คงจะจริงที่ว่าคนเรามักมองข้ามคนที่กำลังให้ความสำคัญกับเรา และมองแต่คนที่เรากำลังให้ความสำคัญกับเขา จนสุดท้ายแล้วใครคนนั้นที่เขาเห็นว่าเราสำคัญก็เหนื่อยหน่ายกับการรอคอยที่ไม่รู้ว่าจะจบลงที่ตรงไหน และจากเราไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมาในที่สุด...
...................................
“ดา... เธอไหวไหม” เพื่อนสนิทคนเดียวของฉันแตะมือของเธอลงบนบ่าของฉันเบาๆ ราวกับจะพยายามปลอบใจฉันจากเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกอย่างมันรวดเร็ว เร็วเกินไปจนตั้งรับกับความเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ทัน
ฉันนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอะไรกับใครทั้งนั้น เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ เขาคนนั้นถูกนำร่างไร้ลมหายใจวางไว้ในโลงศพซึ่งเต็มไปด้วยดอกกุหลาบขาวตามอย่างที่เขาชอบ ส่วนในมือของฉันมีแค่ดอกคาเมเลียเพียงดอกเดียวในมือ ดอกไม้ที่ฉันตั้งใจจะมอบมันให้กับเขาในวันที่ต้องห่างกันไกลด้วยระยะทาง ไม่ใช่ด้วยความเป็นและความตายเช่นวันนี้ ไม่มีน้ำตา ไม่มีอะไรไหลออกมาจากดวงตาของฉันแม้แต่น้อยหลังจากทราบข่าวการจากไปของเขา มันเหมือนกับฉันไม่สามารถทำใจยอมรับได้เลยว่าร่างในนั้นคือใครบางคนที่ฉันรัก
ญาติๆ ของเขากำลังวุ่นวายอยู่กับพิธีศพซึ่งจะจัดในคืนนี้ โบสถ์แห่งนี้เขามักจะชวนฉันมาเป็นประจำแม้ฉันจะพยายามเพียรปฏิเสธเขาหลายต่อหลายครั้งก็ไม่เป็นผลอะไร ความดื้อดึงปนเอาแต่ใจเล็กๆ ของเขาสามารถทำให้คนอย่างฉันต้องพ่ายแพ้ให้กับเขาได้เสมอ และทุกครั้งฉันก็มักจะหงุดหงิดกับตัวเองที่ยอมให้เขาไปง่ายๆ แบบนั้น พอคิดถึงตรงนี้มันก็เกิดความรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกกลางอก แน่น จนแทบหายใจไม่ออก ความรู้สึกแสบร้อนบริเวณปลายจมูก ลำคอ และสุดท้ายน้ำใสๆ ก็ค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างแม้ว่าฉันจะไม่ต้องการทำแบบนั้นก็ตามที
เสียงเรียกชื่อฉันค่อยๆ แผ่วเบาลงเหลือเพียงความรู้สึกดำมืด จมดิ่ง และความว่างเปล่า
...................................
ครั้นเมื่อลืมตาขึ้นมากลับพบว่าตัวฉันเองเดินมายังสถานที่ซึ่งไม่เคยรู้จักหรือคุ้นเคยมาก่อน มันสวยงามราวกับภาพวาดสรวงสวรรค์บนฝาผนังโบสถ์ เสียงขับกล่อมจากฮาร์ปสีทองซึ่งไร้ผู้บรรเลงดูเอื่อยเฉื่อย เชื่องช้า เป็นทำนองหวาน หากแฝงไว้ด้วยความเศร้าของการจากลา
ฉันเดินไปอย่างไม่รู้ทิศทาง เดินไปในที่ที่ฉันไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน รู้แค่ว่ามีใครบางคนกำลังรอฉันอยู่ที่ตรงนั้น ในสวนซึ่งเต็มไปด้วยกุหลาบสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนแข่งกันผลิบาน กลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนหลงใหลให้เคลิบเคลิ้มนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากหนามคมเกี่ยวตามแขนขาของฉันจนเลือดไหลอาบ หากแต่ฉันกลับไม่รู้สึกเจ็บปวด กลับยังคงเร่งฝีเท้าต่อไปเพื่อให้ทันการจากไปของเขาคนนั้น
