หวังว่ายังไม่ช้าเกินไป สำหรับการรำลึกถึงข่าวการอำลาสนามของผู้ชายที่ชื่อว่า เจมี่ คาร์ราเกอร์
แฟนบอลทีมอื่นๆ หรทอกระทั่งแฟนลิเวอร์พูลเองก็ตาม ส่วนใหญ่คงจะมองกันว่า คาร์ราเกอร์คือกองหลังฝีมือธรรมดา ไม่มีความหวือหวา เซ็นเตอร์แบ็คโสไตล์โบราณแบบนี้หาได้ทั่วไป ไม่เห็นมีอะไรพิเศษ ทำไมแฟนหงส์แดงต้องชื่นชมหรืออวยกันเหลือเกิน ช้าก็ช้า ดูแล้วไม่มีชั้นเชิงเอาเสียเลย
แต่สิ่งที่หลายๆคน ทั้งผู้เล่น ผู้จัดการทีม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเดียวกัน หรือฝ่ายคู่แข่ง ให้การยกย่องเขาคนนี้ก็ถือ
"ความพยายาม ความอดทน และความทุ่มเท" นั่นเอง
ถ้าเทียบฝีมือของคาร์ร่ากับกองหลังสัญชาติอังกฤษหลายๆคน แลดูแล้วโหงวเฮ้งของคาร์ราเกอร์สู้คนอื่นไม่ได้เลย ไล่มาตั้งแต่ยุคโทนี่ อดัมส์, โซล แคมเบล, ริโอ เฟอร์ดินานด์, จอห์น เทอร์รี่ ฯลฯ
ภาพลักษณ์ในสนามของคาร์ราเกอร์จากแฟนบอลทีมคู่ปรับ เขาคือจอมเฟอะฟะและอืดอาด ทำเข้าประตูตัวเอง สาดโด่งประจำ นี่คือกองหลังยุคเก่าขนานแท้ ใช้ความแข็งแกร่งเข้าเบียดปะทะ เน้นชัวร์ บอลมาใกล้ก็หวดตูมไว้ก่อน ไม่ได้เล่นอ่านเกมอย่างโดดเด่นมีชั้นเชิงเหมือน ซามี ฮูเปีย รุ่นพี่ที่เคยจับคู่กันมานานหลายปี จึงไม่แปลกที่แฟนบอลหลายๆคนจะชอบแขวะและแซวเขาเป็นตัวตลก
แต่สำหรับแฟนหงส์แดงแล้ว เขาคือมิสเตอร์ลิเวอร์พูล ใช้หัวใจนักสู้ เล่นเต็มที่เพื่อสโมสร ไม่มีบ่น เขาไม่เคยเล่นอย่างสวยงาม แต่เขาเล่นด้วยความมุ่งมั่นเกิน 100% ทุกเกมที่ลงสนาม ถ้ามองอย่างเป็นกลางจริงๆจะรู้ว่า คาร์ราเกอร์ที่เคยยิงให้แมนยูฯ 2 ลูกเมื่อสิบกว่าปีก่อน เป็นคนละคนกับคาร์ราเกอร์ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาไม่นานนี้ ถ้าเขาห่วยจริงอย่างที่ใครหลายคนคิด เขาคงไม่ได้รับการยอมรับจากบุคคลระดับตำนานหลายท่าน
โจเซ่ มูริโญ่ ยกให้คาร์ราเกอร์เป็นศิลปินลูกหนังตัวจริง คำว่าศิลปินของน้ามูไม่ได้หมายถึงลีลาหรือทักษะสวยงาม หากแต่หมายถึงนักเตะที่ทำทุกอย่างเพื่อทีม สู้ตายถวายหัวให้กับสโมสร น้ามูยอมรับว่าคาร์ราเกอร์มอบทั้งตัวและหัวใจให้กับลิเวอร์พูล
ไรอัน กิ๊กส์ ปีกในตำนานของยูไนเต็ดที่ยังไม่แขวนสตั๊ดก็ให้ทัศนะว่า วันไหนที่คาร์ร่าลงเล่นเป็นแบ๊คขวา เขาที่เป็นปีกซ้ายก็รู้เลยว่าจะต้องเจองานที่ไม่ง่ายแน่นอน
และท่านเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ไม่ต้องอธิบายว่าเขาคือใคร เฟอร์กี้ให้การยกย่องคาร์ราเกอร์ในแง่ของความมุ่งมั่นและทำทุกอย่างเพื่อทีม โดยยกไปเปรียบกับ สตีฟ บรู๊ซ ศิษย์ก้นกุฏิของท่านเซอร์ที่เล่นด้วยความดุดันและทำตามทุกอย่างที่เจ้านายสั่งเพื่อให้ทีมได้ชัยชนะ ท่านเซอร์บอกว่านักเตะแบบนี้คือนักเตะสุดอัศจรรย์
