เพราะการเป็นนักเขียน ไม่มีให้เรียนในแผนกวิศวกรรม

กระทู้สนทนา
บทที่หนึ่ง ถึงคุณชโบสกี้

          กระบวนการย้ายสนามบินกำลังเริ่มต้นขึ้น ผมไม่มีส่วนร่วมเท่าใดนักกับหน้าที่ดังกล่าว นอกจากรอการเปิดใช้สนามบินใหม่ และเริ่มต้นงานซ่อมบำรุง กว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็คงอีกเกือบสามเดือน ผมนั่งเซ็งกับการทำเอกสารเล็กๆ น้อยๆ อยู่ทั้งอาทิตย์ แต่ก็อย่างที่คุณก็รู้ ว่ามันน่าเบื่อขนาดไหน ผมนึกหากิจกรรมสำหรับฆ่าเวลา และก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการหาหนังสือมาอ่านสักเล่ม

          ผมต้องขอโทษคุณ สตีเฟ่น ชโบสกี้ ไว้ตรงนี้ที่ผมถือวิสาสะหาหนังสือคุณมาอ่านแบบฟรีๆ จากอินเตอร์เน็ต ผมไม่อยากทำแบบนั้น แต่คุณควรจะรู้ไว้ว่าสังคมบีบให้ผมต้องทำอย่างนี้ หากคุณจะโทษใครสักคนคงต้องเป็นคนที่นำมันมาไว้ในอินเตอร์เน็ต หรือไม่เช่นนั้นก็โทษใครสักคนที่สร้างอินเตอร์เน็ตขึ้นมา แต่อย่ากระนั้นเลยเพราะผมรู้แก่ใจว่ากรรมคงตามสนองผมอยู่ เพราะขณะนี้คงมีหลายๆ คนที่อ่านเรื่องของผมแบบฟรีๆ ทางอินเตอร์เน็ตเช่นกัน ( แม้มันจะห่วยกว่าเรื่องของคุณสักสิบเท่าก็ตามที ) จากนั้นทุกวันที่มีเวลาว่าผมมักจะนั่งอ่านเรื่องของคุณผ่านอีบุ๊คเครื่องเล็กๆ ที่ผมซื้อให้เป็นของขวัญกับตัวเอง แต่ซื้อเนื่องในโอกาสอะไรผมก็จำไม่ได้เสียแล้ว ผมอ่านหนังสือคุณไปได้ราวๆ สามวัน แล้วเรื่องมันก็เริ่มขึ้นตรงนี้

          การเข้ามาทำงานในสนามบินที่มีการตรวจตราอย่างเข้มงวด บางทีก็ทำให้เรารำคาญใจอยู่บ้างเหมือนกัน ทั้งเรื่องเข้า เรื่องออก ดูมันจะวุ่นไปเสียหมด แต่นั่นก็เพื่อความปลอดภัยของพนักงานนั่นเอง และเมื่อเรารู้สึกปลอดภัยเราก็จะสามารถทำงานอย่างไร้กังวล  หลังจากที่ผมเคลียร์งานในส่วนที่รับผิดชอบเสร็จเรียบร้อย ผมก็จะหลุดเข้าไปในโลกของ The Perk of Being a Wallflower ที่คุณแต่งขึ้นหรือไม่ก็อาจจะเป็นเรื่องปมปัญหาชีวิตของคุณเอง และอยากให้คุณรู้ไว้ว่าผมรู้สึกสนุกกับมันมาก แต่ก็ได้เพียงแค่สามวัน ใครบางคนก็ดึงผมออกจากโลกของคุณ

