จากกระทู้นี้ครับ
http://pantip.com/topic/30545228/comment89-10
พอดี ความรู้ผมไม่แน่นพอ ครับ เป็นประเด็นอยู่ที่ว่า
" ความคิดเห็นที่ 79
อ่ะลองมาดูสถานภาพสตรีของพุทธมั่ง
ชอบหาเรื่องกันดีนัก ตักน้ำใส่กระโหลกแล้วชะโงกดูซิ
ครุธรรม ๘ ประการ ได้ก็จะให้บวช ซึ่งได้แก่
1. นางภิกษุณีแม้บวชนานพรรษา 100 ก็ต้องกราบไหว้พระภิกษุที่บวชแม้ในวันนั้น
2. นางภิกษุณีอย่าพึงอยู่จำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีพระภิกษุ
3. นางภิกษุณีต้องหวังธรรม 2 ประการคือ ถามวันอุโบสถ 1 เข้าไปฟังคำสั่งสอนแต่พระสงฆืทุกกึ่ง 1 เดือน
4. นางภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว ต้องปวารณาในสงฆ์ 2 ฝ่ายคือ ทั้งในฝ่ายภิกษุณีด้วยกันเองและในฝ่ายภิกษุ
5. นางภิกษุณีต้องอาบัติ(โทษทางวินัย)หนักแล้ว ต้องประพฤติมานัด(กล่าวประจานตน)ในสงฆ์ 2 ฝ่าย เป็นเวลาฝ่ายละ 15 วัน
6. นางภิกษุณีต้องอุปสมบทในสงฆ์ 2 ฝ่าย คือบวชกับภิกษุณีด้วยกันแล้ว ต้องบวชกับภิกษุอีก
7. นางภิกษุณีห้ามด่าหรือแสดงอาการรังเกียจอย่างใดอย่างหนึ่ง
8. ห้ามภิกษุณีว่ากล่าวภิกษุแต่ภิกษุว่ากล่าวนางภิกษุณีได้
คิดว่า สตรีมีฐานะอะไรในศาสนาของพวกคุณ?
Carroth
31 พฤษภาคม เวลา 09:35 น.
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บทบัญญัติเหล่านี้ บัญญัติขึ้นมาเพื่อไม่อยากให้เพศหญิงกับเพศชายมาอยู่รวมกัน ใจจริงๆนั้นคือไม่อยากให้บวชนั่นแหละ เพราะไม่มีคนคอยควบคุมดูแลครั้นไม่มีฝ่ายหญิงดูแลภิกษุณี ก็ต้องให้ฝ่ายภิกษุดูแล การให้ภิกษุดูแลมันจึงไม่เหมาะที่จะให้ชายและหญิงมาอยู่ใกล้ชิดกัน อันจะเกิดข้อครหาเเละเรื่องอื่นๆตามมา แต่ครั้นจะบวชกันจริงๆจึงต้องบัญญัติกันแบบนี้ เพื่อให้บวชยากหน่อย การรักษายาก มีกฏหยุมหยิม จึงทำให้ฝ่ายหญิงบวชน้อย ถึงจะมองว่าไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ชายและหญิงมาคลุกคลีกัน แยกห่างๆกันไว้ แล้วเมื่อบวชแล้วก็ไม่อยากให้ภิกษุณีไปอยู่ต่างหากโดยไม่มีสงฆ์ไม่ได้ เพราะเป็นห่วงว่าหากผู้หญิงอยู่ตามลำพัง ก็อาจจะเป็นอันตรายแก่ภิกษุณีเองเพราะสมัยนั้น มีแต่ป่า โจรผู้ร้ายก็มีมาก ถึงภิกษุณีจะตำหนิภิกษุไม่ได้ แต่ภิกษุด้วยกันเองก็ว่ากล่าวตักเตือนกันอยู่แล้ว แม้ภิกษุว่ากล่าวภิกษุณีได้ก็ใช่ว่าจะทำร้ายร่างกายภิกษุณีได้ มีกฏให้กล่าวตักเตือนและลงโทษตามลำดับไป แล้วคำตักเตือนก็ไม่ใช่ถ้อยคำด่าหรือหยาบคาย เพราะผิดศีลของภิกษุเอง(แม้จะมีพระสมัยนี้พูดจาหยาบคายนั่นก็เป็นคนๆไป บาปก็เกิดแก่ตัวของพระเอง) กฏพวกนี้ไม่ได้มีการข่มเหง หรือทุบตี หรือลงโทษหนักๆแต่ประการใด การลงโทษก็มีแต่ให้ลาสิกขา หรือให้สารภาพบาป หรือให้ออกจากสำนักสงฆ์เท่านั้น แม้สมัยนี้สังคมก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่อาจจะไม่เหมือนกันในบางสังคม แต่หากไม่รุนแรงอะไร คนเขาก็ไม่ได้ตำหนิติติงอะไรครับ
แล้วคำว่า
***ชอบหาเรื่องกันดีนัก ตักน้ำใส่กระโหลกแล้วชะโงกดูซิ***
ผมจึงมองว่าใช้ไม่ได้ผลกับศาสนาพุทธ ผมว่าเอาคำนี้ย้อนกลับไปดูตัวเองดีกว่านะ "
ขอบคุณครับ
