จี้ยุติอุทธรณ์ปลูกไม้ ให้ 'ชัชชาติ' เบรกทางหลวง ศาลปกครองชี้มีทางออก

ที่มา: หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556




ภายหลังคำพิพากษาของศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยสั่งให้กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ร่วมกันนำต้นไม้ 128 ต้นตามชนิด ประเภท ขนาดเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน ปลูกทดแทนในจำนวนที่เท่ากันกับต้นไม้ที่ถูกตัดโค่นไปตามแนวเขตทางหลวงถนนธนะรัชต์ ระยะทาง 8.1 กิโลเมตร ก่อนทางขึ้นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ภายใน 60 วัน หลังจากแพ้คดีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนและชาวบ้าน 130 รายที่ร่วมกันยื่นฟ้อง

ความคืบหน้าในเรื่องนี้ ล่าสุด นายชัชวาลย์ บุญเจริญกิจ อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ยืนยันว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้อัยการทำสำนวนยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองกลางไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน เหตุผลคือ คำสั่งดังกล่าวไม่สามารถจะปฏิบัติได้ หรือหากปฏิบัติได้ก็ยาก เพราะการที่ให้นำเอาชนิดต้นไม้ ขนาดเท่าเดิม และจำนวนต้นเท่าเดิม ไปปลูกทดแทน ก็เท่ากับส่งเสริมให้ทำลายระบบนิเวศในพื้นที่อื่นๆ หรือไม่ เพราะต้องไปขุดล้อมต้นไม้อายุ 20-30 ปี หรือบางต้น 50 ปี จากพื้นที่อื่นๆ มาปลูกไว้ริมถนนหลวง

ทั้งนี้ แม้ว่าในทางวิชาการจะทำได้ แต่จำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย เนื่องจากต้นไม้ที่ขุดล้อมขึ้นมามันจะไม่มีรากแก้วยึดไว้ ขนาดต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกทั่วไป แค่เจอลมฝนยังถอนรากถอนโคนได้ง่ายๆ

อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่า การขยายถนนจาก 2 เป็น 4 ช่องจราจรได้มีส่วนร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ รวมทั้งการโค่นต้นไม้ที่ส่วนใหญ่เป็น "สะเดา" ก็เป็นไปตามขั้นตอน เนื่องจากมีการสอบถามกรมป่าไม้ และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) แล้วว่า ส่วนใหญ่เป็นไม้ที่ไม่ต้องขออนุญาตทำไม้ออก

โดยเฉพาะต้นสะเดานั้น ส่วนใหญ่มีอายุไม่เกิน 30 ปี และกรมทางหลวงเป็นผู้ที่ปลูกเองในบริเวณไหล่ทางที่เตรียมไว้สำหรับการขยายถนนในอนาคต แทบทุกพื้นที่อาจจะมีต้นไม้ตามธรรมชาติเดิมที่มีอายุ 50 ปีอยู่บ้าง ที่ผ่านมาหลังเกิดปัญหา กรมทางหลวงมีการเข้าฟื้นฟูปลูกต้นไม้ตลอดแนวถนนระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร รวม 2,000 ต้น และพบว่ามีการเจริญเติบโตดี รวมทั้งมีการสำรวจความเห็นชุมชน 80-90% พอใจการแก้ปัญหาของกรมทางหลวง

"การอุทธรณ์ครั้งนี้ไม่ใช่ว่ากรมทางหลวงไม่ฟังคำสั่งศาล แต่ต้องการชี้แจงว่า การตัดโค่นต้นไม้ทำในขอบเขตอำนาจของกรมทางหลวง หากมีผลตัดสินออกมาแบบนี้จะกลายเป็นบรรทัดฐานจนกรมทางหลวงทำงานไม่ได้ เพราะถ้าไปสำรวจจะพบว่า พื้นที่กรรมสิทธิ์เขตถนนส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้ขยายช่องจราจรเพิ่มเพราะอาจมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณอยู่บ้างนั้น ทางกรมทางหลวงจะปลูกไม้เศรษฐกิจเพื่อความร่มรื่นสวยงามไว้ แต่วันดีคืนดี ถ้าต้นไม้โตขึ้น แล้วมีงบประมาณลงมาเพื่อขยายถนนแล้ว จะต้องตัดต้นไม้ที่กรมปลูกไว้เองในพื้นที่ของกรมเอง แล้วโดนตัดสินให้ต้องปลูกทดแทน คงเป็นเรื่องยุ่งยากแน่ๆ จึงต้องการชี้ให้ศาลเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่น่าจะปฏิบัติได้" นายชัชวาลย์ระบุ