          ครั้งแรกที่ผมเห็นเขาเดินเข้ามาหาผมในออฟฟิศแผนกลำเลียงกระเป๋าที่ผมอยู่ประจำ นั่นทำให้ผมแทบตกเก้าอี้ เกือบแปดปีที่ผมรู้จักเขา เขาไม่เคยเข้าใกล้ผมขนาดนี้ แต่วันนี้เขาเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม  เขาไม่ได้เป็นพนักงานสนามบิน เพราะไม่มีป้ายชื่อหรือบัตรผ่าน นั่นผมรู้ดี เพราะเด็กชายอายุสิบเอ็ดปีจะมาทำงานในนี้ได้อย่างไร  ผมค่อยๆ วางอีบุ๊คลงช้าๆ เพื่อไม่ให้เพื่อร่วมงานเกือบห้าคนในห้องนั้นผิดสังเกต แล้วมองไปยังใบหน้าของเด็กคนนั้น แล้วเขาก็เอ่ยกับผม

          “พี่ เขียนเรื่องของผมบ้างซี”

          เพียงคำเดียวเท่านั้นแหละ ที่ทำให้ผมนั่งอึ้งอยู่พักใหญ่ๆ ผมมองไปรอบๆ เหมือนว่าทุกคนในห้องไม่มีใครรู้ถึงการมาของเด็กคนนี้นอกจากผม

          “พี่เป็นวิศวกรนะครับ ไม่ใช่นักเขียน”

          ผมตอบไปเพื่อให้เขาเข้าใจสิ่งที่ผมเป็นอยู่ แม้ว่าผมไม่สนุกกับงานนี้นักแต่ผมก็เลี้ยงปากท้องมาในสายอาชีพนี้เกือบจะห้าปีแล้ว  แต่ในแววตาของเด็กนั่นเหมือนยังไม่หมดหวังในตัวผม

          “แต่พี่สัญญาไว้แล้ว”

          สัญญา! ผมคิดในใจ เรื่องอะไรกัน  แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดหาคำตอบเด็กนั่นก็ดึงผมให้ย้อนกลับไปยังภาพในอดีต ที่ผมกำลังนั่งดูหนังเรื่อง National Treasure อยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย ผมสนุกกับหนังที่นิโคลัส เคจ นำแสดง การไขปริศนาต่างๆ เป็นไปอย่างระทึกใจ จนจบเรื่องผมก็โพล่งขึ้นมาว่า

           “ไอ้เรื่องไขปริศนาเนี่ยประเทศไทยมีเยอะแยะ กลอนเป็นพันบทในนั้นอาจมีใครซ่อนอะไรไว้บ้างแหละ และเรื่องราวมันต้องสนุกกว่านี้มาก และผมจะเขียนออกมาให้ดู”

          สิ้นคำพูดประโยคนั้นแหละที่ทำให้ผมรู้จักกับเด็กคนนี้เป็นครั้งแรก เขาบอกว่าเขาจะแสดงให้เห็นเองว่าเรื่องราวสนุกๆ และการไขปริศนานั้นเป็นอย่างไร และเขาก็แวะเวียนมาหาผมอยู่บ้างบางครั้ง เพื่อแสดงอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ดู จนกระทั่งผมย้ายมาทำงานที่สนามบินยังต่างประเทศผมจึงไม่ได้เจอเขาอีก จนวันนี้ที่เขามาและขอกับผมตรงๆ

          “เขียนเรื่องนี้ให้ผมนะ” เขาถามอีกครั้งหลังจากรู้แล้วว่าผมจำทุกอย่างได้

           ผมละล่ำละลักออกมาเพื่อหาทางบ่ายเบี่ยง

            “พะ..พูดเป็นเล่นไปได้ เขียนแล้วใครเขาจะไปตีพิมพ์ให้ ใครจะอยากอ่าน  แล้วต้องส่งไปไหนยังไม่รู้เลย”

