ตากับยายและน้า ๆ ผู้ซึ่งชอบทำบุญเข้าวัด ผู้ซึ่งมีภาพที่ทุกคนเห็นเป็นคนธรรมมะธรรมโม พูดจาดี สร้างหนี้สิ้นหลายล้านให้แม่ชดใช้ คงจะเจ็บปวดน้อยกว่านั้น ถ้าพวกเขาไม่ทำพร้อมกับการโกหก หลอกลวง หักหลัง และทั้งหมดที่เลวร้ายมากกว่าที่จะคิดได้ ... สายเลือดเดียวกัน มันทำให้อดถามตัวเองไม่ได้ว่า เพราะหนูมีเลือดของพวกเขา หนูจะเลวทรามต่ำช้าเหมือนพวกเขาหรือเปล่า
ความทุกข์เศร้าของหนูอาจไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่กว่าใคร ๆ ไม่เศร้า ไม่รันทดกว่าความทุกข์ของคนอื่น เพราะหนูเข้าใจดีค่ะ เราทุกคนมีปัญหาและล้วนต้องพบเจอกับความทุกข์ แต่ก็เข้าใจดีอีกว่า ความหวาดกลัวของใจคนอาจเปลี่ยนเราให้เลวร้าย ...และหนูไม่อยากเป็นอย่างนั้น
ช่วยหนูด้วยนะคะ ได้โปรด...
ปีนี้หนูอายุ ๒๓ แล้วค่ะ โตเกินกว่าจะแทนตัวเองว่าหนูหรือเปล่า แต่สำหรับหนูแล้ว คำว่า “ครอบครัว” เป็นรอยยิ้ม เป็นความรู้สึกอ่อนโยน เป็นช่วงเวลาที่ความเยาว์วัยไม่จางหาย
หนูมีความทรงจำวัยเด็กที่สนุกสนานและอยู่บนความไร้เดียงสาเหมือนเด็กทั่วไปค่ะ นั่นเป็นสิ่งที่พ่อกับแม่อยากให้เป็น มันเป็นอย่างนั้นจนความจริงบางอย่างแจ่มชัดจนเกินกว่าจะบอกตัวเองว่าโลกสวยงามเหมือนในหนังสือเรียน
คุณตาคุณยายของหนูมีลูก ๕ คนค่ะ คนโตเป็นผู้ชาย อีก ๔ คนเป็นผู้หญิง แม่ของหนูเป็นลูกคนที่ ๒ ค่ะ ตั้งแต่จำความได้คุณตาเป็นคนเงียบ ๆ และคุณยายเป็นคนพูดจาดี อ่อนหวานน่าฟัง บ้านของพวกท่านเป็นเรือนไม้หลังใหญ่ ถัดมาเป็นบ้านของลูก ๆ เรียงกันมาอีกสี่หลัง เรามีรั้วบ้านใหญ่ล้อมรอบ ส่วนตัวบ้านแต่ละหลังมีเพียงรั้วดอกไม้กั้น คุณตาคุณยายและลูก ๆ ของท่านชอบทำบุญ คุณยายชอบพูดจาดีกับคนอื่น ๆ ไม่ชอบฟังคำหยาบ และท่านใช้ชีวิตเหมือนท่านเป็นเศรษฐีนี หลายคนคงเรียกมันว่าฟุ้งเฟ้อ หนูไม่เคยสงสัยว่าทำไมพวกเขาไม่นับหนูเป็นคนในครอบครัว บางทีอาจเพราะหนูเป็นคนไม่สวย ไม่เหมือนหลานน้าคนอื่น ๆ ของหนู หรืออาจจะเพราะหนูเป็นคนเงียบ ๆ ชอบอ่านหนังสือมากกว่าชอปปิ้ง พวกเขาเลยมองว่าหนูประหลาด เหมือนกับที่หนูไม่เคยรู้ว่าเงินที่พวกเขาใช้ (อาจถูกกว่าถ้าเรียกว่า “ผลาญ” ) เป็นน้ำพักน้ำแรงของพ่อกับแม่ ไม่ใช่พวกเขาไม่ทำงาน เพียงแต่พวกเขาทำเมื่ออยากทำและใช้เงินเกินกว่าที่หาได้เท่านั้นเอง
หนูไม่ค่อยสนิทกับญาติ ๆ นักค่ะ ประหลาดใจที่พ่อกับแม่ไม่ค่อยชอบให้คุยกับพวกเขานัก และก็เริ่มประหลาดใจด้วยตัวเองว่าทำไม ทุกครั้งที่คุยกัน พวกเขาพูดจาดีเหลือเกิน รู้สึกราวกับเป็นแขกที่มาเยี่ยมบ้าน แล้วยังสายตาสมเพชนั่นอีก มันคืออะไร แต่ก็ยังมีน้าสาวคนสุดท้องค่ะ เธออายุมากกว่าหนูแค่ ๖ ปี เธอดูแลหนูมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เธอคนที่ถามหนูด้วยความห่วงใยเสมอ เธอคนที่บอกว่ารักหนูที่สุด เธอที่วันนี้มองหนูด้วยสายตาสมเพชไม่ต่างจากคนอื่น ความจริงมากมายหลั่งไหล เมื่อหนูเดินไปที่บ้านของพวกเขาช่วงเวลาทานข้าว ได้ยินเรื่องเล่ามากมาย เรื่องเล่าที่รู้คำตอบว่าสายตาที่พวกเขามองหนูเรียกว่าสมเพช
