นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เปิดเผยว่า อยากฝากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เข้ามาดูแลอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้
ชิดไม่ให้มีความผันผวนมากนักเหมือนเช่นที่ผ่านมาที่อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินบาทได้แข็งค่า
อย่างต่อเนื่องจนขึ้นไปแตะระดับที่ 28 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งขณะนี้มีสัญญาณอ่อนค่าจึงเกรงว่าจะมีผล
กระทบกับภาคธุรกิจที่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ อย่างไรก็ดี การเข้ามาดูแลอัตราแลกเปลี่ยน
นั้น ควรจะต้องเทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งขันเป็นหลัก ไม่ใช่เทียบกับสกุลเงิน
ดอลลาร์เพียงอย่างเดียว
พร้อมกันนี้ กรณีการไหลออกของเงินทุนจากต่างชาติ ยอมรับว่าไม่ได้กังวล เนื่อง
จากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีทุนสำรองที่สูงและสภาพคล่องของ
เงินบาทยังอยู่ในระดับที่สูงเช่นเดียวกัน แม้ว่าที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลง แต่มองว่ามา
จากปัจจัยภายนอกประเทศเป็นหลัก เพราะปัจจัยภายในประเทศไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ซึ่ง
การดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้เหมาะสมโดยให้มีเสถียรภาพการเติบโตของเศรษฐกิจภายใน
ประเทศก็จะตามมา
'พื้นฐานเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคถือว่ายังดีกว่า โดยเฉพาะ
ประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ เพราะประเทศไทยมีทุนสำรองที่สูง สภาพคล่องของเงินบาทก็
สูงเช่นกัน และที่สำคัญจะมีการลงทุนของภาครัฐจะตามมา' นายกิตติรัตน์ กล่าว
สำหรับกรณี่ที่หลายฝ่ายมีความเป็นกังวลเกี่ยวกับหนี้สินภาคครัวเรือนที่เป็นหนี้สินลิ
สซิ่ง โดยมองว่าไม่ได้น่ากังวลเพราะยอดจองรถยนต์คันแรกมีถึง 1.2 ล้านคัน แต่มีการทิ้งใบจอง
เพียง 3,000 รายเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยมากจึงไม่น่าจะมีผลกระทบแต่อย่างใด
http://www.efinancethai.com/LastestNews/index.aspx?release=y&id=vMtEko0WLFA=&year=2013&month=6&lang=T 
'กิตติรัตน์' แนะ ธปท.ดูแลอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้ผันผวนมาก หลังบาทอ่อนช่วงนี้ อาจกระทบกลุ่มผู้นำเข้าสินค้า
เปิดเผยว่า อยากฝากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เข้ามาดูแลอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้
ชิดไม่ให้มีความผันผวนมากนักเหมือนเช่นที่ผ่านมาที่อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินบาทได้แข็งค่า
อย่างต่อเนื่องจนขึ้นไปแตะระดับที่ 28 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งขณะนี้มีสัญญาณอ่อนค่าจึงเกรงว่าจะมีผล
กระทบกับภาคธุรกิจที่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ อย่างไรก็ดี การเข้ามาดูแลอัตราแลกเปลี่ยน
นั้น ควรจะต้องเทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งขันเป็นหลัก ไม่ใช่เทียบกับสกุลเงิน
ดอลลาร์เพียงอย่างเดียว
พร้อมกันนี้ กรณีการไหลออกของเงินทุนจากต่างชาติ ยอมรับว่าไม่ได้กังวล เนื่อง
จากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีทุนสำรองที่สูงและสภาพคล่องของ
เงินบาทยังอยู่ในระดับที่สูงเช่นเดียวกัน แม้ว่าที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลง แต่มองว่ามา
จากปัจจัยภายนอกประเทศเป็นหลัก เพราะปัจจัยภายในประเทศไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ซึ่ง
การดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้เหมาะสมโดยให้มีเสถียรภาพการเติบโตของเศรษฐกิจภายใน
ประเทศก็จะตามมา
'พื้นฐานเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคถือว่ายังดีกว่า โดยเฉพาะ
ประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ เพราะประเทศไทยมีทุนสำรองที่สูง สภาพคล่องของเงินบาทก็
สูงเช่นกัน และที่สำคัญจะมีการลงทุนของภาครัฐจะตามมา' นายกิตติรัตน์ กล่าว
สำหรับกรณี่ที่หลายฝ่ายมีความเป็นกังวลเกี่ยวกับหนี้สินภาคครัวเรือนที่เป็นหนี้สินลิ
สซิ่ง โดยมองว่าไม่ได้น่ากังวลเพราะยอดจองรถยนต์คันแรกมีถึง 1.2 ล้านคัน แต่มีการทิ้งใบจอง
เพียง 3,000 รายเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยมากจึงไม่น่าจะมีผลกระทบแต่อย่างใด
http://www.efinancethai.com/LastestNews/index.aspx?release=y&id=vMtEko0WLFA=&year=2013&month=6&lang=T