ตอนที่แล้วค่ะ ตอนที่ 49
http://pantip.com/topic/30588068
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 51
แม้เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงแต่เคียงฟ้ารู้สึกยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ เมื่อวิมุตติมาส่งหล่อนกลับถึงบ้านตอนค่ำของวันนั้น ท่าทางหญิงสาวเซื่องซึมจนมารดาต้องตวัดสายตาไปยังอาจารย์หนุ่มผู้เป็นคนมาส่ง
“แม่คะ ฟ้าเพลียขอไปอาบน้ำก่อนนะคะ” หล่อนไม่เปิดโอกาสให้มารดาซักถามใดๆ กล่าวจบก็หันมาไหว้ขอบคุณวิมุตติแล้วเดินขึ้นชั้นสองของบ้านไปทันที จนมารดาหล่อนต้องเป็นฝ่ายรั้งอาจารย์ของบุตรสาวเอาไว้เสียเอง
“วันนี้เคียงฟ้าไปคุยกับเจ้าภูวิษะที่บ้านผมน่ะครับ ต้องขออภัยที่ไม่แจ้งล่วงหน้า ไม่คิดว่าจะนานนัก” ยุพาพักตร์เบิกตาค้างนี่เป็นอีกครั้งที่ได้ยินชื่อเจ้าภูวิษะชายผู้ยโสคนนั้น
“ค่ะ แล้วได้ความว่ายังไงบ้างคะ ทำไมแกถึงได้...” หล่อนเหลียวไปทางที่บุตรสาวเพิ่งขึ้นบ้านไป
“ท่าทางเราคงต้องคุยกันยาวนะคะ อาจารย์นั่งก่อนเถอะค่ะ” หล่อนเชื้อเชิญแกมบังคับ ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี
ในขณะที่เคียงฟ้าเก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง เมื่อมองจากหน้าต่างเห็นว่ารถของผู้เป็นอาจารย์ขับออกจากบ้านไปแล้ว อีกไม่นานมารดาต้องเข้ามาพูดคุยแน่ แต่หญิงสาวยังไม่พร้อมจะเล่าเรื่องราวอันเหลือเชื่อให้มารดาฟังในตอนนี้ จึงแสร้งทำเป็นดับไฟนอนหลับไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อยุพาพักตร์ขึ้นมาบนห้องบุตรสาวเห็นดังนั้นจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินกลับไปยังห้องตนเอง แล้วหวังว่าจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอย่างที่อาจารย์หนุ่มบอกหล่อน
เมื่อเห็นมารดาออกจากห้องไปแล้ว เคียงฟ้าก็ผุดลุกขึ้นมานั่ง หล่อนนอนไม่หลับจึงได้แต่เปิดโคมไฟที่หัวเตียง แล้วนำเอาเพชรพญานาค...น้ำตาของเจ้าภูวิษะออกมาดู ลูกแก้วดวงนั้นยังคงกระจ่างใสและวาววับทอประกายงดงามเหมือนเช่นตอนที่ได้รับมันมา
“ใจของคุณ ใสเหมือนกับเพชรเม็ดนี้ใช่ไหมคะเจ้าภู” หล่อนพึมพัมออกมาเบาๆ ในใจเฝ้าคำนึงเจ้าของน้ำหยดนี้
“ฟ้าอยากพบคุณอีก เราจะได้พบกันอีกไหมคะ?” หล่อนถามคำถามไปมากมาย แต่ไม่มีคำตอบใดกลับมา จึงได้แต่ทอดถอนหายใจ แต่จู่ๆ โคมไฟบนตัวเตียงก็ดับลงอย่างไร้สาเหตุ หญิงสาวกำเพชรพญานาคไว้ในมือแน่นราวกับกลัวมันหล่นหาย ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นไปควานหาไฟฉายจากโต๊ะหนังสือ