เมื่อ ๑๐ ปีก่อนมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เรื่องที่ทำให้หนูรู้ว่า ยายมองว่าแม่ของหนูเป็นแค่ตัวอะไรซักอย่าง
เมื่อ ๑๐ ปีก่อน ลุงลูกชายคนโตของบ้านหลอกเงินของแม่ไปเป็นล้าน จากนั้นเขาทิ้งครอบครัวแล้วหนีไปอยู่กับเมียน้อย เขาทำให้ป้าซึ่งเป็นแม่ที่ดีคนหนึ่งประชดชีวิตและถูกคนอื่นประณามเพราะไม่อาจทนกับภาระหนี้สิน และลูกสาวสองคนลงท้ายด้วยการเสียคน นั้นเป็นคำพูดของคนอื่น มันเป็นความจริงแต่หนูไม่อาจมองเห็นแค่นั้น เพราะพวกเขาสามคนยังเป็นป้าที่ใจดีและเป็นพี่สาวที่อ่อนโยนเสมอเมื่อเราเจอกัน แม่ของหนูรักพวกเขามาก แม่เป็นคนปากร้าย พูดจาไม่น่าฟังและปากไม่ตรงกับใจ แต่เพื่อให้หลาน ๆ มีที่อยู่แม่จึงชดใช้หนี้แทนคุณลุงซื้อบ้านที่ถูกยึดและแอบให้ความช่วยเหลือคุณป้าที่หนีไปเพราะคุณลุงมาไถเงิน ไม่มีใครสนใจ เพราะแม่ของหนูปากร้าย พูดจาไม่น่าฟัง
แต่คุณยายรักคุณลุงมาก ต้องการให้คุณลุงกลับมาอยู่ที่บ้าน ท่านจะเลี้ยงดูคุณลุงเอง แม่โกรธมาก และถามว่าที่คุณลุงโกงคนอื่นจนเขาเกลียดกันทั้งหมู่บ้านจะทำยังไง คุณยายไม่สนใจ ...และทุกอย่างก็ผ่านไป แม่ยังตามชดใช้ให้คุณลุงเสมอ และให้เงินคุณยายตามที่ขอไม่เคยขาด ทุกอย่างดำเนินไป เหมือนเดิม ...
คุณพ่อของหนูสุขภาพไม่แข็งแรงค่ะ เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น การถูกปลุกตอนตี ๒ แล้วคุณแม่บอกว่าลุกขึ้นปิดประตูให้เรียบร้อยพ่อกับแม่จะไปโรงพยาบาลมันเป็นเรื่องธรรมดา จากนั้นพ่อก็ทุลักทุเลขับรถออกไปเพราะแม่ขับรถไม่เป็น บ้านเรามีแต่ผู้หญิง คุณตาคุณยายซื้อรถไว้หลายคัน แต่คนที่ขับได้มีคุณตาคนเดียว แน่นอนการให้คนแก่ตื่นตอนตี ๒ จะทำให้พ่อกับแม่ถูกตำหนิ แม้ว่าตอนนั้นชีวิตของพ่อหนูเป็นตายเท่ากัน (พ่อเกลียดการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มาก ตอนนี้จึงตัดปัญหาด้วยการ ซื้อทุกอย่างเท่าที่พ่อต้องใช้ เราเกือบจะมีโรงพยาบาลในบ้านแล้ว)
หนูมักจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งเสมอ เธอเป็นลูกของน้าคนรองจากแม่ อายุน้อยกว่าหนู ๒ ปี เธอสวย บุคลิกดี พูดเก่ง เอาใจเก่ง เธอเก่งเรื่องพวกนี้จริง ๆ ค่ะ เราถูกเปรียบเทียบกันทุกเรื่อง หนูเรียนค่อนข้างดี แต่นั้นไม่สำคัญสำหรับญาติ ๆ เพราะหนูไม่สวย และหนูพูดไม่เก่ง หนูซื้อเสื้อผ้าแค่ปีละครั้ง แต่ครั้งหนึ่งเกือบหมื่น แม่เป็นคนเลือกค่ะ และแน่นอนมันถูกเปรียบเทียบกับน้อง น้องที่ซื้อเสื้อผ้าที่ตลาดนัดครั้งละไม่เกินห้าร้อย แต่ทุกคนลืมไปว่า เธอซื้อมันทุกวัน