ส่วนมุมมองของกลุ่มเอ็นจีโออย่าง นายศรีสุบรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน บอกว่า คดีนี้กรมทางหลวงมีการตัดฟันต้นไม้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ กระทั่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องนี้ถ้ากรมทางหลวงอุทธรณ์คดีก็คงใช้เวลาอีกเป็นปีๆ แต่วอนว่าอย่าอุทธรณ์ และควรจะมาร่วมมือและจับมือกับภาคประชาชนร่วมเอาต้นไม้มาปลูกจะได้ภาพที่บวกดีกว่า

"ผมคุยกับทางเครือข่ายที่ร่วมฟ้องว่า ในเร็วๆ นี้จะขอเข้าพบนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อขอให้จี้ไปยังกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ว่าอย่าอุทธรณ์ให้เสียหน้าเลย เพราะคดีนี้ไม่ได้ใหญ่มาก เพียงแค่กรมทางหลวงร่วมกับภาคส่วนต่างๆ หาต้นไม้ขนาดใหญ่มาปลูกทดแทนให้ครบ และดูแล จะได้ภาพที่สวยกว่ามาเล่นแง่ ยื้อเวลาไป" นายศรีสุบรรณกล่าว

อย่างไรก็ตาม หากกรมทางหลวงยังยืนยันที่จะยื่นอุทธรณ์ นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) มองว่าเป็นสิทธิของเขา กระทรวงทรัพย์ไม่มีอำนาจบังคับให้กรมทางหลวงเร่งปลูกต้นไม้กลับคืนเหมือนเดิม และไม่ได้เป็นคู่กรณีโดยตรง ยอมรับว่าจำนวนต้นไม้ที่จะต้องนำมาปลูกทดแทนต้นที่ถูกตัดไปกว่า 100 ต้นคงไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือ ต้องนำต้นขนาดเท่าเดิมมาปลูก การหาและเคลื่อนไม้ขนาดใหญ่มาปลูกคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเสี่ยงที่อาจจะทำให้ตายได้หากวิธีการขุดไม่ระมัดระวัง

สำหรับคดีที่สมาคมต้านโลกรร้อนเรียกร้องให้กรมทางหลวงปลูกต้นไม้คืนจำนวน 10,000 ต้น แต่ศาลตัดสินให้เพียง 128 ต้น 14 ชนิด เนื่องจากอีกหมื่นต้นไม่มีรายละเอียดในการพิจารณา

ขณะเดียวกัน นายชนาธิป กุลดิลก ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการปลูกป่า กรมป่าไม้ กล่าวว่า จากการดูรายชื่อไม้ทั้ง 14 ชนิดซึ่งถูกตัดโค่น ส่วนใหญ่เป็นไม้ในบัญชี ก. ไม้หวงห้ามธรรมดา ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2530 ของกรมป่าไม้ ยกเว้นไม้สัก การตัดฟันจะต้องขออนุญาตจากกรมป่าไม้ก่อน

ทั้งนี้ กรมป่าไม้พร้อมให้คำแนะนำแก่กรมทางหลวงในประเด็นนี้ หากไปซื้อไม้จากที่ดินกรรมสิทธิ์ของชาวบ้าน ต้องถ่ายรูปต้นไม้ และสำเนาโฉนดไว้เป็นหลักฐาน เพื่อป้องกันการแอบลักลอบไปขุดไม้เหล่านี้จากป่าธรรมชาติ โดยเฉพาะไม้พะยูงที่มีการลักลอบตัดจำนวนมาก


จันทร์จิรา พงษ์ราย





ศาลชี้ช่อง 'ทำเหมือนเดิมไม่ได้ ก็ทำให้คล้ายๆ

คำพิพากษาของศาลปกครองกลางที่ให้กรมทางหลวงและกระทรวงคมนาคมปลูกต้นไม้ทดแทนต้นไม้ที่ถูกขุดถอนจากการขยายถนนริมถนนธนะรัชต์ ซึ่งกรมทางหลวงเชื่อว่าเป็นคำสั่งที่น่าจะปฏิบัติได้ยาก และเตรียมยื่นอุทธรณ์นั้น นายไพโรจน์ มินเด็น โฆษกศาลปกครองกลาง ได้อธิบายถึงคำพิพากษาศาลปกครองกลางที่ได้สั่งให้กรมทางหลวงและกระทรวงคมนาคมปลูกไม้ทดแทนต้นไม้ที่ถูกขุดถอนจำนวน 128 ต้นว่า เมื่อผู้ฟ้องชนะคดี ตามหลักศาลต้องเยียวให้แก่ผู้ฟ้องตามคำขอให้ได้