“นางบาป...” เสียงนั้นกระซิบแผ่ว แต่ได้ยินชัดราวกับพูดอยู่ข้างหู เคียงฟ้าขนลุกชันขึ้นมาทันที หล่อนชะงักนิ่งแล้วเหลียวมองไปรอบตัว เมื่อไม่เห็นสิ่งใดก็เดินต่อไปยังโต๊ะหนังสือ
คืนนี้ช่างน่าประหลาดนักเมื่อราตรีกาลถูกปกคลุมไปด้วยความมืด มันช่างมืดมิดจนมองไม่เห็นสิ่งใดเลย แม้เพียงแสงริบหรี่จากเสาไฟฟ้าที่ถนนก็ไม่ลอดผ่านเข้ามาในห้องเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับซอยทั้งซอยดับมืดไปพร้อมๆ กัน ความรู้สึกอปกตินี้ทำให้หญิงสาวหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง
“นางบาป...คนอย่างเจ้ามันน่ารังเกียจนัก” เสียงเย็นยะเยียบดังขึ้นมาจากความมืด เคียงฟ้าแน่ใจแล้วว่าหล่อนไม่ได้คิดไปเอง จึงได้ยืนตัวแข็งทื่อ
“ถึงเขายกโทษให้เจ้าแล้ว อย่าคิดว่าข้าจะให้อภัยเจ้า” ทุกถ้อยทุกคำเน้นเสียงด้วยความเจ็บแค้น แล้วร่างนวลค่อยปรากฏขึ้นมาจากความมืด จนมองเห็นได้ถนัดตา
“พี่กุสุมาลย์!!!” หล่อนสะดุ้งจนสะโพกไปกระแทกกับขอบโต๊ะ
“ใช่...ข้าเอง” วิญญาณสาวงามเดินเข้ามาใกล้ พลางยื่นนิ้วมือเรียวที่เคลือบเล็บด้วยสีแดงดั่งเลือดเข้ามาใกล้ ใกล้จนเกือบจะถึงตัวหล่อนอยู่แล้ว แต่จู่ๆ มือนั้นก็ผงะไปพร้อมกับเสียงกรีดร้อง
“โอ้ยยย..ย เจ้า...เจ้าถืออะไรอยู่น่ะ?” เคียงฟ้าถึงได้รู้ตัวว่าตนเองกำเพชรพญานาคไว้ในมือ เพชรพญานาคเม็ดเล็กจ้อยได้ประกาศศักดาของมันแล้ว
“มันคืออะไร? ช่างมีอำนาจนัก” ผีสาวถามด้วยเสียงร้อนรน
“นะ...นี่ เป็นน้ำตาของเจ้าภู เพชรพญานาค!” หล่อนตอบอย่างขลาดกลัว
“ทำไม...ก็เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเจ้าแล้ว ทำไมยังให้สิ่งนี้ไว้”
กุสุมาลย์ส่ายหน้า นางรับรู้ด้วยจิตว่าเจ้านาคราชอโหสิกรรมทั้งปวงให้กับชายาของตนแล้ว แม้จะไม่มีคำขอขมาจากนาง แม้นางจะไม่รู้ว่าได้กระทำสิ่งใดลงไปในอดีตก็ตาม เมื่ออโหสิกรรมแล้วจิตนั้นไม่ต้องการสิ่งใดอีก เพชรพญานาคจึงผ่องใสแวววับและทรงพลานุภาพพิสุทธิ์ยิ่งกว่าเพชรพญานาคสีใด
“พี่กุสุมาลย์ กลัวเพชรเม็ดนี้หรือคะ?” มือเล็กบางที่กำเพชรพญานาคไว้ แบออกแล้วชูมันไปเบื้องหน้า ยังผลให้ผีสาวถอยกรูดด้วยเกรงอำนาจบารมี
“อย่าเอามาใกล้ข้า” หล่อนทำท่าจะหนีหาย
“เดี๋ยวค่ะพี่ อย่าเพิ่งไป” หญิงสาวร้องเรียก พร้อมทั้งกำเพชรพญานาคในมือไว้อย่างเดิม สร้างความประหลาดใจให้วิญญาณสาวงามยิ่งนัก