ความสัมพันธ์ของหนูกับน้องคนนี้แกน ๆ ค่ะ หนูไม่เคยรู้น้ำใจจริง ๆ ของเธอเลย เราควรถามตัวเองดูซักครั้งว่าสิ่งที่เราคิดว่าเราเป็น กับสิ่งที่เราเป็นจริง ๆ เป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่า เธออาจไม่รู้เธอชอบกดหนูเสมอ แต่ที่เธอพูดคือน้องรักพี่เสมอนะคะ ปัญหาที่ผู้ใหญ่ทำมันจะไม่ส่งผลกับเราหรอก ... พี่ไม่เคยก้าวร้าวกับแม่ของเธอเลยนะ ทั้งที่แม่ของเธอมองพี่ราวกับสมเพชเต็มที แต่ที่เธอโทรมาขู่ฆ่าและด่าทอแม่ของพี่ เธอจะให้พี่ทนได้ยังไง เธอทำได้ยังไง เงินที่ที่ใช้ฟุ้งเฟ้อมาทั้งชีวิตของเธอ นั่นมันหยาดเหงื่อของแม่พี่นะ
เมื่อ ๔ ปีก่อน หนูมาเรียนมหาลัยต่างจังหวัด หนูบ้างานจนกลับบ้านน้อยครั้ง แต่โทรหาพ่อกับแม่เสมอค่ะ หนูไม่ใช่ลูกที่ดี แต่หนูก็ได้เรียนรู้ที่จะดีขึ้นในทุก ๆ วัน มีหลายอย่างเกิดขึ้นที่บ้าน พ่อกับแม่ไม่เคยโทรบอก ไม่เคยเล่า ไม่เคยระบายถึงความทุกข์เศร้าที่มีเลยซักครั้ง หนูมีน้องชายแท้ ๆ ๑ คน เขาอายุน้อยกว่าหนู ๑๐ ปี แม้แต่เขาคนที่โทรมาหยอกเย้าหนูเสมอ ยังไม่ยอมพูด ไม่ยอมเล่าแม้ซักเรื่องที่หนูไม่สบายใจ เมื่อตุลาคมปีก่อน หนูไปฝึกงานที่ต่างประเทศ ปกติพ่อจะโทรมาชวนคุย โทรมาพูดจาขำขันให้ได้หัวเราะผ่อนคลายจากเรื่องไม่สบายใจต่าง ๆ แต่ช่วงนั้นพ่อหายไปบ่อยมากค่ะ และทุกครั้งที่พ่อหายไปมันหมายถึงพ่อมีเรื่องไม่สบายใจอย่างที่สุดเสมอ
และวันหนึ่งพ่อก็โทรมาบอกเล่าด้วยเสียงสะอื้น
พ่อบอกว่ายายสร้างหนี้สินเป็นล้าน ๆ โดยบอกทุกคนว่าให้มาเรียกร้องที่แม่
น้องสาวคนรองของแม่ แม่ของหลานสาวที่คุณยายรักหนักหนาเชิดเงินของแม่แล้วหนีหายหน้าไป
คุณตาแอบยกที่ดินที่เป็นที่ตั้งของบ้านหนูให้คุณน้าคนรองทั้งที่แบ่งกันไว้ให้ที่นั่นเป็นที่ของแม่ และคุณน้าคนรองแอบขายที่ผืนสำคัญใจกลางสวน คุณแม่รู้เมื่อสาย แม้จะด่าทอคุณน้าหนักแค่ไหน แต่ก็ยอมยกที่ส่วนหนึ่งของตัวเองให้คุณน้า สรุปคือ ตอนนี้ไม่มีที่ผืนไหนที่ได้มาจากสมบัติของคุณตาคุณยายเลย มีแต่ส่วนที่ได้มาจากหยาดเหงื่อของพ่อกับแม่เท่านั้น
ตั้งแต่จำความได้ ถ้ามีเงิน ๑๐๐ บาท
แม่จะไม่ให้เงินกับพ่อที่ป่วยเป็นคนแรก
ไม่ให้น้อง ไม่ให้หนู
แม่จะให้มันกับยาย
ปากแม่บอกว่าไม่รักยายอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ที่แม่ทำคือยอมยายทุกอย่างเพื่อให้ได้รับการยอมรับ
ยอมเพื่อให้ยายยิ้มให้แม่ด้วยความจริงใจซักครั้งหนึ่ง ๕๐ ปีผ่านมา แม่ยังไม่เคยได้เห็น
หนูได้แต่บอกพ่อว่า ถ้าหนูเป็นแม่ หนูก็คงจะทำอย่างนั้นแน่ ๆ เพราะแม่คงไม่รู้ ... แม่ไม่เคยยิ้มให้หนูซักครั้ง แม่เป็นสิ่งที่หนูกลัวมากที่สุดในชีวิต ระหว่างเรามีแต่เรื่องจริงจัง ไร้เสียงหัวเราะ แต่หนูยังโชคดีกว่าแม่ แม้หนูรู้ว่าแม่จะยังเลือกรับความเจ็บปวดที่ยายทำต่อไป รู้ว่าเลือกยายแน่ ๆ ไม่ใช่หนู แต่ภายใต้ความเย็นชาพวกนั้น แม่ไม่เคยโกหกหนู และไม่เคยทำให้หนูรู้สึกว่าแม่จะทิ้งหนู
พ่อแม่แท้ ๆ ผู้ให้กำเนิด
พี่น้องแท้ ๆ โตมาด้วยกัน สายเลือดเดียวกัน
ทั้งหมดที่พวกเขาทำกับแม่ คือ หลอกลวง ทรยศ หักหลัง
แม่เงียบค่ะ แม่ไม่เคยพูดถึงมันซักครั้งเลย มีแต่พ่อที่น้ำตาตกให้หนูเห็น
หนูไม่เคยรู้อะไรเลย ไม่เคยมีใครยอมเล่าอะไรเลย