โดยคดีนี้ผู้ฟ้องแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ชาวบ้านในพื้นที่ และคนที่สัญจรไปมาขึ้นเขาใหญ่ ต้องการให้มีการกลับไปมีสภาพแวดล้อม มีต้นไม้เท่าเดิม เหมือนเดิม คำพิพากษาของศาลจึงต้องชัดเจนไว้ก่อน เพราะไม่เช่นนั้นจะมีปัญหา มีการไปตีความเลี่ยงปฏิบัติตามคำพิพากษา

"ถ้าสามารถเอาต้นไม้ต้นเดิมที่ขุดถอนไปนำมาปลูกกลับคืนได้ก็โอเค คงจะมีการเก็บต้นไม้ที่ขุดถอนไปเอาไว้ แต่ถึงตอนนี้ต้นไม้ที่เก็บอาจจะตาย หรือมีสภาพไม่เหมือนเดิมแล้ว หากเป็นเช่นนั้นก็เอาต้นไม้ชนิด ประเภท ขนาดเดียวกัน ในจำนวนที่เท่ากันกับต้นไม้ที่ขุดถอนไป มาปลูกทดแทน ในเรื่องประเภทหรือชนิดของต้นไม้คงไม่มีปัญหา แต่ในเรื่องของขนาดต้นไม้ หากไม่สามารถหาต้นไม้ที่มีขนาดเท่ากันกับที่ขุดถอนไปได้ ก็เอาต้นไม้ที่มีขนาดใกล้เคียงกัน ไม่ถึงกับต้องขนาดเท่ากันเป๊ะมาปลูกทดแทนก็ได้"

กล่าวคือ ถ้าทำให้เหมือนกัน เหมือนเดิมไม่ได้ ก็ทำให้คล้ายๆ กันหรือใกล้เคียงกันก็ได้ และแนวของต้นไม้ที่ปลูกทดแทนต้องถอยห่างออกไป เพราะมีการปรับขยายถนนไปแล้ว ไม่สามารถปลูกแนวเดิมได้ ศาลจึงมองว่า คำพิพากษาของศาลในคดีนี้ ผู้ถูกฟ้องสามารถทำได้ ไม่ถึงกับเป็นเรื่องที่ยากเกินไป

พร้อมทั้งยกตัวอย่างให้เห็นว่า ศาลปกครองเคยมีคำพิพากษาในคดีที่ชาวบ้านยื่นฟ้องคนที่ไปขุดดินในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของชาวบ้าน โดยขุดเป็นบ่อสาธารณะ คนขุดอ้างว่าเป็นบ่อสาธารณะ ชาวบ้านใช้ประโยชน์ได้เหมือนกัน แต่ชาวบ้านไม่ต้องการบ่อสาธารณะ ต้องการทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ จึงยื่นฟ้องและชนะคดี ศาลปกครองจึงสั่งคนขุดดินให้ถมบ่อสาธารณะให้กลับมาเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์เหมือนเดิม

ดังนั้นในทางปฏิบัติต้องเอาดินใหม่มาถม เอาดินมาจากไหนก็ไม่รู้ ซึ่งในความจริงดินก็ไม่ใช่ดินเดิม คุณภาพดิน ปริมาตรดินก็ไม่เหมือนเดิม การที่ผิดจากเดิมไปบ้างเล็กน้อย ไม่เหมือนเดิมถึง 100% แต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของคดี อย่างนี้ถือว่าได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว

ส่วนประเด็นที่ผู้ถูกฟ้องอ้างถึงบันทึกของเจ้าหน้าที่สำนักส่งเสริมและพัฒนาไม้เศรษฐกิจ นครราชสีมา ที่ระบุว่า การขุดถอนต้นไม้ย้ายไปปลูกที่อื่นทำได้ยากและมีโอกาสรอดยากนั้น โฆษกศาลปกครอบระบุว่า ก็เป็นเรื่องของผู้ถูกฟ้องที่มีสิทธินำมาอ้างต่อศาล แต่ศาลเห็นว่า ต้นไม้ที่ถูกขุดถอนไม่ใช่ต้นไม้ขนาดใหญ่ จนทำการขุดถอนไปปลูกที่อื่นทำได้ยากและมีโอกาสรอดยาก แต่ถ้านำมาปลูกทดแทนแล้วเกิดตาย ก็เป็นหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องที่ต้องนำต้นไม้มาปลูกเสริม ต้องให้อยู่รอด ไม่ใช่นำต้นไม้มาปลูกทดแทนแล้วปล่อยทิ้งเลยไม่ดูแลเอาใจใส่