ตรงหน้าของฉันปรากฏต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งติดกับริมฝั่งแม่น้ำ ตรงกันข้ามนั้นเป็นภูเขาลูกใหญ่ซึ่งปกคลุมด้วยหิมะดูหนาวเย็นและอ้างว้าง เงาร่างของใครบางคนกำลังยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้นั้นราวกับรอคอยบางสิ่งบางอย่าง
ฉันก้าวเท้าตรงเขาไปจับมือของเขาเอาไว้ ใบหน้าที่ฉันคุ้นเคยยังคงส่งรอยยิ้มมาให้เหมือนเคย ฉันพยายามเปล่งเสียงออกไปหากพบแค่เพียงความเงียบงัน ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากของฉันแม้แต่น้อย เขายังคงยิ้มและเอื้อมมือมาลูบหัวฉันอย่างเคย คำปลอบโยนเดียวที่ฉันใช้มันมาตลอดทั้งชีวิตไม่ว่าจะนานแค่ไหน มันมีค่ามากมายมหาศาลกว่าคำพูดของใครต่อใครนับหมื่นนับแสนประโยค ขอแค่เพียงสัมผัสเดียว จากคนๆ นี้แค่นั้นที่ฉันต้องการ
ชั่วขณะหนึ่งฉันกลับได้ยินเสียงเรียกชื่อของฉันดังแว่วเข้ามาภายในบรรยากาศนั้น เขาหันไปตามทิศทางของเสียงและแกะมือของฉันซึ่งเกาะเกี่ยวชายเสื้อของเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ฉันพยายามอย่างมากที่จะรั้งเขาไว้ไมให้จากฉันไปแม้จะรู้อยู่แก่ใจดีก็ตามว่ามันเป็นไปไม่ได้
เขายิ้ม... แม้จะเป็นรอยยิ้มที่เปื้อนคราบน้ำตา ไม่มีกระทั่งคำบอกลาใดๆ ระหว่างฉันและเขา หากฉันรู้แค่ว่าเราสองคนจะไม่มีวันได้พบกันอีกเป็นครั้งที่สอง แม้ฉันจะพยายามตะเกียกตะกายเกาะยึดเหล่ากุหลาบซึ่งเต็มไปด้วยหนามยาวคมเหล่านั้นเพื่อให้ได้อยู่มองหน้าเขาต่ออีกเพียงนิดเดียวก็ไม่เป็นผล สายลมหอบใหญ่กำลังหมุนวนกลีบกุหลาบกระจายวนเป็นวงกลมใหญ่ค่อยๆ กลืนกินร่างของฉัน และบดบังภาพของเขาให้ดูเลือนรางลงไปทุกที มีเพียงเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยิน และคงจะจดจำมันไปตลอดช่วงเวลาที่เหลือในชีวิตของฉัน
พี่รักเรานะ...
...................................
หากเพียงเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับความเป็นจริง สายตานั้นกลับเห็นเพียงฝ้าเพดานสีขาวสะอาด มือของข้างนั้นรู้สึกเจ็บราวกับทั้งหมดนั่นไม่ใช่แค่เพียงฝันไปเท่านั้น ความหนาวเย็นจากอุณหภูมิภายนอกนั่นทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่มีเหตุผล ครู่เดียวเท่านั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาภายในห้อง
ความรู้สึกทั้งหมดที่ดูเหมือนจะสับสนวกวนกลับทวีความรุนแรงเมื่อพบว่าหนึ่งในนั้นคือใคร แม้ฉันจะรู้... รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาไม่ใช่ แต่ก็อดไม่ได้ที่น้ำตามันจะไหลลงมา ความเจ็บปวดที่ถูกหนามกุหลาบบาดนั้นคงเป็นเพียงความรู้สึกสมมติ หากความเจ็บปวดที่เกิดกับหัวใจของฉันในเวลานี้มันคือความเป็นจริงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยง หรือพยายามโกหกหลอกตัวเองด้วยคำว่าไม่เป็นอะไรได้อีกต่อไป ความอ่อนล้าถาโถมเข้ามาราวกับระลอกน้ำกำลังเข้าทำลายปราการน้ำแข็งซึ่งฉันเพียรสร้างมันขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ใครทำร้ายหัวใจของฉันได้ แต่วันนี้ทุกอย่างพังทลายลงไปเพราะการจากไปของเขาอย่างไม่มีวันหวนกลับคืน
