เล่าสู่กันฟังละกันค่ะเพื่อนๆในฐานะที่ จขกท.เป็นเม่าปีกอ่อนด้อย กราฟก็แค่พอรู้ ข่าวก็ดูทุกวัน หน้าจอก็เปิดดูเฉพาะตอนตลาดแดงๆ
ปกติกำหนดจุดคัทแรกสำหรับแต่ละตัวที่ -5% เพราะรู้ไงว่าอ่อน เผื่อเวลาผิดทางจะได้กลับตัวทัน ดูภาวะตลาดประกอบ และกำหนดจุดล้างพอร์ตไว้เผื่อเกิดภาวะไม่คาดคิด
บทเรียนนี้มีชื่อว่า
"เมื่อถึงจุดคัท ต้องคัท อย่าตื้อ อย่าหลอกตัวเองหากยังไม่เห็นจุดรีบาวน์"
เพราะหากมาคัทวันนี้จากกำไรจะติดลบจาก 10% เหลือ -4% รู้สึกดีที่ตัดใจคัทไป ขาดทุนกำไรไปมาก แต่ไม่เข้าเนื้อ
ขายไปครึ่งพอร์ตเมื่อ 30/5/2556 (คัทลอสรอบแรก BTS, LH รอบแรกและซื้อสวน T_T อีกเล็กน้อย)
ล้างพอร์ตไปวันวันที่ 11/6/2556 (อันนี้คัทลอสรอบสอง เพราะตัวที่ถือ+ตัวที่สวน ยังคงไม่มีสัญญาณ)
กำไรจากการเทรดสองปี(ปกติจะทยอยซื้อเข้าพอร์ตตลอด) จาก 30% เหลือ 10% หลังจากการคัทลอส
(แน่นอนขายตัวอื่นออกไปด้วยเพราะทุนสูง safety of margin ไม่มาก ก็เลยถือโอกาสล้างพอร์ตไปเลย)
จากที่อ่านมา เวลาหาจุดเข้า ว่าตลาดถึงจุดซื้อแล้วรึยัง? หรือจะลงต่อไปอีก ในการวิเคราะห์เชิงเทคนิคดูปัจจัย 6 ข้อได้แก่
1. Volume : ดูวอลุ่มเฉลี่ยควรลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย คาดว่าจะอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาทต่อวัน (วอลุ่มขายลดลง)
2.Indicator : เครื่องมือทางเทคนิคบอกถึงสัญญาณกลับตัว (Bullish divergence)
3.Momemtum : การปรับตัวลงของตลาดในแต่ละรอบ major correction 15-18%
4.Blue-chip stocks : สัญญาณขัดแย้งกับตลาด เช่น ตลาดลงแต่หุ้นขนาดใหญ่ยืนไม่ทำ Low
5.TIP market : ตลาดหุ้นอินโดและฟิลิปปินส์ เริ่มมีสัญญาณกลับตัว
6.Foreign investor : ยอดขายสุทธิลดลง
สรุป: หากเริ่มเห็นปัจจัยเหล่านี้เข้ามา ก็คาดว่าตลาดน่าจะเริมกลับมารีบาวด์ได้ ในอีกแง่คือเราได้ประสบการณ์จริงเรียนรู้จริงในช่วงที่ตลาดลงแรงแบบนี้ ส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นน้อย เป็นบทเรียนที่เราสามารถนำไปใช้ในอนาคตได้ดีมากๆ
เครดิต:SM Guru: ธนรัตน์ อิศรกุล-
http://thestockmaster.bualuang.co.th/
เมื่อถึงจุดคัท ต้องคัท อย่าตื้อ อย่าหลอกตัวเองหากยังไม่เห็นจุดรีบาวน์
ปกติกำหนดจุดคัทแรกสำหรับแต่ละตัวที่ -5% เพราะรู้ไงว่าอ่อน เผื่อเวลาผิดทางจะได้กลับตัวทัน ดูภาวะตลาดประกอบ และกำหนดจุดล้างพอร์ตไว้เผื่อเกิดภาวะไม่คาดคิด
บทเรียนนี้มีชื่อว่า
"เมื่อถึงจุดคัท ต้องคัท อย่าตื้อ อย่าหลอกตัวเองหากยังไม่เห็นจุดรีบาวน์"
เพราะหากมาคัทวันนี้จากกำไรจะติดลบจาก 10% เหลือ -4% รู้สึกดีที่ตัดใจคัทไป ขาดทุนกำไรไปมาก แต่ไม่เข้าเนื้อ
ขายไปครึ่งพอร์ตเมื่อ 30/5/2556 (คัทลอสรอบแรก BTS, LH รอบแรกและซื้อสวน T_T อีกเล็กน้อย)
ล้างพอร์ตไปวันวันที่ 11/6/2556 (อันนี้คัทลอสรอบสอง เพราะตัวที่ถือ+ตัวที่สวน ยังคงไม่มีสัญญาณ)
กำไรจากการเทรดสองปี(ปกติจะทยอยซื้อเข้าพอร์ตตลอด) จาก 30% เหลือ 10% หลังจากการคัทลอส
(แน่นอนขายตัวอื่นออกไปด้วยเพราะทุนสูง safety of margin ไม่มาก ก็เลยถือโอกาสล้างพอร์ตไปเลย)
จากที่อ่านมา เวลาหาจุดเข้า ว่าตลาดถึงจุดซื้อแล้วรึยัง? หรือจะลงต่อไปอีก ในการวิเคราะห์เชิงเทคนิคดูปัจจัย 6 ข้อได้แก่
1. Volume : ดูวอลุ่มเฉลี่ยควรลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย คาดว่าจะอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาทต่อวัน (วอลุ่มขายลดลง)
2.Indicator : เครื่องมือทางเทคนิคบอกถึงสัญญาณกลับตัว (Bullish divergence)
3.Momemtum : การปรับตัวลงของตลาดในแต่ละรอบ major correction 15-18%
4.Blue-chip stocks : สัญญาณขัดแย้งกับตลาด เช่น ตลาดลงแต่หุ้นขนาดใหญ่ยืนไม่ทำ Low
5.TIP market : ตลาดหุ้นอินโดและฟิลิปปินส์ เริ่มมีสัญญาณกลับตัว
6.Foreign investor : ยอดขายสุทธิลดลง
สรุป: หากเริ่มเห็นปัจจัยเหล่านี้เข้ามา ก็คาดว่าตลาดน่าจะเริมกลับมารีบาวด์ได้ ในอีกแง่คือเราได้ประสบการณ์จริงเรียนรู้จริงในช่วงที่ตลาดลงแรงแบบนี้ ส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นน้อย เป็นบทเรียนที่เราสามารถนำไปใช้ในอนาคตได้ดีมากๆ
เครดิต:SM Guru: ธนรัตน์ อิศรกุล- http://thestockmaster.bualuang.co.th/