"คดีนี้ศาลได้ชี้ว่า แม้โครงการขยายถนนไม่ต้องทำอีไอเอ (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) แต่การกระทำของผู้ถูกฟ้องไม่ตระหนักความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติ ขณะที่กระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชนไม่ถูกต้องตามระเบียบสำนักนายกฯ คำพิพากษาของศาลในคดีนี้จึงเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ศาลดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อให้กลับคืนสู่สภาพเดิม เป็นการเยียวยาความเดือดร้อนของผู้ฟ้องที่ต้องการเห็นบรรยากาศรื่นรมย์ของต้นไม้"

โฆษกศาลปกครองบอกอีกว่า คดีนี้หากกรมทางหลวงเห็นว่ามีปัญหาในการปฏิบัติตามคำพิพากษา สามารถรายงานให้ศาลทราบได้ ศาลจะนัดไต่สวน โดยแจ้งให้ฝ่ายผู้ฟ้องทราบด้วย ซึ่งในการไต่สวน ศาลจะรับฟังจากทั้งฝ่ายผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้อง เพื่อให้ได้ข้อยุติในการที่จะปฏิบัติตามคำพิพากษาได้



โอภาส บุญล้อม / กวินทรา ใจซื่อ




ชาวบ้านเศร้าเสียดาย 'อุโมงค์ต้นไม้'

ส่วนเสียงสะท้อนจากชาวบ้านในพื้นที่ นางภารดี เกียรติภิญโณชัย นักธุรกิจ อยู่บ้านเลขที่ 248 หมู่ 5 ต.จอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา ผู้ที่ใช้เส้นทางถนนธนะรัชต์เดินทางไปมาตลอดระยะเวลา 10 ปี กล่าวว่า รู้สึกกังวลถึงปัญหาที่ตามมา ทั้งความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม อากาศ สภาพทางสังคม ที่ไม่มีทางจะทำให้กลับมาเหมือนเดิมได้ ถนนธนะรัชต์มีปัญหารถติดเฉพาะช่วงวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลปีใหม่ในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ส่วนช่วงวันธรรมดารถสามารถใช้ความเร็วได้ปกติ ทุกครั้งที่เดินทางมาถึงเส้นทางถนนธนะรัชต์ มีต้นไม้ขนาดใหญ่ เช่น ต้นมะค่าโมงอายุกว่า 70 ปี และมีต้นไม้อื่นๆ อีกหลากหลายชนิดขนาดใหญ่สวยงาม เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่

"เมื่อผ่านมาทำให้รู้สึกสดชื่น อากาศเย็น ร่มรื่นตลอดเส้นทางการเดินทาง และบนเส้นทางสายนี้มักจะมีนักท่องเที่ยวจอดรถแวะถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ขณะที่ชาวบ้านได้อาศัยร่มเงา สร้างเพิงพักหน้าบ้าน นำสินค้ามาวางขายให้นักท่องเที่ยวด้วย บรรยากาศที่นักท่องเที่ยวจอดรถถ่ายภาพหายไป เพราะไม่มีอุโมงค์ต้นไม้แล้ว ถึงแม้ให้กรมทางหลวงปลูกทดแทนให้เหมือนเดิม ทุกอย่างก็คงไม่เหมือนเดิม ส่วนการเตรียมยื่นอุทธรณ์ทำให้ชาวบ้านรู้สึกกังวลมากที่สุด คือ เกรงว่าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่จะถูกถอดออกจากการเป็นมรดกโลก" นางภารดีกล่าว

เช่นเดียวกับ ทพ.ศุภผล เอี่ยมเมธาวีบ/b] ประธานเครือข่ายประชาชนอนุรักษ์มรดกโลกเขาใหญ่ กล่าวว่า เคยเสนอไปยังกรมทางหลวงให้มาพูดคุยร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างชาวบ้านจำนวน 130 รายและองค์กรพัฒนาเอกชนที่ร่วมกันยื่นฟ้องกรมทางหลวง หากกรมทางหลวงเห็นความสำคัญในการแก้ปัญหา เริ่มต้นด้วยการปลูกต้นไม้บนถนนธนะรัชต์ ชาวบ้านก็พร้อมและยินดีที่จะเข้ามาช่วยปลูกและดูแลต้นไม้หน้าบ้าน แต่เมื่อมาทราบข่าวว่าทางกรมทางหลวงตัดสินใจยื่นอุทธรณ์ ไม่ใส่ใจข้อเสนอที่ภาคประชาชนบอกไป ความร่วมมือที่เกิดขึ้นคงเป็นไปได้ยากขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่