เข่าทั้งสองข้างชันขึ้นมาเพื่อปกปิดความอ่อนแอทั้งหมด ฉันก้มหน้าลงซบกับมันด้วยความรู้สึกอยากเก็บซ่อนทุกอย่าง อยากปิดตัวเอง ไม่ต้องการให้ใครมาพบเจอฉันในสภาพที่เป็นเช่นนี้ อยากหายไป ไม่ต้องมีตัวตน เป็นเพียงแค่อะไรสักอย่างที่ไม่ต้องมีใครมองเห็น ไม่อยากให้ใครเห็นว่าฉันกำลังเปราะบางแค่ไหน ไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันคนนี้อ่อนแอ ไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันอ่อนล้า และฉันไม่ต้องการให้ใครมาสงสาร หรือแสดงความเห็นใจกับฉัน ฉันอยู่ได้ ฉันผ่านมันไปได้ และฉันจะต้องไม่เป็นอะไร
“ออกไป... ได้โปรด” ฉันไม่เงยหน้าขึ้นมามองว่าคนเหล่านั้นจะทำตามที่ฉันขอร้องหรือไม่ ฉันแค่พูดในสิ่งที่อยากจะบอกกับใครๆ สิ่งที่เขาเพียรพยายามพร่ำบ่นฉันให้ทำอยู่เป็นประจำ หากแต่ฉันกลับทำเป็นไม่รับรู้ ไม่ใส่ใจประโยคเหล่านั้น
“ดา... พอเถอะนะ พี่เขาไปดีแล้ว อย่าร้องไห้อีกเลยนะ ถ้าพี่เขารู้เขาคงไม่สบายใจ” ใครบางคนเดินเข้ามากอดร่างที่สั่นเทาราวกับลูกนกแรกเกิดของฉันเอาไว้ สัมผัสนั้นก็เปราะบางไม่แพ้กับฉันเช่นกัน
ฉันรู้ และเข้าใจดีว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทุกคนต่างก็เจ็บปวด เพียงแค่ฉันยอมรับไม่ได้ว่าเขาจากไปแล้ว เพราะเขาสัญญาเอาไว้ว่าจะไปส่งฉันที่สนามบิน จะรอส่งช่อดอกไม้ในมือให้ในวันที่ฉันรับปริญญา หากแต่วันนี้คำสัญญาทุกอย่างไม่เหลืออะไรอีกแล้ว มีแค่ความว่างเปล่า สูญเสีย จนหัวใจของฉันต้านมันไม่ไหว ค่อยๆ ปริเป็นรอยแยก เกิดเป็นแผลยาวลึกเข้าไปเรื่อยๆ และยังไม่มีทีท่าว่ามันจะยังคงฉีกขาดลึกลงไปอีกแค่ไหน
ฉันร้องไห้อยู่อย่างนั้น มันเหมือนกับเป็นทางเดียวที่ฉันพอจะระบายความอัดอั้นที่มีอยู่ในเวลานี้ออกไปจากใจให้หมดได้ ไม่มีคำพูดใดๆ ถูกเอ่ยออกมาจากปากของฉันอีก สุดท้ายฉันก็หลับไปทั้งคราบน้ำตาอาบใบหน้าเช่นนั้น
...................................
แสงแดดยามเช้าลอดเข้ามาจากช่องว่างของผ้าม่านซึ่งถูกปิดไม่สนิทดีนักจากหน้าต่างของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ฉันลืมตาขึ้นมากวาดมองรอบตัว เห็นร่างของเพื่อนคนเดิมฟุบหลับอยู่ตรงข้างเตียง ตรงโซฟามีชายหนุ่มสามคนนอนระเกะระกะดูท่าทางคงไม่สบายตัวเท่าไหร่นัก หนึ่งในนั้นลืมตาขึ้นมาพอดีและจ้องหน้าฉันราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน จากนั้นเขาก็หันไปสะกิดกึ่งถีบเพื่อนที่เหลืออีกสองคนให้ตื่นขึ้นมา และด้วยเสียงนั้นเองก็ทำให้เพื่อนของฉันลืมตาตื่นขึ้นมามองฉันเช่นกัน
“ดา... ฟื้นแล้วเหรอ เอาน้ำไหม” เธอกระวีกระวาดลุกขึ้นเทน้ำใส่แก้วของโรงพยาบาลให้ฉันแม้จะไม่ได้รับคำตอบก็ตามที