พ่อกับแม่อยากให้หนูตั้งใจเรียนและไม่เป็นทุกข์ พวกท่านทำอย่างนั้นมานับสิบปี มันอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเพราะตอนนี้ ที่หนูได้รู้ทุกอย่าง ...มันช่าง
ผู้คนมักมองว่าแม่ร้อนร้าย เพราะแม่พูดจาตรง ๆ ไม่ค่อยน่าฟัง แต่พวกเขาไม่อาจปฎิเสธ แม่ของหนูเป็นคนซื่อตรง อ่อนโยน และมีน้ำใจอย่างที่สุด ชีวิตใครหลายคนถูกตัดสินเพียงเพราะพวกเขาไม่รู้วิธีแก้ต่างให้ตัวเอง
ที่บ้านเราตกลงกันไว้ว่าที่ดินทั้งหมดจะเป็นของน้องชายและเงินสดทั้งหมดจะเป็นของหนู พ่อกับแม่ยอมให้หนูไปทำงานต่างประเทศทั้งที่พวกท่านเป็นห่วงหนูมากที่สุด ตอนนี้เงินเก็บทั้งหมดไม่มีอีกแล้วเพราะหายไปกับการใช้หนี้ให้ตายายและที่ดินของน้องก็เหลือน้อยเต็มทีเพราะถูกคดโกงโดยน้า ๆ
พ่อโทรมาขอคำมั่นจากหนูทั้งที่ท่านไม่เคยมองว่าหนูโตพอจะรับผิดชอบอะไร ท่านขอให้หนูสัญญาว่าจะไปอยู่ให้ไกลคนเหล่านั้นที่สุด ความทุกข์ทุกอย่างนั้นให้มันจบที่พ่อกับแม่ พ่อบอกว่ามันไม่ใช่การลาตาย แต่ต่อไปต้องดูแลน้องให้ดีนะ ... หนูไม่เคยร้องให้กับเรื่องพวกนี้ เพราะมันถูกแทนที่ด้วยหัวใจที่แตกร้าวจนเลือดหยดไหลแล้ว
ทุกคนอาจมองว่าหนูอ่อนต่อโลก
ถ้าเป็นทุกอย่างที่เกี่ยวกับคำว่า “ครอบครัว” ไม่ปฏิเสธค่ะ
หนูทำได้ดีในการทำงาน ในสังคม หนูอาจดูแปลกแต่มีความสามารถเป็นที่ยอมรับ มีคนมากมายชื่นชมหนู ... แต่นั้นไม่ได้ทำให้หนูจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ได้เลยเมื่อมันเกี่ยวกับครอบครัว
ความเข้าใจได้ ยอมรับได้ และปฏิบัติได้ ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน
เรื่องทั้งหมดหนูเข้าใจได้ค่ะ แต่ยอมรับมันไม่ได้ เจ็บจนทรมานไปหมดเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
หนูไม่อยากกลายเป็นคนเลวร้าย แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ความเสียใจความหวดกลัวสร้างปีศาจร้ายที่พร้อมทำลายทุกอย่าง ทุกวันนี้คุณตาคุณยายยังไม่ยอมหยุดค่ะ และเพิ่งประกาศตัดพ่อตัดแม่กับคุณแม่ของหนู ตามด้วยคุณน้าคนที่บอกว่ารักหนูนักหนา พูดจาถึงหนูว่าน่าสมเพชและเป็นตัวโง่งม แม่ทนทุกอย่างนี้ได้ยังไงกัน
หนูกำลังสับสน เจ็บปวด หวาดกลัวไปหมดทุกอย่าง
พี่ ๆ ทุกคนช่วยหนูได้ไหมคะ มีวิธีที่จำทำให้หนูไม่เลวร้ายเหมือนพวกเขาหรือเปล่า
ขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ ขอบคุณจริง ๆ
มือถือสาก ปากถือศีล ... จะไปวัดทำบุญทำไม เมื่อในการดำเนินชีวิต การใช้ชีวิตที่เลือกแล้ว มีแต่การทำผิดศีลทุกข้อ
ความทุกข์เศร้าของหนูอาจไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่กว่าใคร ๆ ไม่เศร้า ไม่รันทดกว่าความทุกข์ของคนอื่น เพราะหนูเข้าใจดีค่ะ เราทุกคนมีปัญหาและล้วนต้องพบเจอกับความทุกข์ แต่ก็เข้าใจดีอีกว่า ความหวาดกลัวของใจคนอาจเปลี่ยนเราให้เลวร้าย ...และหนูไม่อยากเป็นอย่างนั้น
ช่วยหนูด้วยนะคะ ได้โปรด...