            ผมตอบปฏิเสธทั้งที่ใจรู้ดีว่า คำสัญญานั้นผมพูดไว้เอง
            เด็กนั่นแค่ยิ้ม มองมาที่ผมเหมือนจะบอกว่า เดี๋ยวก็ได้รู้กัน  จากนั้นเขาก็หายไป
            ไม่รู้ว่าคุณเคยถูกผีหลอกหรือเปล่า  ผมยอมรับว่าผมไม่มีสัมผัสเกี่ยวกับผีๆ สางๆ แต่สิ่งที่ผมรู้ดีมากกว่าเรื่องผี คือเรื่องของอดีตที่ไล่ต้อนเรา เหมือนกับผีตัวหนึ่ง แต่ตัวที่ไล่ผมอยู่นี้ผมมองเป็นแค่ผีน้อยแคสเปอร์ตัวเล็กที่ตามผมมาจากอดีต ผมจึงไม่ได้คิดว่าถูกหลอกแต่ เขาอาจจะมาบอกอะไรบางอย่าง และผมก็อยากจะรับฟัง
            ผมเก็บอีบุ๊คเข้ากระเป๋า หันเข้าจอคอมพิวเตอร์ พิมพ์เข้าไปหนึ่งประโยค
          
           ‘ประกวดวรรณกรรมเยาวชน’ แล้วก็กด ค้นหา

            ผมไม่ได้หวังรางวัลหรืออะไรทั้งนั้น  เพราะหากผมจะเขียนจริงๆ ผมแค่ต้องการใครสักคนที่พร้อมจะอ่าน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจะไม่ทำคือส่งไปให้บรรณาธิการกองสุมกับต้นฉบับนับร้อยนับพันเรื่อง แล้วรอวันหิมะโปรยสุ่มจับเรื่องของผมมาอ่าน แต่ยังไม่ทันที่จะอ่านบทนำจบ อาจมีคนโทรมาทวงหนี้หรือมีปัญหาเข้าเฟซบุ๊คไม่ได้ ถึงตอนนั้นเรื่องของผมคงถูกเผาไหม้เป็นจุณ หรือหากโชคดีกว่านั้นอาจจะแค่ถูกโยนลงถังขยะ รวมกับฝันของท่านผู้โชคดีคนอื่นๆ

            ผลการค้นหาแสดงขึ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นโครงการประกวดหนังสือเวทีใหญ่ที่จัดขึ้นทุกๆ ปี  ในตอนนั้นผมชักหวั่นๆ กับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำ ผมพยายามหาเหตุผลว่าทำไมผมจึงควรส่งไปที่นี่ คำตอบคืออย่างน้อยเวทีประกวดก็น่าจะมีกรรมการสักห้าคน สองในห้าคงจะได้อ่านต้นฉบับเรา รวมผมกับเพื่อร่วมงานที่นี่แล้ว เรื่องนี้คงมีคนอ่านจนจบอย่างน้อยห้าคน  โดยที่ผมลืมนึกไปว่าหากบทนำไม่โดนใจกรรมการ ก็คงจะโชคดีได้ลงถังขยะอีกเช่นกัน

            แต่เรื่องที่ผมเขียนอยู่นี้ขึ้นมาเพราะผมสัญญากับตัวเองไว้ว่า หากหนังสือผมผ่านเข้ารอบ ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟัง เหตุผลก็คือผมยืมเอาชื่อตัวละคร ชาลี ในหนังสือของคุณมาใช้ในหนังสือของผม นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะขอบคุณ และตอนนี้คุณกำลังอ่านเรื่องของผมอยู่ คุณต้องรู้แน่ๆ แล้วละว่าหนังสือผมผ่านเข้ารอบ

            แต่ช้าก่อนครับคุณ ชโบสกี้ ก่อนที่ผมจะไปถึงตรงนั้นได้มันก็ลำบากเอาการอยู่ หากคุณยังพอจะนึกถึงหนังสือเล่มแรกของคุณได้ คุณคงจะนึกภาพของผมออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผมต่อไป เพราะผมคงดีใจกว่านี้ถ้าผมรู้ว่าผมควรจะเขียนอะไรบ้างในหน้าแรก

***** จบบทที่หนึ่ง *****
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่