มืออันสั่นเทาของฉันเอื้อมไปจะหยิบแก้วน้ำมาถือเองหากก็ถูกเธอปฏิเสธ ฉันจึงจำใจต้องดูดน้ำจากหลอดในแก้วซึ่งเธอถืออยู่อย่างช่วยไม่ได้ และพอรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าชายหนุ่มทั้งสามคนนั่นลากโซฟาเข้ามาจนชิดกับเตียงของโรงพยาบาล หนึ่งในนั้นจ้องฉันที่กำลังดูดน้ำตาแป๋วราวกับจะสังเกตทุกอิริยาบถของฉันจนทำให้ฉันประหม่าเล็กน้อย ผิดกับคนด้านซ้ายซึ่งลุกไปหยิบกล่องอะไรบางอย่างมายื่นส่งให้กับฉันซึ่งละจากแก้วน้ำนั้น มันเป็นกล่องที่ทำจากไม้แกะสลักเป็นลายของดอกดาหลาบนฝากล่องอย่างสวยงาม ราวกับจะบ่งบอกว่ากล่องใบนี้คือของๆ ฉัน
“เขาตั้งใจให้คุณ เพียงแต่เขาไม่สามารถทำได้ เขาฝากมันไว้กับผม ตอนนี้ผมมอบมันให้กับเจ้าของคือคุณ”
ภายในนั้นมีเพียงกุหลาบขาวดอกเดียวซึ่งฉันจำมันได้ดีแม้สภาพของมันจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลานานแค่ไหนก็ตาม กุหลาบที่ฉันให้เขาจากเงินที่ไปทำงานพิเศษในร้านอาหารข้างโรงเรียนสมัยอยู่มัธยมต้น กลีบของมันยังคงติดอยู่กับก้านหากเพียงแต่กาลเวลาเปลี่ยนมันเป็นสีน้ำตาลราวกับภาพถ่ายเก่าๆ ใบหนึ่ง น่าแปลกที่ฉันไม่มีน้ำตาให้ไหลออกมา กลับรู้สึกได้ว่ามุมปากของตัวเองกำลังยกยิ้มขึ้นมา ความรู้สึกอุ่นลึกๆ ค่อยๆ รักษาแผลในใจให้เจ็บปวดน้อยลง และวันหนึ่งมันคงจะหายดี กลับมาเป็นปรกติอีกครั้ง
“ขอบคุณนะคะ” ฉันปิดกล่องและหันไปยิ้มให้กับพวกเขาก่อนจะยกมือไหว้ ทำเอาสามคนนั้นยกมือขึ้นมารับไหว้ฉันแทบไม่ทัน
พอหันกลับไปมองหน้าของหนูอ้อแอ้ น้องสาวแท้ๆ ของเขา และยังเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวที่ฉันมีก็เห็นเธอกำลังเอามือปิดปาดพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เธอเองก็เจ็บไม่ต่างอะไรจากฉัน เพียงแค่เก็บอาการได้ดีกว่าฉันก็เท่านั้น
“ขอโทษที่ทำให้ต้องลำบากมาตลอด แล้วก็ขอบคุณนะ...ที่ไม่จากไปไหน”
อ้อแอ้ดึงฉันเข้าไปกอดก่อนจะปล่อยโฮใหญ่ กลายเป็นฉันที่ต้องเป็นฝ่ายมานั่งปลอบใจเธอแทน แต่ฉันก็เชื่อมั่นนะ... ฉันเชื่อว่าเขายังคงเฝ้ามองฉันจากที่ไหนสักแห่งแม้จะไกลแสนไกลก็ตามที เชื่อว่าเขายังคงเป็นกำลังใจให้ฉันกาวเดินไปข้างหน้าเสมอแม้จะล้มลุกคลุกคลานไปบ้างก็ตามที และฉันเชื่อ... ว่าฉันจะผ่านพ้นเรื่องราว อุปสรรคทุกอย่างไปได้ด้วยกำลังของตัวเอง
...................................
...จบครึ่งแรกของเรื่องนี้ค่ะ ฮี่ๆๆ เรื่องนี้เฟิร์นเขียนไว้ตอนต้นปีที่ผ่านมานี้เอง อารมณ์ ณ ตอนนั้นแค่อยากเขียนเรื่องสั้นสักเรื่อง ไม่มีจุดมุ่งหมายอะไรที่แน่ชัดสักเท่าไหร่ เรียกว่าเขียนไปแก้ไปตามความพอใจของตัวเองก็คงไม่ผิดนัก ด้วยเหตุฉะนี้ขอรบกวนฝากผู้เชี่ยวชาญ และปรมาจารย์ทางด้านงานเขียนทุกท่านแนะนำหรือจะติชมแต่ประการใดก็น้อมรับค่ะ ถ้ามีโอกาสจะเอาครึ่งหนึ่งที่เหลือมาต่อในกระทู้เดียวกันนี้ค่ะ
...ขอบคุณที่อ่านมาจนจบถึงตอนนี้ค่ะ...
