หลายคนคงเคยได้ยินกับประโยคที่ว่า “วงการบันเทิงไทยกำลังจะตาย” หรือ “ยุคทองมันจบไปแล้ว” คำพูดแบบนี้ไม่ได้พึ่งมี แต่พูดกันมาตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว และยิ่งตอนนี้ ปี 2568 มันยิ่งเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า มัน “จบ” ไปแล้วจริงหรือยัง หรือเรากำลังอยู่ในช่วงขาลงที่ยาวนานเกินไปจนลืมไปแล้วว่าขาขึ้นมันเคยมีหน้าตาแบบไหน
📌 ปี 2515-2545 ยุคทองของวงการบันเทิงไทย
ย้อนกลับไปในสมัยก่อน วงการบันเทิงไทยเฟื่องฟูสุดขีด โดยเฉพาะหนังไทยพีคมากๆทำเงินสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แซงหน้าฮ่องกงและญี่ปุ่น มีโรงหนังเกือบ 700 โรงทั่วประเทศ นับเฉพาะในกรุงเทพฯอย่างเดียวก็เกินกว่า 100 โรง ดาราที่เป็นตำนานก็เช่น สรพงษ์ ชาตรี, เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์, จารุณี สุขสวัสดิ์ เป็นต้น
และมีหนังดังหลายเรื่องที่ทุกวันก็ยังมีคนพูดถึงอยู่เช่น “มนต์รักลูกทุ่ง” , “ทองประกายแสด” ,”เพชรตัดเพชร” และมีอีกหลายเรื่องที่เอามารีเมคใหม่ให้นักแสดงรุ่นใหม่ได้แสดง หลายคนก็คงจะเคยเห็นกันมาแล้ว
ข้ามมาถึงยุค “ฟรีทีวี” แบบเต็มสูบ เป็นช่วงประมาณปี 2530-2540 ในตอนนั้นคือเวลาทองของ “ละครหลังข่าว” เด็กในรุ่นใหม่นี้อาจจะไม่เข้าใจแต่สำหรับคนวัย 40+ น่าจะเข้าใจความรู้สึกตอนนั้นได้ดีว่ามีความสุดยอดแค่ไหน
เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ “คนไทยมีเวลาว่างร่วมกันได้อย่างดี” สมมุติเลิกงาน 18.00 น. กลับถึงบ้าน อาบน้ำกินข้าว 20.30 น. มานั่งหน้าจอพร้อมกันทั้งครอบครัว ไม่มีมือถือ ไม่มีเน็ต ไม่มีทางเลือก ละครหลังข่าวหน้าจอโทรทัศน์เป็นความบันเทิงระดับสุดยอด สะท้อนได้จากการครองเรตติ้งระดับ 30-40 ของฟรีทีวีในยุคนั้น อย่าง 3, 5, 7, 9 ที่แตกต่างจากยุคนี้ราวฟ้ากับเหวที่ได้เรตติ้งแค่ 3 แค่ 4 ก็ดีใจกันมากแล้ว
โดยมีดาราในยุคนี้ที่เรียกว่าเป็นซุเปอร์สตาร์ เช่น ศรันยู , ศรราม , เคนธีรเดช , แอนทองประสม , หน่อยบุษกร หรือแม้แต่ภาพยนตร์ไทยก็เฟื่องฟูเช่นกัน อย่าง 2499 อันธพาลครองเมือง ที่เข้าฉายในปี 2540 ทำรายได้ไป 75 ล้านบาทในยุคนั้นตอนที่ค่าตั๋วเข้าชมในโรงภาพยนต์ประมาณ 60-80 บาท
รวมถึงวงการเพลงสตริงก็เฟื่องฟูไม่แพ้กัน ศิลปินชื่อดังแห่งยุคเกิดขึ้นมามากมายไม่ว่าจะเป็น อัสนี-วสันต์ , ไมโคร , นูโว , เบิร์ด ธงไชย สามารถขายเทปได้หลักแสน - หลักล้านตลับ และยังมีเวทีคอร์นเสิร์ตที่เป็นตำนานมาถึงทุกวันนี้ไม่ว่าจะ 7 สีคอร์นเสิร์ตหรือว่า “โลกดนตรีของช่อง 5”
🎥 ท้ายยุคทองวงการบันเทิง “หนังไทย” บูมหนักมาก
ประมาณปี 2540-2545 เข้าสู่ปลายยุคทองของวงการบันเทิงไทย เป็นช่วงหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่คนไทยอยากดูหนังไทยเพื่อช่วยชาติมากขึ้น เกิดปรากฏการณ์หนังไทยทำรายได้ทะลุร้อยล้านหลายเรื่องไม่ว่าจะนางนากในปี 2542 ที่ทำรายได้ 149.6 ล้านบาท