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 51-52
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 51
แม้เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงแต่เคียงฟ้ารู้สึกยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ เมื่อวิมุตติมาส่งหล่อนกลับถึงบ้านตอนค่ำของวันนั้น ท่าทางหญิงสาวเซื่องซึมจนมารดาต้องตวัดสายตาไปยังอาจารย์หนุ่มผู้เป็นคนมาส่ง
“แม่คะ ฟ้าเพลียขอไปอาบน้ำก่อนนะคะ” หล่อนไม่เปิดโอกาสให้มารดาซักถามใดๆ กล่าวจบก็หันมาไหว้ขอบคุณวิมุตติแล้วเดินขึ้นชั้นสองของบ้านไปทันที จนมารดาหล่อนต้องเป็นฝ่ายรั้งอาจารย์ของบุตรสาวเอาไว้เสียเอง
“วันนี้เคียงฟ้าไปคุยกับเจ้าภูวิษะที่บ้านผมน่ะครับ ต้องขออภัยที่ไม่แจ้งล่วงหน้า ไม่คิดว่าจะนานนัก” ยุพาพักตร์เบิกตาค้างนี่เป็นอีกครั้งที่ได้ยินชื่อเจ้าภูวิษะชายผู้ยโสคนนั้น
“ค่ะ แล้วได้ความว่ายังไงบ้างคะ ทำไมแกถึงได้...” หล่อนเหลียวไปทางที่บุตรสาวเพิ่งขึ้นบ้านไป
“ท่าทางเราคงต้องคุยกันยาวนะคะ อาจารย์นั่งก่อนเถอะค่ะ” หล่อนเชื้อเชิญแกมบังคับ ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี
ในขณะที่เคียงฟ้าเก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง เมื่อมองจากหน้าต่างเห็นว่ารถของผู้เป็นอาจารย์ขับออกจากบ้านไปแล้ว อีกไม่นานมารดาต้องเข้ามาพูดคุยแน่ แต่หญิงสาวยังไม่พร้อมจะเล่าเรื่องราวอันเหลือเชื่อให้มารดาฟังในตอนนี้ จึงแสร้งทำเป็นดับไฟนอนหลับไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อยุพาพักตร์ขึ้นมาบนห้องบุตรสาวเห็นดังนั้นจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินกลับไปยังห้องตนเอง แล้วหวังว่าจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอย่างที่อาจารย์หนุ่มบอกหล่อน
เมื่อเห็นมารดาออกจากห้องไปแล้ว เคียงฟ้าก็ผุดลุกขึ้นมานั่ง หล่อนนอนไม่หลับจึงได้แต่เปิดโคมไฟที่หัวเตียง แล้วนำเอาเพชรพญานาค...น้ำตาของเจ้าภูวิษะออกมาดู ลูกแก้วดวงนั้นยังคงกระจ่างใสและวาววับทอประกายงดงามเหมือนเช่นตอนที่ได้รับมันมา
“ใจของคุณ ใสเหมือนกับเพชรเม็ดนี้ใช่ไหมคะเจ้าภู” หล่อนพึมพัมออกมาเบาๆ ในใจเฝ้าคำนึงเจ้าของน้ำหยดนี้
“ฟ้าอยากพบคุณอีก เราจะได้พบกันอีกไหมคะ?” หล่อนถามคำถามไปมากมาย แต่ไม่มีคำตอบใดกลับมา จึงได้แต่ทอดถอนหายใจ แต่จู่ๆ โคมไฟบนตัวเตียงก็ดับลงอย่างไร้สาเหตุ หญิงสาวกำเพชรพญานาคไว้ในมือแน่นราวกับกลัวมันหล่นหาย ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นไปควานหาไฟฉายจากโต๊ะหนังสือ