ปีนี้หนูอายุ ๒๓ แล้วค่ะ โตเกินกว่าจะแทนตัวเองว่าหนูหรือเปล่า แต่สำหรับหนูแล้ว คำว่า “ครอบครัว” เป็นรอยยิ้ม เป็นความรู้สึกอ่อนโยน เป็นช่วงเวลาที่ความเยาว์วัยไม่จางหาย
หนูมีความทรงจำวัยเด็กที่สนุกสนานและอยู่บนความไร้เดียงสาเหมือนเด็กทั่วไปค่ะ นั่นเป็นสิ่งที่พ่อกับแม่อยากให้เป็น มันเป็นอย่างนั้นจนความจริงบางอย่างแจ่มชัดจนเกินกว่าจะบอกตัวเองว่าโลกสวยงามเหมือนในหนังสือเรียน
คุณตาคุณยายของหนูมีลูก ๕ คนค่ะ คนโตเป็นผู้ชาย อีก ๔ คนเป็นผู้หญิง แม่ของหนูเป็นลูกคนที่ ๒ ค่ะ ตั้งแต่จำความได้คุณตาเป็นคนเงียบ ๆ และคุณยายเป็นคนพูดจาดี อ่อนหวานน่าฟัง บ้านของพวกท่านเป็นเรือนไม้หลังใหญ่ ถัดมาเป็นบ้านของลูก ๆ เรียงกันมาอีกสี่หลัง เรามีรั้วบ้านใหญ่ล้อมรอบ ส่วนตัวบ้านแต่ละหลังมีเพียงรั้วดอกไม้กั้น คุณตาคุณยายและลูก ๆ ของท่านชอบทำบุญ คุณยายชอบพูดจาดีกับคนอื่น ๆ ไม่ชอบฟังคำหยาบ และท่านใช้ชีวิตเหมือนท่านเป็นเศรษฐีนี หลายคนคงเรียกมันว่าฟุ้งเฟ้อ หนูไม่เคยสงสัยว่าทำไมพวกเขาไม่นับหนูเป็นคนในครอบครัว บางทีอาจเพราะหนูเป็นคนไม่สวย ไม่เหมือนหลานน้าคนอื่น ๆ ของหนู หรืออาจจะเพราะหนูเป็นคนเงียบ ๆ ชอบอ่านหนังสือมากกว่าชอปปิ้ง พวกเขาเลยมองว่าหนูประหลาด เหมือนกับที่หนูไม่เคยรู้ว่าเงินที่พวกเขาใช้ (อาจถูกกว่าถ้าเรียกว่า “ผลาญ” ) เป็นน้ำพักน้ำแรงของพ่อกับแม่ ไม่ใช่พวกเขาไม่ทำงาน เพียงแต่พวกเขาทำเมื่ออยากทำและใช้เงินเกินกว่าที่หาได้เท่านั้นเอง
หนูไม่ค่อยสนิทกับญาติ ๆ นักค่ะ ประหลาดใจที่พ่อกับแม่ไม่ค่อยชอบให้คุยกับพวกเขานัก และก็เริ่มประหลาดใจด้วยตัวเองว่าทำไม ทุกครั้งที่คุยกัน พวกเขาพูดจาดีเหลือเกิน รู้สึกราวกับเป็นแขกที่มาเยี่ยมบ้าน แล้วยังสายตาสมเพชนั่นอีก มันคืออะไร แต่ก็ยังมีน้าสาวคนสุดท้องค่ะ เธออายุมากกว่าหนูแค่ ๖ ปี เธอดูแลหนูมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เธอคนที่ถามหนูด้วยความห่วงใยเสมอ เธอคนที่บอกว่ารักหนูที่สุด เธอที่วันนี้มองหนูด้วยสายตาสมเพชไม่ต่างจากคนอื่น ความจริงมากมายหลั่งไหล เมื่อหนูเดินไปที่บ้านของพวกเขาช่วงเวลาทานข้าว ได้ยินเรื่องเล่ามากมาย เรื่องเล่าที่รู้คำตอบว่าสายตาที่พวกเขามองหนูเรียกว่าสมเพช
เมื่อ ๑๐ ปีก่อนมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เรื่องที่ทำให้หนูรู้ว่า ยายมองว่าแม่ของหนูเป็นแค่ตัวอะไรซักอย่าง