...Moments ณ ส่วนหนึ่งของเวลา...
...................................
“ดา... เธอไหวไหม” เพื่อนสนิทคนเดียวของฉันแตะมือของเธอลงบนบ่าของฉันเบาๆ ราวกับจะพยายามปลอบใจฉันจากเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกอย่างมันรวดเร็ว เร็วเกินไปจนตั้งรับกับความเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ทัน
ฉันนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอะไรกับใครทั้งนั้น เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ เขาคนนั้นถูกนำร่างไร้ลมหายใจวางไว้ในโลงศพซึ่งเต็มไปด้วยดอกกุหลาบขาวตามอย่างที่เขาชอบ ส่วนในมือของฉันมีแค่ดอกคาเมเลียเพียงดอกเดียวในมือ ดอกไม้ที่ฉันตั้งใจจะมอบมันให้กับเขาในวันที่ต้องห่างกันไกลด้วยระยะทาง ไม่ใช่ด้วยความเป็นและความตายเช่นวันนี้ ไม่มีน้ำตา ไม่มีอะไรไหลออกมาจากดวงตาของฉันแม้แต่น้อยหลังจากทราบข่าวการจากไปของเขา มันเหมือนกับฉันไม่สามารถทำใจยอมรับได้เลยว่าร่างในนั้นคือใครบางคนที่ฉันรัก
ญาติๆ ของเขากำลังวุ่นวายอยู่กับพิธีศพซึ่งจะจัดในคืนนี้ โบสถ์แห่งนี้เขามักจะชวนฉันมาเป็นประจำแม้ฉันจะพยายามเพียรปฏิเสธเขาหลายต่อหลายครั้งก็ไม่เป็นผลอะไร ความดื้อดึงปนเอาแต่ใจเล็กๆ ของเขาสามารถทำให้คนอย่างฉันต้องพ่ายแพ้ให้กับเขาได้เสมอ และทุกครั้งฉันก็มักจะหงุดหงิดกับตัวเองที่ยอมให้เขาไปง่ายๆ แบบนั้น พอคิดถึงตรงนี้มันก็เกิดความรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกกลางอก แน่น จนแทบหายใจไม่ออก ความรู้สึกแสบร้อนบริเวณปลายจมูก ลำคอ และสุดท้ายน้ำใสๆ ก็ค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างแม้ว่าฉันจะไม่ต้องการทำแบบนั้นก็ตามที
เสียงเรียกชื่อฉันค่อยๆ แผ่วเบาลงเหลือเพียงความรู้สึกดำมืด จมดิ่ง และความว่างเปล่า
...................................
ครั้นเมื่อลืมตาขึ้นมากลับพบว่าตัวฉันเองเดินมายังสถานที่ซึ่งไม่เคยรู้จักหรือคุ้นเคยมาก่อน มันสวยงามราวกับภาพวาดสรวงสวรรค์บนฝาผนังโบสถ์ เสียงขับกล่อมจากฮาร์ปสีทองซึ่งไร้ผู้บรรเลงดูเอื่อยเฉื่อย เชื่องช้า เป็นทำนองหวาน หากแฝงไว้ด้วยความเศร้าของการจากลา
ฉันเดินไปอย่างไม่รู้ทิศทาง เดินไปในที่ที่ฉันไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน รู้แค่ว่ามีใครบางคนกำลังรอฉันอยู่ที่ตรงนั้น ในสวนซึ่งเต็มไปด้วยกุหลาบสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนแข่งกันผลิบาน กลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนหลงใหลให้เคลิบเคลิ้มนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากหนามคมเกี่ยวตามแขนขาของฉันจนเลือดไหลอาบ หากแต่ฉันกลับไม่รู้สึกเจ็บปวด กลับยังคงเร่งฝีเท้าต่อไปเพื่อให้ทันการจากไปของเขาคนนั้น
