาคเศรษฐกิจจริงและภาคการเงินของจีน อาจทำให้นักเศรษฐศาสตร์ต้องมีการปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนอีกรอบ จากที่ได้ปรับลดลงมาจาก 8%+มาเป็น 7.7-8.0% ไปแล้ว ทั้งนี้ทางการจีนกำหนดเป้าหมายอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้ไว้ที่ 7.50%
จากการศึกษาของ Quan Team DBS Vickers (Thailand) พบว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก โดยหาก GDP ของจีนเปลี่ยนแปลง 1.0% จะทำให้เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนแปลงถึง 2.4% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ขณะที่การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจสหรัฐ 0.1% จะกระทบกับเศรษฐกิจไทย 0.5% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยหากเศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอตัวลงมาก ก็อาจฉุดการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 57 ให้ลดลงได้ แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวดีขึ้นก็ตาม
สิ่งที่ฉุด set รายต่อไป คือ "จีน"
*โบรกฯ สั่งจับตาการเงิน-ศก.จีน ชี้ อาจฉุด ศก.ไทยในปี 57
บทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า ปัจจัยที่ควรจับตา คือสถานการณ์การเงินและเศรษฐกิจจีน ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินของจีนพุ่งขึ้นมาแรงมาก บ่งชี้ถึงความกังวลกับภาคการธนาคาของจีนที่สูงขึ้นขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจก็ชะลอตัวลงต่อเนื่องในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย.56 ล่าสุด PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนมิ.ย.56 ลดลงต่ำกว่า 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการหดตัว และต่ำสุดในรอบ 9 เดือน ทั้งนี้หากภาคการเงินของจีนมีปัญหาและเศรษฐกิจเติบโตชะลอตัวมากกว่าคาดก็จะกระทบกับเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีค่าความสัมพันธ์สูง (โดยหาก GDP ของจีนเปลี่ยนแปลง 1.0% จะทำให้เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนแปลงถึง 2.4% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า) สำหรับบริษัทไทยที่ไปลงทุนในจีนและอาจถูกผลกระทบ ได้แก่ CPF, BBL, KBANK, BANPU, IVL, TRUBB, ROJNA, HANA, SUC, เครือสหพัฒน์, เป็นต้น กลยุทธ์การลงทุน : Wait & See หรือซื้อเก็งกำไรช่วงลงแรงเพื่อลุ้นขายจังหวะเด้ง แต่ต้องไม่หวัง Gap กำไรมาก หุ้นพื้นฐานที่แนะนำซื้ออ่อนตัวเพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาววันนี้เป็น STPI
ทั้งนี้ เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง โดยตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย.56 ของจีนชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ล่าสุด PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นของจีนในเดือนมิ.ย.56 ลดลงแตะ 48.3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน และดัชนีที่ต่ำกว่า 50 แสดงถึงการหดตัว อัตราดอกเบี้ยพุ่งขึ้นแรง อัตราดอกเบี้ย Swap 1 ปีของจีนทะยานขึ้นถึง 0.58% เป็น 5.05% สูงที่สุดนับตั้งแต่ที่ Bloomberg มีการเก็บตัวเลขมาในเดือนพ.ค.49 ส่วนอัตราดอกเบี้ยข้ามคืน (OvernightRate) พุ่งขึ้นแรงมาก โดยเมื่อ 12 **** โมงก่อนพุ่งขึ้นไปเหนือ 10% จากก่อนหน้าที่อยู่ประมาณ 6% และอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร 7 วันพุ่งขึ้นไปเหนือ 6% สูงสุดในรอบ 7 ปี ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร 7 วันที่ปรับขึ้นแรงบ่งชี้ถึงความวิตกกับความตึงตัวของสภาพคล่องทางการเงินในระยะสั้นของภาคการธนาคารจีน
นักวิเคราะห์ของ Fitch Rating ให้ความเห็นว่าสินเชื่อรวมของจีนที่รวมรายการนอกงบดุลที่บวมขึ้นเป็น198% ของ GDP ในปี 55 จาก 125% ในช่วง 4 ปีก่อนหน้านั้นน่ากังวล เพราะในช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤตภาคธนาคารในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ สัดส่วนสินเชื่อต่อ GDP ก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ความวิตกได้สะท้อนเข้ามาในตลาดแล้ว เห็นได้จากอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งขึ้นมาแรงมาก สถานการณ์ที่เป็นลบมากขึ้นในภาคเศรษฐกิจจริงและภาคการเงินของจีน อาจทำให้นักเศรษฐศาสตร์ต้องมีการปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนอีกรอบ จากที่ได้ปรับลดลงมาจาก 8%+มาเป็น 7.7-8.0% ไปแล้ว ทั้งนี้ทางการจีนกำหนดเป้าหมายอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้ไว้ที่ 7.50%
จากการศึกษาของ Quan Team DBS Vickers (Thailand) พบว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก โดยหาก GDP ของจีนเปลี่ยนแปลง 1.0% จะทำให้เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนแปลงถึง 2.4% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ขณะที่การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจสหรัฐ 0.1% จะกระทบกับเศรษฐกิจไทย 0.5% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยหากเศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอตัวลงมาก ก็อาจฉุดการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 57 ให้ลดลงได้ แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวดีขึ้นก็ตาม