เมื่อ ๑๐ ปีก่อน ลุงลูกชายคนโตของบ้านหลอกเงินของแม่ไปเป็นล้าน จากนั้นเขาทิ้งครอบครัวแล้วหนีไปอยู่กับเมียน้อย เขาทำให้ป้าซึ่งเป็นแม่ที่ดีคนหนึ่งประชดชีวิตและถูกคนอื่นประณามเพราะไม่อาจทนกับภาระหนี้สิน และลูกสาวสองคนลงท้ายด้วยการเสียคน นั้นเป็นคำพูดของคนอื่น มันเป็นความจริงแต่หนูไม่อาจมองเห็นแค่นั้น เพราะพวกเขาสามคนยังเป็นป้าที่ใจดีและเป็นพี่สาวที่อ่อนโยนเสมอเมื่อเราเจอกัน แม่ของหนูรักพวกเขามาก แม่เป็นคนปากร้าย พูดจาไม่น่าฟังและปากไม่ตรงกับใจ แต่เพื่อให้หลาน ๆ มีที่อยู่แม่จึงชดใช้หนี้แทนคุณลุงซื้อบ้านที่ถูกยึดและแอบให้ความช่วยเหลือคุณป้าที่หนีไปเพราะคุณลุงมาไถเงิน ไม่มีใครสนใจ เพราะแม่ของหนูปากร้าย พูดจาไม่น่าฟัง
แต่คุณยายรักคุณลุงมาก ต้องการให้คุณลุงกลับมาอยู่ที่บ้าน ท่านจะเลี้ยงดูคุณลุงเอง แม่โกรธมาก และถามว่าที่คุณลุงโกงคนอื่นจนเขาเกลียดกันทั้งหมู่บ้านจะทำยังไง คุณยายไม่สนใจ ...และทุกอย่างก็ผ่านไป แม่ยังตามชดใช้ให้คุณลุงเสมอ และให้เงินคุณยายตามที่ขอไม่เคยขาด ทุกอย่างดำเนินไป เหมือนเดิม ...
คุณพ่อของหนูสุขภาพไม่แข็งแรงค่ะ เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น การถูกปลุกตอนตี ๒ แล้วคุณแม่บอกว่าลุกขึ้นปิดประตูให้เรียบร้อยพ่อกับแม่จะไปโรงพยาบาลมันเป็นเรื่องธรรมดา จากนั้นพ่อก็ทุลักทุเลขับรถออกไปเพราะแม่ขับรถไม่เป็น บ้านเรามีแต่ผู้หญิง คุณตาคุณยายซื้อรถไว้หลายคัน แต่คนที่ขับได้มีคุณตาคนเดียว แน่นอนการให้คนแก่ตื่นตอนตี ๒ จะทำให้พ่อกับแม่ถูกตำหนิ แม้ว่าตอนนั้นชีวิตของพ่อหนูเป็นตายเท่ากัน (พ่อเกลียดการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มาก ตอนนี้จึงตัดปัญหาด้วยการ ซื้อทุกอย่างเท่าที่พ่อต้องใช้ เราเกือบจะมีโรงพยาบาลในบ้านแล้ว)
หนูมักจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งเสมอ เธอเป็นลูกของน้าคนรองจากแม่ อายุน้อยกว่าหนู ๒ ปี เธอสวย บุคลิกดี พูดเก่ง เอาใจเก่ง เธอเก่งเรื่องพวกนี้จริง ๆ ค่ะ เราถูกเปรียบเทียบกันทุกเรื่อง หนูเรียนค่อนข้างดี แต่นั้นไม่สำคัญสำหรับญาติ ๆ เพราะหนูไม่สวย และหนูพูดไม่เก่ง หนูซื้อเสื้อผ้าแค่ปีละครั้ง แต่ครั้งหนึ่งเกือบหมื่น แม่เป็นคนเลือกค่ะ และแน่นอนมันถูกเปรียบเทียบกับน้อง น้องที่ซื้อเสื้อผ้าที่ตลาดนัดครั้งละไม่เกินห้าร้อย แต่ทุกคนลืมไปว่า เธอซื้อมันทุกวัน
ความสัมพันธ์ของหนูกับน้องคนนี้แกน ๆ ค่ะ หนูไม่เคยรู้น้ำใจจริง ๆ ของเธอเลย เราควรถามตัวเองดูซักครั้งว่าสิ่งที่เราคิดว่าเราเป็น กับสิ่งที่เราเป็นจริง ๆ เป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่า เธออาจไม่รู้เธอชอบกดหนูเสมอ แต่ที่เธอพูดคือน้องรักพี่เสมอนะคะ ปัญหาที่ผู้ใหญ่ทำมันจะไม่ส่งผลกับเราหรอก ... พี่ไม่เคยก้าวร้าวกับแม่ของเธอเลยนะ ทั้งที่แม่ของเธอมองพี่ราวกับสมเพชเต็มที แต่ที่เธอโทรมาขู่ฆ่าและด่าทอแม่ของพี่ เธอจะให้พี่ทนได้ยังไง เธอทำได้ยังไง เงินที่ที่ใช้ฟุ้งเฟ้อมาทั้งชีวิตของเธอ นั่นมันหยาดเหงื่อของแม่พี่นะ