ตรงหน้าของฉันปรากฏต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งติดกับริมฝั่งแม่น้ำ ตรงกันข้ามนั้นเป็นภูเขาลูกใหญ่ซึ่งปกคลุมด้วยหิมะดูหนาวเย็นและอ้างว้าง เงาร่างของใครบางคนกำลังยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้นั้นราวกับรอคอยบางสิ่งบางอย่าง
ฉันก้าวเท้าตรงเขาไปจับมือของเขาเอาไว้ ใบหน้าที่ฉันคุ้นเคยยังคงส่งรอยยิ้มมาให้เหมือนเคย ฉันพยายามเปล่งเสียงออกไปหากพบแค่เพียงความเงียบงัน ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากของฉันแม้แต่น้อย เขายังคงยิ้มและเอื้อมมือมาลูบหัวฉันอย่างเคย คำปลอบโยนเดียวที่ฉันใช้มันมาตลอดทั้งชีวิตไม่ว่าจะนานแค่ไหน มันมีค่ามากมายมหาศาลกว่าคำพูดของใครต่อใครนับหมื่นนับแสนประโยค ขอแค่เพียงสัมผัสเดียว จากคนๆ นี้แค่นั้นที่ฉันต้องการ
ชั่วขณะหนึ่งฉันกลับได้ยินเสียงเรียกชื่อของฉันดังแว่วเข้ามาภายในบรรยากาศนั้น เขาหันไปตามทิศทางของเสียงและแกะมือของฉันซึ่งเกาะเกี่ยวชายเสื้อของเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ฉันพยายามอย่างมากที่จะรั้งเขาไว้ไมให้จากฉันไปแม้จะรู้อยู่แก่ใจดีก็ตามว่ามันเป็นไปไม่ได้
เขายิ้ม... แม้จะเป็นรอยยิ้มที่เปื้อนคราบน้ำตา ไม่มีกระทั่งคำบอกลาใดๆ ระหว่างฉันและเขา หากฉันรู้แค่ว่าเราสองคนจะไม่มีวันได้พบกันอีกเป็นครั้งที่สอง แม้ฉันจะพยายามตะเกียกตะกายเกาะยึดเหล่ากุหลาบซึ่งเต็มไปด้วยหนามยาวคมเหล่านั้นเพื่อให้ได้อยู่มองหน้าเขาต่ออีกเพียงนิดเดียวก็ไม่เป็นผล สายลมหอบใหญ่กำลังหมุนวนกลีบกุหลาบกระจายวนเป็นวงกลมใหญ่ค่อยๆ กลืนกินร่างของฉัน และบดบังภาพของเขาให้ดูเลือนรางลงไปทุกที มีเพียงเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยิน และคงจะจดจำมันไปตลอดช่วงเวลาที่เหลือในชีวิตของฉัน
พี่รักเรานะ...
...................................
หากเพียงเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับความเป็นจริง สายตานั้นกลับเห็นเพียงฝ้าเพดานสีขาวสะอาด มือของข้างนั้นรู้สึกเจ็บราวกับทั้งหมดนั่นไม่ใช่แค่เพียงฝันไปเท่านั้น ความหนาวเย็นจากอุณหภูมิภายนอกนั่นทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่มีเหตุผล ครู่เดียวเท่านั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาภายในห้อง
ความรู้สึกทั้งหมดที่ดูเหมือนจะสับสนวกวนกลับทวีความรุนแรงเมื่อพบว่าหนึ่งในนั้นคือใคร แม้ฉันจะรู้... รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาไม่ใช่ แต่ก็อดไม่ได้ที่น้ำตามันจะไหลลงมา ความเจ็บปวดที่ถูกหนามกุหลาบบาดนั้นคงเป็นเพียงความรู้สึกสมมติ หากความเจ็บปวดที่เกิดกับหัวใจของฉันในเวลานี้มันคือความเป็นจริงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยง หรือพยายามโกหกหลอกตัวเองด้วยคำว่าไม่เป็นอะไรได้อีกต่อไป ความอ่อนล้าถาโถมเข้ามาราวกับระลอกน้ำกำลังเข้าทำลายปราการน้ำแข็งซึ่งฉันเพียรสร้างมันขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ใครทำร้ายหัวใจของฉันได้ แต่วันนี้ทุกอย่างพังทลายลงไปเพราะการจากไปของเขาอย่างไม่มีวันหวนกลับคืน
