(เครดิตภาพ:
http://www.ibs-life.com/ibs-diary.html)
จริงๆ แล้วนี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมทำงานในวงการบันเทิงหรอกนะครับ แต่การมาครั้งนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็น “ก้าวแรก” ของผมในวงการบันเทิงจริงๆ มันให้ความรู้สึกจริงจังตั้งแต่พี่จันทร์ จิกผมให้ตื่นแต่เช้าตรู่ พิถีพิถันกับเสื้อผ้าและหนังหน้าของผม แล้วก็ขึ้นแท่นปาฐกถา เรื่อง แคสติ้งยังไงให้ผ่าน ตั้งแต่ล้อรถหมุนจนหยุดหมุนหน้าทาวโฮล์มหลังหนึ่ง
และแล้วพี่จันทร์มาผมไปทิ้งไว้ในห้องโล่งๆ ที่ชั้นสองของทาวโฮล์ม ในห้องนั้นกรุกระจกรอบด้านประหนึ่งห้องซ้อมเต้น ทิ้งผมไว้กับผู้คนหน้านิ่งๆ อีก 7-8 คน ซึ่งผมคาดว่าจะเป็นผู้กำกับ และไม่กำกับอีกหลายคน
พอผมเข้าไปปุ๊บ ทุกคนก็มองตรงมาจ้องแล้วจ้องอีก จนผมรู้สึกว่าผมมีมืองอกออกมาอีกหลายมือ จนไม่รู้จะเอาวางตรงไหนของร่างกายดี ทุกสายตาที่มองมามีผลทำให้สมองผมโล่งและว่างเปล่า สิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้ คือ ยิ้มไป ยิ้มมา ยิ้มแล้ว ยิ้มอีก ยิ้มเรื่อยๆ
จนผู้กำกับ (พี่จันทร์กระซิบบอกผมก่อนเข้ามาว่าชื่อ น้านุ) ถามออกมาว่า ‘พูดเป็นมั๊ย พูดมั่งก็ได้’
เสียงเข้มๆ ของน้านุ ทำให้สติที่ล่องลอยออกไปจากตัวของผมกลับเข้าร่างแทบจะทันที รีบแนะนำตัวอย่างที่พี่จันทร์ให้เตรียมไว้ และสมองของผมอีกนั่นแหล่ะครับที่มันเริ่มมีปัญหา พอมันรับคำสั่งให้พูด คราวนี้ผมก็พูดไม่หยุด พูดไปเรื่อยๆ แล้วก็คงพูดวนไปวนมาอยู่หลายรอบจนคุณป้าหน้านิ่ง ที่นั่งข้างผู้กำกับต้องยกมือห้าม
‘พอๆ พูดมาสามรอบ ฉันจำได้แล้ว่าเธอน่ะ ชื่ออพัช ชื่อเล่นเกิ้ง เป็นคนปากน้ำโพ บ้านขายข้าว มีพี่สาวเป็นครูอนุบาล ตอนนี้เรียนคณะวิศวะ คอมพิวเตอร์ ปีสอง นอกจากถนัดเรื่องคอมพ์ แล้วก็ชอบถ่ายรูป ฟังเพลง ดูหนัง เล่นดนตรีพอได้นอกจากไอ้ที่พูดวนไปวนมาแล้ว มีอะไรจะบอกอีกมั๊ย’
‘ไม่มีครับ’ ผมตอบทันควันพร้อมหัวเราะแห้งๆ และแล้วอาการมือเยอะ สมองโล่งก็กำลังจะเข้าครอบงำผมอีกครั้ง
'ซุปตาร์ ไดอารี่......บทที่ 1 ก้าวแรกของผม
(เครดิตภาพ: http://www.ibs-life.com/ibs-diary.html)
จริงๆ แล้วนี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมทำงานในวงการบันเทิงหรอกนะครับ แต่การมาครั้งนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็น “ก้าวแรก” ของผมในวงการบันเทิงจริงๆ มันให้ความรู้สึกจริงจังตั้งแต่พี่จันทร์ จิกผมให้ตื่นแต่เช้าตรู่ พิถีพิถันกับเสื้อผ้าและหนังหน้าของผม แล้วก็ขึ้นแท่นปาฐกถา เรื่อง แคสติ้งยังไงให้ผ่าน ตั้งแต่ล้อรถหมุนจนหยุดหมุนหน้าทาวโฮล์มหลังหนึ่ง
และแล้วพี่จันทร์มาผมไปทิ้งไว้ในห้องโล่งๆ ที่ชั้นสองของทาวโฮล์ม ในห้องนั้นกรุกระจกรอบด้านประหนึ่งห้องซ้อมเต้น ทิ้งผมไว้กับผู้คนหน้านิ่งๆ อีก 7-8 คน ซึ่งผมคาดว่าจะเป็นผู้กำกับ และไม่กำกับอีกหลายคน
พอผมเข้าไปปุ๊บ ทุกคนก็มองตรงมาจ้องแล้วจ้องอีก จนผมรู้สึกว่าผมมีมืองอกออกมาอีกหลายมือ จนไม่รู้จะเอาวางตรงไหนของร่างกายดี ทุกสายตาที่มองมามีผลทำให้สมองผมโล่งและว่างเปล่า สิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้ คือ ยิ้มไป ยิ้มมา ยิ้มแล้ว ยิ้มอีก ยิ้มเรื่อยๆ
จนผู้กำกับ (พี่จันทร์กระซิบบอกผมก่อนเข้ามาว่าชื่อ น้านุ) ถามออกมาว่า ‘พูดเป็นมั๊ย พูดมั่งก็ได้’
เสียงเข้มๆ ของน้านุ ทำให้สติที่ล่องลอยออกไปจากตัวของผมกลับเข้าร่างแทบจะทันที รีบแนะนำตัวอย่างที่พี่จันทร์ให้เตรียมไว้ และสมองของผมอีกนั่นแหล่ะครับที่มันเริ่มมีปัญหา พอมันรับคำสั่งให้พูด คราวนี้ผมก็พูดไม่หยุด พูดไปเรื่อยๆ แล้วก็คงพูดวนไปวนมาอยู่หลายรอบจนคุณป้าหน้านิ่ง ที่นั่งข้างผู้กำกับต้องยกมือห้าม
‘พอๆ พูดมาสามรอบ ฉันจำได้แล้ว่าเธอน่ะ ชื่ออพัช ชื่อเล่นเกิ้ง เป็นคนปากน้ำโพ บ้านขายข้าว มีพี่สาวเป็นครูอนุบาล ตอนนี้เรียนคณะวิศวะ คอมพิวเตอร์ ปีสอง นอกจากถนัดเรื่องคอมพ์ แล้วก็ชอบถ่ายรูป ฟังเพลง ดูหนัง เล่นดนตรีพอได้นอกจากไอ้ที่พูดวนไปวนมาแล้ว มีอะไรจะบอกอีกมั๊ย’
‘ไม่มีครับ’ ผมตอบทันควันพร้อมหัวเราะแห้งๆ และแล้วอาการมือเยอะ สมองโล่งก็กำลังจะเข้าครอบงำผมอีกครั้ง