เมื่อ ๔ ปีก่อน หนูมาเรียนมหาลัยต่างจังหวัด หนูบ้างานจนกลับบ้านน้อยครั้ง แต่โทรหาพ่อกับแม่เสมอค่ะ หนูไม่ใช่ลูกที่ดี แต่หนูก็ได้เรียนรู้ที่จะดีขึ้นในทุก ๆ วัน มีหลายอย่างเกิดขึ้นที่บ้าน พ่อกับแม่ไม่เคยโทรบอก ไม่เคยเล่า ไม่เคยระบายถึงความทุกข์เศร้าที่มีเลยซักครั้ง หนูมีน้องชายแท้ ๆ ๑ คน เขาอายุน้อยกว่าหนู ๑๐ ปี แม้แต่เขาคนที่โทรมาหยอกเย้าหนูเสมอ ยังไม่ยอมพูด ไม่ยอมเล่าแม้ซักเรื่องที่หนูไม่สบายใจ เมื่อตุลาคมปีก่อน หนูไปฝึกงานที่ต่างประเทศ ปกติพ่อจะโทรมาชวนคุย โทรมาพูดจาขำขันให้ได้หัวเราะผ่อนคลายจากเรื่องไม่สบายใจต่าง ๆ แต่ช่วงนั้นพ่อหายไปบ่อยมากค่ะ และทุกครั้งที่พ่อหายไปมันหมายถึงพ่อมีเรื่องไม่สบายใจอย่างที่สุดเสมอ
และวันหนึ่งพ่อก็โทรมาบอกเล่าด้วยเสียงสะอื้น
พ่อบอกว่ายายสร้างหนี้สินเป็นล้าน ๆ โดยบอกทุกคนว่าให้มาเรียกร้องที่แม่
น้องสาวคนรองของแม่ แม่ของหลานสาวที่คุณยายรักหนักหนาเชิดเงินของแม่แล้วหนีหายหน้าไป
คุณตาแอบยกที่ดินที่เป็นที่ตั้งของบ้านหนูให้คุณน้าคนรองทั้งที่แบ่งกันไว้ให้ที่นั่นเป็นที่ของแม่ และคุณน้าคนรองแอบขายที่ผืนสำคัญใจกลางสวน คุณแม่รู้เมื่อสาย แม้จะด่าทอคุณน้าหนักแค่ไหน แต่ก็ยอมยกที่ส่วนหนึ่งของตัวเองให้คุณน้า สรุปคือ ตอนนี้ไม่มีที่ผืนไหนที่ได้มาจากสมบัติของคุณตาคุณยายเลย มีแต่ส่วนที่ได้มาจากหยาดเหงื่อของพ่อกับแม่เท่านั้น
ตั้งแต่จำความได้ ถ้ามีเงิน ๑๐๐ บาท
แม่จะไม่ให้เงินกับพ่อที่ป่วยเป็นคนแรก
ไม่ให้น้อง ไม่ให้หนู
แม่จะให้มันกับยาย
ปากแม่บอกว่าไม่รักยายอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ที่แม่ทำคือยอมยายทุกอย่างเพื่อให้ได้รับการยอมรับ
ยอมเพื่อให้ยายยิ้มให้แม่ด้วยความจริงใจซักครั้งหนึ่ง ๕๐ ปีผ่านมา แม่ยังไม่เคยได้เห็น
หนูได้แต่บอกพ่อว่า ถ้าหนูเป็นแม่ หนูก็คงจะทำอย่างนั้นแน่ ๆ เพราะแม่คงไม่รู้ ... แม่ไม่เคยยิ้มให้หนูซักครั้ง แม่เป็นสิ่งที่หนูกลัวมากที่สุดในชีวิต ระหว่างเรามีแต่เรื่องจริงจัง ไร้เสียงหัวเราะ แต่หนูยังโชคดีกว่าแม่ แม้หนูรู้ว่าแม่จะยังเลือกรับความเจ็บปวดที่ยายทำต่อไป รู้ว่าเลือกยายแน่ ๆ ไม่ใช่หนู แต่ภายใต้ความเย็นชาพวกนั้น แม่ไม่เคยโกหกหนู และไม่เคยทำให้หนูรู้สึกว่าแม่จะทิ้งหนู
พ่อแม่แท้ ๆ ผู้ให้กำเนิด
พี่น้องแท้ ๆ โตมาด้วยกัน สายเลือดเดียวกัน