ซึ่งถือว่าสูงสุดตลอดกาลในยุคนั้น มาถึงบางระจัน ในปี 2543 ที่ทำรายได้ 130+ ล้านบาท ต่อด้วย “สุริโยไท” ในปี 2544 ทำรายได้เกิน 140 ล้านบาท หรือหนังดังอย่าง “ฟ้าทะลายโจร” ที่รางวัลเมืองคานส์อีกด้วย
ตัวเลขที่บ่งบอกว่าหนังไทยในช่วงนี้ใหญ่จริงคือ ปี 2542 มีหนังไทยเข้าฉาย 92 เรื่อง และในปี 2540-2545 มีโรงหนังในไทยเกิน 650 โรง สมัยนั้นยังก่อกำเนิดดาวดวงใหม่ในวงการบันเทิงที่มีแทบทุกแนวตั้งแต่ลูกทุ่ง , สตริง , ภาพยนตร์ ,ละครหลังข่าว ดารากลายเป็น “ไอดอล” จริง ๆที่แตกต่างจากในตอนนี้สิ้นเชิง อันเนื่องมาจากแพลตฟอร์มที่หลากหลายทำให้คำว่าดาราแทบจะไม่มีความหมายแต่กลายเป็นคำว่า Content creator มาแทนที่
📌 วิเคราะห์เหตุผล? เกิดอะไรขึ้นกับ “วงการบันเทิงไทย”
สาเหตุที่ทำให้วงการบันเทิงไทยเปลี่ยนไปไม่เหมือนในอดีต เพียงเพราะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและปัจจัยแวดล้อมในหลายๆ ด้าน ที่เป็นเหมือนการ “ซ้ำเติม”ตอกทีละดอกจนโครงสร้างเก่าพังยับภายในเวลา 10-12 ปี
เริ่มตั้งแต่ปี 2549 ที่เกิดวิกฤติการเมือง ละครดีๆ ที่ถ่ายไว้แล้วถูก “ดอง” หรือตัดผังทิ้ง ผลกระทบเหล่านี้แผ่ขยายเป็นวงกว้างนักลงทุนโฆษณาเริ่ม “ถอย” ผลคือ ปี 2550-2553 รายได้โฆษณาฟรีทีวีตกลงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ถึง 15–20% ต่อปี
ตอกย้ำให้หนักขึ้นด้วยการเข้ามาของ YouTube ที่เปิดตัวในไทยอย่างจริงจังเมื่อปี 2550 และแค่ภายในระยะเวลา 2 ปีละครไทยทุกแทบเรื่องถูกอัพโหลดเต็มเรื่องภายใน 1 ชม. หลังออกอากาศ
รวมถึงการเพิ่มขึ้นของเว็บโหลดหนังชื่อดังต่างๆ ที่ทำให้พฤติกรรมคนไทยเปลี่ยนไปสิ้นเชิง คนเข้าโรงภาพยนตร์น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะร้าน VCD/DVD มีเกลื่อนเมือง ขายแผ่นหนังแค่ 50-60 บาท แม้กระทั่งวงการเพลงเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน พวกที่เป็นอัลบั๊มแท้ตายทันที
📌 พ.ศ. 2552 เป็นปีสุดท้ายที่มีอัลบั้มไทยขายเกิน 100,000 ตลับ
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อมีดิจิทัลทีวีเกิดขึ้นในปี 2554-2557 ที่มีการประมูลคลื่นความถี่ เกิดช่องใหม่อีก 24 ช่องพร้อมกัน แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้จีรังยั่งยืน แทนที่จะดีขึ้นกลับกลายเป็นแทบทุกช่องขาดทุนยับ ขาดทุนสะสมรวมกันกว่า 1 แสนล้านบาท
วิธีแก้คือ “ลดต้นทุนละคร” ที่ทำให้พระเอก-นางเอกรุ่นใหม่เงินเดือนลดลง 50-70% แถมเน้นการถ่ายละครเร็วขึ้น ใช้ฉากซ้ำ ทีมงานน้อยลง ทำให้คุณภาพของละครลดน้อยลงไป
📱📲 การเข้ามาของ “สมาร์ทโฟน” ดาบสุดท้ายซ้ำวงการบันเทิงไทย ตายเรียบ!