“นางบาป...” เสียงนั้นกระซิบแผ่ว แต่ได้ยินชัดราวกับพูดอยู่ข้างหู เคียงฟ้าขนลุกชันขึ้นมาทันที หล่อนชะงักนิ่งแล้วเหลียวมองไปรอบตัว เมื่อไม่เห็นสิ่งใดก็เดินต่อไปยังโต๊ะหนังสือ
คืนนี้ช่างน่าประหลาดนักเมื่อราตรีกาลถูกปกคลุมไปด้วยความมืด มันช่างมืดมิดจนมองไม่เห็นสิ่งใดเลย แม้เพียงแสงริบหรี่จากเสาไฟฟ้าที่ถนนก็ไม่ลอดผ่านเข้ามาในห้องเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับซอยทั้งซอยดับมืดไปพร้อมๆ กัน ความรู้สึกอปกตินี้ทำให้หญิงสาวหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง
“นางบาป...คนอย่างเจ้ามันน่ารังเกียจนัก” เสียงเย็นยะเยียบดังขึ้นมาจากความมืด เคียงฟ้าแน่ใจแล้วว่าหล่อนไม่ได้คิดไปเอง จึงได้ยืนตัวแข็งทื่อ
“ถึงเขายกโทษให้เจ้าแล้ว อย่าคิดว่าข้าจะให้อภัยเจ้า” ทุกถ้อยทุกคำเน้นเสียงด้วยความเจ็บแค้น แล้วร่างนวลค่อยปรากฏขึ้นมาจากความมืด จนมองเห็นได้ถนัดตา
“พี่กุสุมาลย์!!!” หล่อนสะดุ้งจนสะโพกไปกระแทกกับขอบโต๊ะ
“ใช่...ข้าเอง” วิญญาณสาวงามเดินเข้ามาใกล้ พลางยื่นนิ้วมือเรียวที่เคลือบเล็บด้วยสีแดงดั่งเลือดเข้ามาใกล้ ใกล้จนเกือบจะถึงตัวหล่อนอยู่แล้ว แต่จู่ๆ มือนั้นก็ผงะไปพร้อมกับเสียงกรีดร้อง
“โอ้ยยย..ย เจ้า...เจ้าถืออะไรอยู่น่ะ?” เคียงฟ้าถึงได้รู้ตัวว่าตนเองกำเพชรพญานาคไว้ในมือ เพชรพญานาคเม็ดเล็กจ้อยได้ประกาศศักดาของมันแล้ว
“มันคืออะไร? ช่างมีอำนาจนัก” ผีสาวถามด้วยเสียงร้อนรน
“นะ...นี่ เป็นน้ำตาของเจ้าภู เพชรพญานาค!” หล่อนตอบอย่างขลาดกลัว
“ทำไม...ก็เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเจ้าแล้ว ทำไมยังให้สิ่งนี้ไว้”
กุสุมาลย์ส่ายหน้า นางรับรู้ด้วยจิตว่าเจ้านาคราชอโหสิกรรมทั้งปวงให้กับชายาของตนแล้ว แม้จะไม่มีคำขอขมาจากนาง แม้นางจะไม่รู้ว่าได้กระทำสิ่งใดลงไปในอดีตก็ตาม เมื่ออโหสิกรรมแล้วจิตนั้นไม่ต้องการสิ่งใดอีก เพชรพญานาคจึงผ่องใสแวววับและทรงพลานุภาพพิสุทธิ์ยิ่งกว่าเพชรพญานาคสีใด
“พี่กุสุมาลย์ กลัวเพชรเม็ดนี้หรือคะ?” มือเล็กบางที่กำเพชรพญานาคไว้ แบออกแล้วชูมันไปเบื้องหน้า ยังผลให้ผีสาวถอยกรูดด้วยเกรงอำนาจบารมี
“อย่าเอามาใกล้ข้า” หล่อนทำท่าจะหนีหาย
“เดี๋ยวค่ะพี่ อย่าเพิ่งไป” หญิงสาวร้องเรียก พร้อมทั้งกำเพชรพญานาคในมือไว้อย่างเดิม สร้างความประหลาดใจให้วิญญาณสาวงามยิ่งนัก