ทั้งหมดที่พวกเขาทำกับแม่ คือ หลอกลวง ทรยศ หักหลัง
แม่เงียบค่ะ แม่ไม่เคยพูดถึงมันซักครั้งเลย มีแต่พ่อที่น้ำตาตกให้หนูเห็น
หนูไม่เคยรู้อะไรเลย ไม่เคยมีใครยอมเล่าอะไรเลย
พ่อกับแม่อยากให้หนูตั้งใจเรียนและไม่เป็นทุกข์ พวกท่านทำอย่างนั้นมานับสิบปี มันอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเพราะตอนนี้ ที่หนูได้รู้ทุกอย่าง ...มันช่าง
ผู้คนมักมองว่าแม่ร้อนร้าย เพราะแม่พูดจาตรง ๆ ไม่ค่อยน่าฟัง แต่พวกเขาไม่อาจปฎิเสธ แม่ของหนูเป็นคนซื่อตรง อ่อนโยน และมีน้ำใจอย่างที่สุด ชีวิตใครหลายคนถูกตัดสินเพียงเพราะพวกเขาไม่รู้วิธีแก้ต่างให้ตัวเอง
ที่บ้านเราตกลงกันไว้ว่าที่ดินทั้งหมดจะเป็นของน้องชายและเงินสดทั้งหมดจะเป็นของหนู พ่อกับแม่ยอมให้หนูไปทำงานต่างประเทศทั้งที่พวกท่านเป็นห่วงหนูมากที่สุด ตอนนี้เงินเก็บทั้งหมดไม่มีอีกแล้วเพราะหายไปกับการใช้หนี้ให้ตายายและที่ดินของน้องก็เหลือน้อยเต็มทีเพราะถูกคดโกงโดยน้า ๆ
พ่อโทรมาขอคำมั่นจากหนูทั้งที่ท่านไม่เคยมองว่าหนูโตพอจะรับผิดชอบอะไร ท่านขอให้หนูสัญญาว่าจะไปอยู่ให้ไกลคนเหล่านั้นที่สุด ความทุกข์ทุกอย่างนั้นให้มันจบที่พ่อกับแม่ พ่อบอกว่ามันไม่ใช่การลาตาย แต่ต่อไปต้องดูแลน้องให้ดีนะ ... หนูไม่เคยร้องให้กับเรื่องพวกนี้ เพราะมันถูกแทนที่ด้วยหัวใจที่แตกร้าวจนเลือดหยดไหลแล้ว
ทุกคนอาจมองว่าหนูอ่อนต่อโลก
ถ้าเป็นทุกอย่างที่เกี่ยวกับคำว่า “ครอบครัว” ไม่ปฏิเสธค่ะ
หนูทำได้ดีในการทำงาน ในสังคม หนูอาจดูแปลกแต่มีความสามารถเป็นที่ยอมรับ มีคนมากมายชื่นชมหนู ... แต่นั้นไม่ได้ทำให้หนูจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ได้เลยเมื่อมันเกี่ยวกับครอบครัว
ความเข้าใจได้ ยอมรับได้ และปฏิบัติได้ ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน
เรื่องทั้งหมดหนูเข้าใจได้ค่ะ แต่ยอมรับมันไม่ได้ เจ็บจนทรมานไปหมดเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
หนูไม่อยากกลายเป็นคนเลวร้าย แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ความเสียใจความหวดกลัวสร้างปีศาจร้ายที่พร้อมทำลายทุกอย่าง ทุกวันนี้คุณตาคุณยายยังไม่ยอมหยุดค่ะ และเพิ่งประกาศตัดพ่อตัดแม่กับคุณแม่ของหนู ตามด้วยคุณน้าคนที่บอกว่ารักหนูนักหนา พูดจาถึงหนูว่าน่าสมเพชและเป็นตัวโง่งม แม่ทนทุกอย่างนี้ได้ยังไงกัน
หนูกำลังสับสน เจ็บปวด หวาดกลัวไปหมดทุกอย่าง
พี่ ๆ ทุกคนช่วยหนูได้ไหมคะ มีวิธีที่จำทำให้หนูไม่เลวร้ายเหมือนพวกเขาหรือเปล่า
ขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ ขอบคุณจริง ๆ