จากที่มันแย่คราวนี้ก็แย่ยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อมีสมาร์ทโฟนเข้ามาในช่วงปี 2553 ซึ่งตัวเลขของคนมีสมาร์ทโฟนเติบโตแบบก้าวกระโดดจาก 8 ล้านเครื่องหรือคิดเป็น 12% ของประชากรในปี 2553 มาเป็น 72 ล้านเครื่องหรือคิดเป็น 98% ในปี 2565 มาถึงตอนนี้ปี 2568 คนไทยมีสมาร์ทโฟนกันแทบทุกคนบางคนมี 2-3 เครื่อง และสมาร์ทโฟนนี่เองที่ทำให้วงการบันเทิงไทยสาหัสได้แท้จริง ด้วยเหตุผลหลายประการคือ
🎞️ คนเลิกรอละครหลังข่าว 20:30 น. เพราะดูย้อนหลังในโทรศัพท์ได้ทันที
🎞️ เรตติ้งละครหลังข่าวตกลงอย่างน่าใจหาย ตัวเลขจาก 30-40 เหลือแค่ 3-4 ก็ดีใจแล้ว
🎞️ โฆษณาฟรีทีวีหาย 70% ใน 10 ปี
🎞️ ร้านขายซีดีปิดเกือบหมดภายใน 5 ปี
🎞️ นักร้องไทยต้องหันไปหาเงินจาก YouTube Ads + TikTok Gift แทน
🎞️ เด็กไทยยุคใหม่ไม่ฝันอยากเป็น “ดารา” แล้ว แต่ฝันอยากเป็น “ครีเอเตอร์”
🎞️ จำนวนนักเรียนที่สอบเข้า คณะนิเทศศาสตร์/วารสารศาสตร์/ศิลปกรรมศาสตร์ สาขาการแสดง-กำกับการแสดง ลดลง 60–70% ใน 10 ปี
🎞️ โรงเรียนสอนการแสดงชื่อดังปิดตัวไปเกือบหมด
🎞️ ดาราไม่ต้องพึ่งค่ายใหญ่แล้ว เพราะมีรายได้จากโทรศัพท์เครื่องเดียว
🎞️ ปี 2568 มีดารา A-list หลายคน “ออกจากค่าย” ไปเป็นฟรีแลนซ์เต็มตัว
ถ้าให้สรุปว่าพลังของสมาร์ทโฟนทำแค่ 3 อย่างแต่มีผลกระทบหนักต่อวงการบันเทิงไทย คือสมาร์ทโฟนทำให้ทุกอย่างแบบฟรีและทันที และยังทำให้ทุกคนเป็นสื่อเองได้ และแน่นอนว่าทำให้ความอดทนในการเสพสื่อของคนไทยหายไปอย่างสิ้นเชิง
🎬 วงการบันเทิงไทย “ยังไม่ตายสนิท” แต่ฟื้นมาก็ไม่เหมือนเดิม
การเข้ามาของเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มโซเชี่ยลต่าง ๆเหมือนเป็นผู้ร้ายที่ทำให้วงการบันเทิงไทยวิกฤติหนักถึงขนาดที่มองว่ามันคือการ “อวสาน” แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็มีข้อดีที่เปลี่ยนโฉมวงการบันเทิงไทยให้แตกต่างไปจากเดิมคือ
✔️ ดาราไม่ต้องพึ่งฟรีทีวีหรือค่ายใหญ่อีกต่อไป
✔️ กลายเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของดาราที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่นการ Live ขายของ ซึ่งดาราไทยหลายคนทำยอดขายต่อไลฟ์ ได้มากกว่า 10-100 ล้านบาท
✔️ คลิป 15-60 วินาที ทำให้คนหน้าใหม่ดังได้โดยไม่ต้องมีละคร 7–8 ตอน โดยพวกค่ายหนัง/ละครเริ่มแคสติ้งจากยอดฟอลโลว์ IG/TikTok จริงจังตั้งแต่ปี 2563
อย่างไรก็ดีก็ต้องระวังผลในแง่ลบที่ต้องเตรียมรับมือเช่น ดังเร็วก็เงียบเร็ว ซึ่งอายุการดังเฉลี่ยเหลือแค่ 1-3 ปีจากสมัยก่อนยุคเฟื่องฟูที่ดังยาว 10-20 ปี หรือการที่ความสามารถในการแสดงกลายเป็นเรื่องรอง เพราะเอาแค่คนดังที่มีกระแสมาเป็นตัวหลักกระแสหมดก็แยกย้ายกันไป
