ยอดเอเวอร์เรสต์ สุดขอบฟ้าที่ไม่อาจมาถึง

มีคนมากกว่า200คนที่ต้องสังเวยชีวิตในความพยายามที่จะพิชิตยอดเขาแห่งนี้
สาเหตุการตาย นั้นมีมากมาย ทั้งอากาศบนยอดเขา การตกเขา รอยแยกของน้ำแข็งแบบเฉียบพลัน
ช็อคจากการที่มีอ๊อกซิเจนน้อยเกินไป หินถล่ม หรือแม้แต่สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ในทุกนาที
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลมที่สามารถพัดแรงขึ้นจนถึงระดับเฮอริเคนซึ่งสามารถพัดนักปีนเขาให้ร่วง
ไปสู่เหวข้างล่าง  อ๊อกซิเจนที่ต่ำลงทำให้นักใต่เขาเริ่ม หายใจลำบาก ส่งผลให้มีอากาศไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานอนหลับ ปฏิกริยาของร่างกายจะค่อยๆช้าลงๆ จนไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย
นอกจากเหตุร้ายทั้งหมดนี้ หากไปถามบรรดานักปีนเขาที่เคยเผชิญกับความสูงระดับ 29000ฟุต
เขาถึงจะสามารถบอกคุณได้ว่ามีอุปสรรคมากมายเพียงใด โดยเฉพาะร่างไร้วิญญาณสภาพสมบูรณ์เพราะถูกปกป้องด้วย
สภาพอากาศอันหนาวเหน็บ  ตลอดทางขึ้นสู่ยอดเขาเป็นเครื่องเตือนความจำได้ดี

ศพส่วนมากนั้นจะอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวเย็นจึงมีสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์  ในบางครั้งสาเหตุการตายของผู้คนเหล่านั้น
ไม่อาจระบุได้เพราะบางคนตายแม้แต่ตอนที่กำลังหายใจ  ในสภาวะที่ทุกย่างก้าวคือการต่อสู้  การช่วยชีวิตคนที่ตาย
หรือกำลังจะตายนั้นจะมีการทำในทุกทางแต่ถ้าหากคุณตายแล้วนั้นการกู้ศพถือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้  ร่างคนตายจะกลายเป็น
หนึ่งในภูมิประเทศ หรือเหมือนอย่างที่หลายๆร่างกำลังเป็นคือ จุดสนใจแก่คนรุ่นหลังที่ผ่านไป  อย่างที่กล่าวไว้ในตอนแรกคือมีกว่า
200ร่างในระหว่างทางที่คุณจะพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกแห่งนี้

ตัวอย่างของผู้เสียชีวิต

                    ร่างของ David Sharp ยังคงนั่งอยู่ในถ้ำ นักปีนเขารู้จักเขาในนาม “Green Boots Cave”
บนยอดเขาเอเวอเรสต์ เดวิดพยายามที่จะพิชิตมันในปี2005 เมื่อไกล้ถึงยอด เขาหยุดลงนั่งในถ้ำเพื่อพักผ่อน(ที่นี่ตลอดกาล)
ร่างของเดวิดถูกตรึงไว้ด้วยน้ำแข็งที่ฉาบเขาไว้ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้  ในวันที่เขานั่งลงนั้นนักปีนเขาคนอื่นๆอีกกว่า
30คนก็ได้นั่งพักที่ตรงนั้นแล้วผ่านไปแต่ไม่ใช่เดวิด ก่อนที่เขาจะตายทีมของเขาได้ยินเสียงหายใจ คราง พวกเขาจึงหยุด
แล้วเข้าไปคุยกับเดวิด ซึ่งตอนนั้นยังพูดจาโต้ตอบได้ ระบุชื่อตัวเองได้แต่ขยับไม่ได้!!!  เพื่อนนักปีนเขาพยายามนำร่างที่แข็ง
ของเขาออกไปสู่แสงแดด แต่เมื่อเดวิดไม่สามารถขยับได้เลย ในที่สุดพวกเขาจึงต้องจากไปโดยทิ้งร่างของเดวิดไว้เบื้องหลัง
ร่างของเขาจึงยังนั่งอยู่ในถ้ำซึ่งตอนนี้กลายเป็นจุดชี้ทางแก่นักปีนเขารุ่นหลังว่าพวกเขาไกล้ถึงยอดแล้ว




ร่างของ“Green Boots”(นักปีนเขาชาวอินเดียผู้เสียชีวิตในปี1996)  นอนอยู่ไกล้กับถ้ำที่นักปีนเขาทุกคนต้อนผ่าน
เพื่อไปสู่ยอด  ตอนนี้ร่างของกรีนบู๊ต ถูกใช้เป็นจุดวัดระดับของนักปีนเขารุ่นหลังว่าพวกเขาอยู่ห่างจากยอดเท่าใด ปี1996กรีนบู๊ต
พลัดหลงจากกลุ่มและเดินออกมาในบริเวณชะง่อนเขา(เป็นปากถ้าที่มีขนาดเล็กมาก) เขาหลบสภาพอากาศที่เลวร้ายอยู่ในชะง่อนนั้น
เขานั่งลง ตัวสั่นด้วยความหนาวเย็นจนกระทั่งเขาตาย เขาถูกพบเนื่องจากมีลมพัดหิมะที่ปกคลุมร่างเขาขึ้นมา




ร่างของผู้เสียชีวิตที่ Advanced Base Camp หรือแคมป์2 สาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจากทนอากาศที่หนาวเย็นไม่ไหว



George Mallory เสียชีวิตในปี1924 และเป็นคนแรกที่พยายามขึ้นสู่ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก  ร่างของเขายังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
เมื่อมีการค้นพบในปี1999




บ่อยครั้งที่ร่างของนักปีนเขา อยู่บนก้อนหิน และมีหิมะปกคลุมโดยรอบซึ่งจะรักษาสภาพศพไว้ไม่ให้เน่าเปื่อย  แต่ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดศพนี้
จึงเหลือแต่โครงกระดูก




ร่างนี้นอนแช่แข็งอยู่บนเขาในตำแหน่งที่เขาเสียชีวิต ที่นี้ผู้ชายคนนี้ตกลงมาในขณะที่เขาพยายามจะปีนขึ้น  เขาตายในท่าที่ตก



ร่างนี้คาดว่าน่าจะเสียชีวิตในขณะหยุดพัก แล้วมีหิมะถล่มลงมาทับ  เมื่อหิมะละลายก็ได้เผยตำแหน่งของเขาขึ้นมา

[img][/img]

บางครั้งการเสียชีวิตเนื่องจากการตกจากที่สูง จะไม่สามราถพบเห็นหรือหาพบได้ ร่างเหล่านั้นอาจไปติดอยู่ที่แง่งหินแล้วมี
หิมะมาปลกคลุมทับไว้ ๆไม่มีใครเห็นอีกตลอดกาล



ลมและน้ำแข็งละลาย ทำให้บางครั้ง ทำให้เสื้อผ้าขาดวิ่นแลดูเป็นผ้าขี้ริ้ว ดังเช่นภาพนี้ที่ถ่ายจากก้นเหว




แดดและลมทำให้ศพแห้งเป็นผลให้ศพไม่เน่าเปื่อย


ร่างไร้วิญญาณร่างอื่นในบริเวณ







เครดิต แปลเค้ามา http://altereddimensions.net/2012/dead-bodies-on-mount-everest

เพิ่งลองแปลแนะนำติชมด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่