เข่าทั้งสองข้างชันขึ้นมาเพื่อปกปิดความอ่อนแอทั้งหมด ฉันก้มหน้าลงซบกับมันด้วยความรู้สึกอยากเก็บซ่อนทุกอย่าง อยากปิดตัวเอง ไม่ต้องการให้ใครมาพบเจอฉันในสภาพที่เป็นเช่นนี้ อยากหายไป ไม่ต้องมีตัวตน เป็นเพียงแค่อะไรสักอย่างที่ไม่ต้องมีใครมองเห็น ไม่อยากให้ใครเห็นว่าฉันกำลังเปราะบางแค่ไหน ไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันคนนี้อ่อนแอ ไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันอ่อนล้า และฉันไม่ต้องการให้ใครมาสงสาร หรือแสดงความเห็นใจกับฉัน ฉันอยู่ได้ ฉันผ่านมันไปได้ และฉันจะต้องไม่เป็นอะไร
“ออกไป... ได้โปรด” ฉันไม่เงยหน้าขึ้นมามองว่าคนเหล่านั้นจะทำตามที่ฉันขอร้องหรือไม่ ฉันแค่พูดในสิ่งที่อยากจะบอกกับใครๆ สิ่งที่เขาเพียรพยายามพร่ำบ่นฉันให้ทำอยู่เป็นประจำ หากแต่ฉันกลับทำเป็นไม่รับรู้ ไม่ใส่ใจประโยคเหล่านั้น
“ดา... พอเถอะนะ พี่เขาไปดีแล้ว อย่าร้องไห้อีกเลยนะ ถ้าพี่เขารู้เขาคงไม่สบายใจ” ใครบางคนเดินเข้ามากอดร่างที่สั่นเทาราวกับลูกนกแรกเกิดของฉันเอาไว้ สัมผัสนั้นก็เปราะบางไม่แพ้กับฉันเช่นกัน
ฉันรู้ และเข้าใจดีว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทุกคนต่างก็เจ็บปวด เพียงแค่ฉันยอมรับไม่ได้ว่าเขาจากไปแล้ว เพราะเขาสัญญาเอาไว้ว่าจะไปส่งฉันที่สนามบิน จะรอส่งช่อดอกไม้ในมือให้ในวันที่ฉันรับปริญญา หากแต่วันนี้คำสัญญาทุกอย่างไม่เหลืออะไรอีกแล้ว มีแค่ความว่างเปล่า สูญเสีย จนหัวใจของฉันต้านมันไม่ไหว ค่อยๆ ปริเป็นรอยแยก เกิดเป็นแผลยาวลึกเข้าไปเรื่อยๆ และยังไม่มีทีท่าว่ามันจะยังคงฉีกขาดลึกลงไปอีกแค่ไหน
ฉันร้องไห้อยู่อย่างนั้น มันเหมือนกับเป็นทางเดียวที่ฉันพอจะระบายความอัดอั้นที่มีอยู่ในเวลานี้ออกไปจากใจให้หมดได้ ไม่มีคำพูดใดๆ ถูกเอ่ยออกมาจากปากของฉันอีก สุดท้ายฉันก็หลับไปทั้งคราบน้ำตาอาบใบหน้าเช่นนั้น
...................................
แสงแดดยามเช้าลอดเข้ามาจากช่องว่างของผ้าม่านซึ่งถูกปิดไม่สนิทดีนักจากหน้าต่างของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ฉันลืมตาขึ้นมากวาดมองรอบตัว เห็นร่างของเพื่อนคนเดิมฟุบหลับอยู่ตรงข้างเตียง ตรงโซฟามีชายหนุ่มสามคนนอนระเกะระกะดูท่าทางคงไม่สบายตัวเท่าไหร่นัก หนึ่งในนั้นลืมตาขึ้นมาพอดีและจ้องหน้าฉันราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน จากนั้นเขาก็หันไปสะกิดกึ่งถีบเพื่อนที่เหลืออีกสองคนให้ตื่นขึ้นมา และด้วยเสียงนั้นเองก็ทำให้เพื่อนของฉันลืมตาตื่นขึ้นมามองฉันเช่นกัน
“ดา... ฟื้นแล้วเหรอ เอาน้ำไหม” เธอกระวีกระวาดลุกขึ้นเทน้ำใส่แก้วของโรงพยาบาลให้ฉันแม้จะไม่ได้รับคำตอบก็ตามที