แต่ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือความไม่ยุติธรรมจาก “เทคโนโลยี” เพราะก่อให้เกิดรายได้กระจุกตัวเฉพาะคนที่ดังซึ่งมีแค่ 1-2% ส่วนพวกดาราที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงกลายเป็นแทบไม่มีงาน ซึ่งเราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในวงการบันเทิงยุคใหม่ที่ดาราหันไปทำอาชีพอื่นมากขึ้นตามที่เป็นข่าว
📌 มองวงการบันเทิงไทยในอีก 5-10 ปีต่อจากนี้
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าดิจิทัลจะเป็นกระแสหลักของโลกต่อจากนี้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เน้นสะดวกเน้นความเป็นดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะ Gen Z/Alpha (เกิดหลัง 2560) เป็นกลุ่มหลัก 80% ของการเสพสื่อ เน้นคอนเทนต์สั้น, ส่วนตัว ธุรกิจวงการบันเทิงในหลายส่วนต้องเร่งปรับตัวให้ทันกระแสโลกยุคใหม่ เพราะการจะกลับไปจุดเดิมเหมือนในอดีตคงเป็นไปไม่ได้
ทุกวันนี้วงการบันเทิงไทยอาจจะยังไม่ถึงกับ “อวสาน” แต่กำลังจะแพ้ให้กับหลายอย่างทั้ง “การเปลี่ยนแปลงของเวลา” “พฤติกรรมผู้คนที่ไม่อยากรออีกต่อไป” หรือ แพ้ให้กับโลกยุคใหม่ที่มีทางเลือกมากเกินไป” จนทำให้ความเป็นหนึ่งเดียว” นั้นหายไปตลอดกาล
ยุคทองของวงการบันเทิงอาจจะจบลงแล้วจริง ๆ ที่เหลือต่อจากนี้คือความพยายามในการปรับตัวและสร้าง “วงการบันเทิงแบบใหม่” ที่อาจจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าเดิม แต่ก็ยังเป็นทางรอดที่พอมองเห็นได้ในอนาคต
.
.
ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ รวบรวมข้อมูล
ทำไมบันเทิงไทยถึงไม่ปังเหมือนเดิม? เจาะลึกวิกฤตเรตติ้งและพฤติกรรมผู้ชมยุคใหม่
📌 ปี 2515-2545 ยุคทองของวงการบันเทิงไทย
ย้อนกลับไปในสมัยก่อน วงการบันเทิงไทยเฟื่องฟูสุดขีด โดยเฉพาะหนังไทยพีคมากๆทำเงินสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แซงหน้าฮ่องกงและญี่ปุ่น มีโรงหนังเกือบ 700 โรงทั่วประเทศ นับเฉพาะในกรุงเทพฯอย่างเดียวก็เกินกว่า 100 โรง ดาราที่เป็นตำนานก็เช่น สรพงษ์ ชาตรี, เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์, จารุณี สุขสวัสดิ์ เป็นต้น
และมีหนังดังหลายเรื่องที่ทุกวันก็ยังมีคนพูดถึงอยู่เช่น “มนต์รักลูกทุ่ง” , “ทองประกายแสด” ,”เพชรตัดเพชร” และมีอีกหลายเรื่องที่เอามารีเมคใหม่ให้นักแสดงรุ่นใหม่ได้แสดง หลายคนก็คงจะเคยเห็นกันมาแล้ว
ข้ามมาถึงยุค “ฟรีทีวี” แบบเต็มสูบ เป็นช่วงประมาณปี 2530-2540 ในตอนนั้นคือเวลาทองของ “ละครหลังข่าว” เด็กในรุ่นใหม่นี้อาจจะไม่เข้าใจแต่สำหรับคนวัย 40+ น่าจะเข้าใจความรู้สึกตอนนั้นได้ดีว่ามีความสุดยอดแค่ไหน
เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ “คนไทยมีเวลาว่างร่วมกันได้อย่างดี” สมมุติเลิกงาน 18.00 น. กลับถึงบ้าน อาบน้ำกินข้าว 20.30 น. มานั่งหน้าจอพร้อมกันทั้งครอบครัว ไม่มีมือถือ ไม่มีเน็ต ไม่มีทางเลือก ละครหลังข่าวหน้าจอโทรทัศน์เป็นความบันเทิงระดับสุดยอด สะท้อนได้จากการครองเรตติ้งระดับ 30-40 ของฟรีทีวีในยุคนั้น อย่าง 3, 5, 7, 9 ที่แตกต่างจากยุคนี้ราวฟ้ากับเหวที่ได้เรตติ้งแค่ 3 แค่ 4 ก็ดีใจกันมากแล้ว
โดยมีดาราในยุคนี้ที่เรียกว่าเป็นซุเปอร์สตาร์ เช่น ศรันยู , ศรราม , เคนธีรเดช , แอนทองประสม , หน่อยบุษกร หรือแม้แต่ภาพยนตร์ไทยก็เฟื่องฟูเช่นกัน อย่าง 2499 อันธพาลครองเมือง ที่เข้าฉายในปี 2540 ทำรายได้ไป 75 ล้านบาทในยุคนั้นตอนที่ค่าตั๋วเข้าชมในโรงภาพยนต์ประมาณ 60-80 บาท
รวมถึงวงการเพลงสตริงก็เฟื่องฟูไม่แพ้กัน ศิลปินชื่อดังแห่งยุคเกิดขึ้นมามากมายไม่ว่าจะเป็น อัสนี-วสันต์ , ไมโคร , นูโว , เบิร์ด ธงไชย สามารถขายเทปได้หลักแสน - หลักล้านตลับ และยังมีเวทีคอร์นเสิร์ตที่เป็นตำนานมาถึงทุกวันนี้ไม่ว่าจะ 7 สีคอร์นเสิร์ตหรือว่า “โลกดนตรีของช่อง 5”
🎥 ท้ายยุคทองวงการบันเทิง “หนังไทย” บูมหนักมาก
ประมาณปี 2540-2545 เข้าสู่ปลายยุคทองของวงการบันเทิงไทย เป็นช่วงหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่คนไทยอยากดูหนังไทยเพื่อช่วยชาติมากขึ้น เกิดปรากฏการณ์หนังไทยทำรายได้ทะลุร้อยล้านหลายเรื่องไม่ว่าจะนางนากในปี 2542 ที่ทำรายได้ 149.6 ล้านบาท
ซึ่งถือว่าสูงสุดตลอดกาลในยุคนั้น มาถึงบางระจัน ในปี 2543 ที่ทำรายได้ 130+ ล้านบาท ต่อด้วย “สุริโยไท” ในปี 2544 ทำรายได้เกิน 140 ล้านบาท หรือหนังดังอย่าง “ฟ้าทะลายโจร” ที่รางวัลเมืองคานส์อีกด้วย
ตัวเลขที่บ่งบอกว่าหนังไทยในช่วงนี้ใหญ่จริงคือ ปี 2542 มีหนังไทยเข้าฉาย 92 เรื่อง และในปี 2540-2545 มีโรงหนังในไทยเกิน 650 โรง สมัยนั้นยังก่อกำเนิดดาวดวงใหม่ในวงการบันเทิงที่มีแทบทุกแนวตั้งแต่ลูกทุ่ง , สตริง , ภาพยนตร์ ,ละครหลังข่าว ดารากลายเป็น “ไอดอล” จริง ๆที่แตกต่างจากในตอนนี้สิ้นเชิง อันเนื่องมาจากแพลตฟอร์มที่หลากหลายทำให้คำว่าดาราแทบจะไม่มีความหมายแต่กลายเป็นคำว่า Content creator มาแทนที่
📌 วิเคราะห์เหตุผล? เกิดอะไรขึ้นกับ “วงการบันเทิงไทย”
สาเหตุที่ทำให้วงการบันเทิงไทยเปลี่ยนไปไม่เหมือนในอดีต เพียงเพราะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและปัจจัยแวดล้อมในหลายๆ ด้าน ที่เป็นเหมือนการ “ซ้ำเติม”ตอกทีละดอกจนโครงสร้างเก่าพังยับภายในเวลา 10-12 ปี
เริ่มตั้งแต่ปี 2549 ที่เกิดวิกฤติการเมือง ละครดีๆ ที่ถ่ายไว้แล้วถูก “ดอง” หรือตัดผังทิ้ง ผลกระทบเหล่านี้แผ่ขยายเป็นวงกว้างนักลงทุนโฆษณาเริ่ม “ถอย” ผลคือ ปี 2550-2553 รายได้โฆษณาฟรีทีวีตกลงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ถึง 15–20% ต่อปี