รบกวน ท่านใด มีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับศาสนา พุทธ รบกวนมาช่วยตอบหน่อยครับ
พอดี ความรู้ผมไม่แน่นพอ ครับ เป็นประเด็นอยู่ที่ว่า
" ความคิดเห็นที่ 79
อ่ะลองมาดูสถานภาพสตรีของพุทธมั่ง
ชอบหาเรื่องกันดีนัก ตักน้ำใส่กระโหลกแล้วชะโงกดูซิ
ครุธรรม ๘ ประการ ได้ก็จะให้บวช ซึ่งได้แก่
1. นางภิกษุณีแม้บวชนานพรรษา 100 ก็ต้องกราบไหว้พระภิกษุที่บวชแม้ในวันนั้น
2. นางภิกษุณีอย่าพึงอยู่จำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีพระภิกษุ
3. นางภิกษุณีต้องหวังธรรม 2 ประการคือ ถามวันอุโบสถ 1 เข้าไปฟังคำสั่งสอนแต่พระสงฆืทุกกึ่ง 1 เดือน
4. นางภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว ต้องปวารณาในสงฆ์ 2 ฝ่ายคือ ทั้งในฝ่ายภิกษุณีด้วยกันเองและในฝ่ายภิกษุ
5. นางภิกษุณีต้องอาบัติ(โทษทางวินัย)หนักแล้ว ต้องประพฤติมานัด(กล่าวประจานตน)ในสงฆ์ 2 ฝ่าย เป็นเวลาฝ่ายละ 15 วัน
6. นางภิกษุณีต้องอุปสมบทในสงฆ์ 2 ฝ่าย คือบวชกับภิกษุณีด้วยกันแล้ว ต้องบวชกับภิกษุอีก
7. นางภิกษุณีห้ามด่าหรือแสดงอาการรังเกียจอย่างใดอย่างหนึ่ง
8. ห้ามภิกษุณีว่ากล่าวภิกษุแต่ภิกษุว่ากล่าวนางภิกษุณีได้
คิดว่า สตรีมีฐานะอะไรในศาสนาของพวกคุณ?
Carroth
31 พฤษภาคม เวลา 09:35 น.
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บทบัญญัติเหล่านี้ บัญญัติขึ้นมาเพื่อไม่อยากให้เพศหญิงกับเพศชายมาอยู่รวมกัน ใจจริงๆนั้นคือไม่อยากให้บวชนั่นแหละ เพราะไม่มีคนคอยควบคุมดูแลครั้นไม่มีฝ่ายหญิงดูแลภิกษุณี ก็ต้องให้ฝ่ายภิกษุดูแล การให้ภิกษุดูแลมันจึงไม่เหมาะที่จะให้ชายและหญิงมาอยู่ใกล้ชิดกัน อันจะเกิดข้อครหาเเละเรื่องอื่นๆตามมา แต่ครั้นจะบวชกันจริงๆจึงต้องบัญญัติกันแบบนี้ เพื่อให้บวชยากหน่อย การรักษายาก มีกฏหยุมหยิม จึงทำให้ฝ่ายหญิงบวชน้อย ถึงจะมองว่าไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ชายและหญิงมาคลุกคลีกัน แยกห่างๆกันไว้ แล้วเมื่อบวชแล้วก็ไม่อยากให้ภิกษุณีไปอยู่ต่างหากโดยไม่มีสงฆ์ไม่ได้ เพราะเป็นห่วงว่าหากผู้หญิงอยู่ตามลำพัง ก็อาจจะเป็นอันตรายแก่ภิกษุณีเองเพราะสมัยนั้น มีแต่ป่า โจรผู้ร้ายก็มีมาก ถึงภิกษุณีจะตำหนิภิกษุไม่ได้ แต่ภิกษุด้วยกันเองก็ว่ากล่าวตักเตือนกันอยู่แล้ว แม้ภิกษุว่ากล่าวภิกษุณีได้ก็ใช่ว่าจะทำร้ายร่างกายภิกษุณีได้ มีกฏให้กล่าวตักเตือนและลงโทษตามลำดับไป แล้วคำตักเตือนก็ไม่ใช่ถ้อยคำด่าหรือหยาบคาย เพราะผิดศีลของภิกษุเอง(แม้จะมีพระสมัยนี้พูดจาหยาบคายนั่นก็เป็นคนๆไป บาปก็เกิดแก่ตัวของพระเอง) กฏพวกนี้ไม่ได้มีการข่มเหง หรือทุบตี หรือลงโทษหนักๆแต่ประการใด การลงโทษก็มีแต่ให้ลาสิกขา หรือให้สารภาพบาป หรือให้ออกจากสำนักสงฆ์เท่านั้น แม้สมัยนี้สังคมก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่อาจจะไม่เหมือนกันในบางสังคม แต่หากไม่รุนแรงอะไร คนเขาก็ไม่ได้ตำหนิติติงอะไรครับ
แล้วคำว่า
***ชอบหาเรื่องกันดีนัก ตักน้ำใส่กระโหลกแล้วชะโงกดูซิ***
ผมจึงมองว่าใช้ไม่ได้ผลกับศาสนาพุทธ ผมว่าเอาคำนี้ย้อนกลับไปดูตัวเองดีกว่านะ "
ขอบคุณครับ