มืออันสั่นเทาของฉันเอื้อมไปจะหยิบแก้วน้ำมาถือเองหากก็ถูกเธอปฏิเสธ ฉันจึงจำใจต้องดูดน้ำจากหลอดในแก้วซึ่งเธอถืออยู่อย่างช่วยไม่ได้ และพอรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าชายหนุ่มทั้งสามคนนั่นลากโซฟาเข้ามาจนชิดกับเตียงของโรงพยาบาล หนึ่งในนั้นจ้องฉันที่กำลังดูดน้ำตาแป๋วราวกับจะสังเกตทุกอิริยาบถของฉันจนทำให้ฉันประหม่าเล็กน้อย ผิดกับคนด้านซ้ายซึ่งลุกไปหยิบกล่องอะไรบางอย่างมายื่นส่งให้กับฉันซึ่งละจากแก้วน้ำนั้น มันเป็นกล่องที่ทำจากไม้แกะสลักเป็นลายของดอกดาหลาบนฝากล่องอย่างสวยงาม ราวกับจะบ่งบอกว่ากล่องใบนี้คือของๆ ฉัน
“เขาตั้งใจให้คุณ เพียงแต่เขาไม่สามารถทำได้ เขาฝากมันไว้กับผม ตอนนี้ผมมอบมันให้กับเจ้าของคือคุณ”
ภายในนั้นมีเพียงกุหลาบขาวดอกเดียวซึ่งฉันจำมันได้ดีแม้สภาพของมันจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลานานแค่ไหนก็ตาม กุหลาบที่ฉันให้เขาจากเงินที่ไปทำงานพิเศษในร้านอาหารข้างโรงเรียนสมัยอยู่มัธยมต้น กลีบของมันยังคงติดอยู่กับก้านหากเพียงแต่กาลเวลาเปลี่ยนมันเป็นสีน้ำตาลราวกับภาพถ่ายเก่าๆ ใบหนึ่ง น่าแปลกที่ฉันไม่มีน้ำตาให้ไหลออกมา กลับรู้สึกได้ว่ามุมปากของตัวเองกำลังยกยิ้มขึ้นมา ความรู้สึกอุ่นลึกๆ ค่อยๆ รักษาแผลในใจให้เจ็บปวดน้อยลง และวันหนึ่งมันคงจะหายดี กลับมาเป็นปรกติอีกครั้ง
“ขอบคุณนะคะ” ฉันปิดกล่องและหันไปยิ้มให้กับพวกเขาก่อนจะยกมือไหว้ ทำเอาสามคนนั้นยกมือขึ้นมารับไหว้ฉันแทบไม่ทัน
พอหันกลับไปมองหน้าของหนูอ้อแอ้ น้องสาวแท้ๆ ของเขา และยังเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวที่ฉันมีก็เห็นเธอกำลังเอามือปิดปาดพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เธอเองก็เจ็บไม่ต่างอะไรจากฉัน เพียงแค่เก็บอาการได้ดีกว่าฉันก็เท่านั้น
“ขอโทษที่ทำให้ต้องลำบากมาตลอด แล้วก็ขอบคุณนะ...ที่ไม่จากไปไหน”
อ้อแอ้ดึงฉันเข้าไปกอดก่อนจะปล่อยโฮใหญ่ กลายเป็นฉันที่ต้องเป็นฝ่ายมานั่งปลอบใจเธอแทน แต่ฉันก็เชื่อมั่นนะ... ฉันเชื่อว่าเขายังคงเฝ้ามองฉันจากที่ไหนสักแห่งแม้จะไกลแสนไกลก็ตามที เชื่อว่าเขายังคงเป็นกำลังใจให้ฉันกาวเดินไปข้างหน้าเสมอแม้จะล้มลุกคลุกคลานไปบ้างก็ตามที และฉันเชื่อ... ว่าฉันจะผ่านพ้นเรื่องราว อุปสรรคทุกอย่างไปได้ด้วยกำลังของตัวเอง
...................................
...จบครึ่งแรกของเรื่องนี้ค่ะ ฮี่ๆๆ เรื่องนี้เฟิร์นเขียนไว้ตอนต้นปีที่ผ่านมานี้เอง อารมณ์ ณ ตอนนั้นแค่อยากเขียนเรื่องสั้นสักเรื่อง ไม่มีจุดมุ่งหมายอะไรที่แน่ชัดสักเท่าไหร่ เรียกว่าเขียนไปแก้ไปตามความพอใจของตัวเองก็คงไม่ผิดนัก ด้วยเหตุฉะนี้ขอรบกวนฝากผู้เชี่ยวชาญ และปรมาจารย์ทางด้านงานเขียนทุกท่านแนะนำหรือจะติชมแต่ประการใดก็น้อมรับค่ะ ถ้ามีโอกาสจะเอาครึ่งหนึ่งที่เหลือมาต่อในกระทู้เดียวกันนี้ค่ะ
...ขอบคุณที่อ่านมาจนจบถึงตอนนี้ค่ะ...