ตอกย้ำให้หนักขึ้นด้วยการเข้ามาของ YouTube ที่เปิดตัวในไทยอย่างจริงจังเมื่อปี 2550 และแค่ภายในระยะเวลา 2 ปีละครไทยทุกแทบเรื่องถูกอัพโหลดเต็มเรื่องภายใน 1 ชม. หลังออกอากาศ
รวมถึงการเพิ่มขึ้นของเว็บโหลดหนังชื่อดังต่างๆ ที่ทำให้พฤติกรรมคนไทยเปลี่ยนไปสิ้นเชิง คนเข้าโรงภาพยนตร์น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะร้าน VCD/DVD มีเกลื่อนเมือง ขายแผ่นหนังแค่ 50-60 บาท แม้กระทั่งวงการเพลงเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน พวกที่เป็นอัลบั๊มแท้ตายทันที
📌 พ.ศ. 2552 เป็นปีสุดท้ายที่มีอัลบั้มไทยขายเกิน 100,000 ตลับ
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อมีดิจิทัลทีวีเกิดขึ้นในปี 2554-2557 ที่มีการประมูลคลื่นความถี่ เกิดช่องใหม่อีก 24 ช่องพร้อมกัน แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้จีรังยั่งยืน แทนที่จะดีขึ้นกลับกลายเป็นแทบทุกช่องขาดทุนยับ ขาดทุนสะสมรวมกันกว่า 1 แสนล้านบาท
วิธีแก้คือ “ลดต้นทุนละคร” ที่ทำให้พระเอก-นางเอกรุ่นใหม่เงินเดือนลดลง 50-70% แถมเน้นการถ่ายละครเร็วขึ้น ใช้ฉากซ้ำ ทีมงานน้อยลง ทำให้คุณภาพของละครลดน้อยลงไป
📱📲 การเข้ามาของ “สมาร์ทโฟน” ดาบสุดท้ายซ้ำวงการบันเทิงไทย ตายเรียบ!
จากที่มันแย่คราวนี้ก็แย่ยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อมีสมาร์ทโฟนเข้ามาในช่วงปี 2553 ซึ่งตัวเลขของคนมีสมาร์ทโฟนเติบโตแบบก้าวกระโดดจาก 8 ล้านเครื่องหรือคิดเป็น 12% ของประชากรในปี 2553 มาเป็น 72 ล้านเครื่องหรือคิดเป็น 98% ในปี 2565 มาถึงตอนนี้ปี 2568 คนไทยมีสมาร์ทโฟนกันแทบทุกคนบางคนมี 2-3 เครื่อง และสมาร์ทโฟนนี่เองที่ทำให้วงการบันเทิงไทยสาหัสได้แท้จริง ด้วยเหตุผลหลายประการคือ
🎞️ คนเลิกรอละครหลังข่าว 20:30 น. เพราะดูย้อนหลังในโทรศัพท์ได้ทันที
🎞️ เรตติ้งละครหลังข่าวตกลงอย่างน่าใจหาย ตัวเลขจาก 30-40 เหลือแค่ 3-4 ก็ดีใจแล้ว
🎞️ โฆษณาฟรีทีวีหาย 70% ใน 10 ปี
🎞️ ร้านขายซีดีปิดเกือบหมดภายใน 5 ปี
🎞️ นักร้องไทยต้องหันไปหาเงินจาก YouTube Ads + TikTok Gift แทน
🎞️ เด็กไทยยุคใหม่ไม่ฝันอยากเป็น “ดารา” แล้ว แต่ฝันอยากเป็น “ครีเอเตอร์”
🎞️ จำนวนนักเรียนที่สอบเข้า คณะนิเทศศาสตร์/วารสารศาสตร์/ศิลปกรรมศาสตร์ สาขาการแสดง-กำกับการแสดง ลดลง 60–70% ใน 10 ปี
🎞️ โรงเรียนสอนการแสดงชื่อดังปิดตัวไปเกือบหมด
🎞️ ดาราไม่ต้องพึ่งค่ายใหญ่แล้ว เพราะมีรายได้จากโทรศัพท์เครื่องเดียว
🎞️ ปี 2568 มีดารา A-list หลายคน “ออกจากค่าย” ไปเป็นฟรีแลนซ์เต็มตัว
ถ้าให้สรุปว่าพลังของสมาร์ทโฟนทำแค่ 3 อย่างแต่มีผลกระทบหนักต่อวงการบันเทิงไทย คือสมาร์ทโฟนทำให้ทุกอย่างแบบฟรีและทันที และยังทำให้ทุกคนเป็นสื่อเองได้ และแน่นอนว่าทำให้ความอดทนในการเสพสื่อของคนไทยหายไปอย่างสิ้นเชิง
🎬 วงการบันเทิงไทย “ยังไม่ตายสนิท” แต่ฟื้นมาก็ไม่เหมือนเดิม
การเข้ามาของเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มโซเชี่ยลต่าง ๆเหมือนเป็นผู้ร้ายที่ทำให้วงการบันเทิงไทยวิกฤติหนักถึงขนาดที่มองว่ามันคือการ “อวสาน” แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็มีข้อดีที่เปลี่ยนโฉมวงการบันเทิงไทยให้แตกต่างไปจากเดิมคือ
✔️ ดาราไม่ต้องพึ่งฟรีทีวีหรือค่ายใหญ่อีกต่อไป
✔️ กลายเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของดาราที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่นการ Live ขายของ ซึ่งดาราไทยหลายคนทำยอดขายต่อไลฟ์ ได้มากกว่า 10-100 ล้านบาท
✔️ คลิป 15-60 วินาที ทำให้คนหน้าใหม่ดังได้โดยไม่ต้องมีละคร 7–8 ตอน โดยพวกค่ายหนัง/ละครเริ่มแคสติ้งจากยอดฟอลโลว์ IG/TikTok จริงจังตั้งแต่ปี 2563
อย่างไรก็ดีก็ต้องระวังผลในแง่ลบที่ต้องเตรียมรับมือเช่น ดังเร็วก็เงียบเร็ว ซึ่งอายุการดังเฉลี่ยเหลือแค่ 1-3 ปีจากสมัยก่อนยุคเฟื่องฟูที่ดังยาว 10-20 ปี หรือการที่ความสามารถในการแสดงกลายเป็นเรื่องรอง เพราะเอาแค่คนดังที่มีกระแสมาเป็นตัวหลักกระแสหมดก็แยกย้ายกันไป
แต่ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือความไม่ยุติธรรมจาก “เทคโนโลยี” เพราะก่อให้เกิดรายได้กระจุกตัวเฉพาะคนที่ดังซึ่งมีแค่ 1-2% ส่วนพวกดาราที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงกลายเป็นแทบไม่มีงาน ซึ่งเราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในวงการบันเทิงยุคใหม่ที่ดาราหันไปทำอาชีพอื่นมากขึ้นตามที่เป็นข่าว
📌 มองวงการบันเทิงไทยในอีก 5-10 ปีต่อจากนี้
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าดิจิทัลจะเป็นกระแสหลักของโลกต่อจากนี้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เน้นสะดวกเน้นความเป็นดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะ Gen Z/Alpha (เกิดหลัง 2560) เป็นกลุ่มหลัก 80% ของการเสพสื่อ เน้นคอนเทนต์สั้น, ส่วนตัว ธุรกิจวงการบันเทิงในหลายส่วนต้องเร่งปรับตัวให้ทันกระแสโลกยุคใหม่ เพราะการจะกลับไปจุดเดิมเหมือนในอดีตคงเป็นไปไม่ได้
ทุกวันนี้วงการบันเทิงไทยอาจจะยังไม่ถึงกับ “อวสาน” แต่กำลังจะแพ้ให้กับหลายอย่างทั้ง “การเปลี่ยนแปลงของเวลา” “พฤติกรรมผู้คนที่ไม่อยากรออีกต่อไป” หรือ แพ้ให้กับโลกยุคใหม่ที่มีทางเลือกมากเกินไป” จนทำให้ความเป็นหนึ่งเดียว” นั้นหายไปตลอดกาล
ยุคทองของวงการบันเทิงอาจจะจบลงแล้วจริง ๆ ที่เหลือต่อจากนี้คือความพยายามในการปรับตัวและสร้าง “วงการบันเทิงแบบใหม่” ที่อาจจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าเดิม แต่ก็ยังเป็นทางรอดที่พอมองเห็นได้ในอนาคต
ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ รวบรวมข้อมูล