เรามาดูกันว่า ชายที่ชื่อ เจมี่ คาร์ราเกอร์ เคยดิ่งลงและพุ่งขึ้นในกราฟชีวิตของวงการฟุตบอลอย่างไรบ้าง
********************

เจมี่ คาร์ราเกอร์ ในวัยเด็กนั้นเป็นแฟนบอลของทีมเอฟเวอตันเหมือนกับเด็กคนอื่นอย่างสตีฟ แม็คมานามาน, ร๊อบบี้ ฟาวเลอร์ รวมทั้งไมเคิล โอเว่น แต่ดันได้เข้าร่วมอคาเดมี่ของลิเวอร์พูลในปี 1990 จนได้รับโอกาสลงสนามในทีมชุดเยาวชน และคว้าแชมป์ FA Youth Cup ในปี 1996 ซึ่งตอนนั้นมีไมเคิล โอเว่น อยู่ในทีมด้วย และในปีเดียวกันนั้นเอง คาร์ราเกอร์ ก็ได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะระดับอาชีพในที่สุด
รอย อีแวนส์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในขณะนั้นได้ให้โอกาสคาร์ร่าลงสนามเป็นครั้งแรกในเกมลีกคัพ ซึ่งเขาลงมาเป็นตัวสำรองแทน ร๊อบ โจนส์ หลังจากนั้นก็ได้ลงสนามเป็นตัวสำรองในเกมลีคเป็นหนแรกในเกมที่พบกับเวสต์แฮม จนได้ลงเป็นตัวจริงในนัดถัดมาที่พบกับแอสตัน วิลล่า คราวนี้เขาสามารถโขกทำประตูจากลูกเปิดของสติ๊ก อิงเก้ บียอนบี้ ซึ่งนั่นเป็นการลงเล่นนัดแรกในแอนฟิลด์ต่อหน้าเดอะค๊อปก็ยิงซะแล้ว
ในฤดูกาลต่อมาคือปี 1997-98 คาร์ราเกอร์ได้โปรโมตตนเองขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่อย่างเต็มตัว ลงเล่นในเกมลีคไปถึง 20 นัด และในปีถัดมาก็ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมลีคอย่างต่อเนื่อง โดยพลาดการลงสนามไปเพียง 4 เกมเท่านั้น อีกทั้งได้รับโอกาสจากเควิน คีแกน ให้ติดทีมชาติอังกฤษนัดแรก ทุกอย่างเหมือนจะเริ่มต้นไปได้สวยทีเดียว
ในช่วงแรกๆของการเป็นนักเตะอาชีพ คาร์ราเกอร์ ดูเหมือนจะยังไม่มีตำแหน่งที่แน่นอนเป็นของตัวเอง เรียกว่าเป็นผู้เล่นจับฉ่ายที่โยกไปเล่นได้ทั้งกองกลางตัวรับ แบ๊คขวา แบ๊คซ้าย และกองหลังตัวกลาง ซึ่งทีมลิเวอร์พูลในยุคนั้นยังไม่สามารถสลัดภาพลักษณ์ของความเป็น สไปซ์บอย ที่สำอางค์และเล่นไม่ทุ่มเทดุดันอย่างที่ควรจะเป็น แต่นั่นไม่ใช่คาร์ราเกอร์ เพราะเขาไม่ได้มีหน้าตาที่หล่อเหลาเป็นขวัญใจวัยรุ่นแบบเพื่อนๆ อีกทั้งเขาเป็นคนที่อดทนและพยายามฝึกซ้อมเพื่อแก้ไขจุดบพร่องที่ตัวเองมีอยู่ แม้เขาไม่ได้รับการยอมรับในเรื่องของฝีเท้าจากสื่อ แต่คาร์ร่าก็ยังมุ่งมั่นก้มหน้าทำงานของตัวเองต่อไป

ฤดูกาล 1999-2000 คือจุดตกต่ำที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของคาร์ราเกอร์ เมื่อเขาสร้างผลงานชิ้นโบว์ดำซึ่งยังตราตรึงใจใครหลายคน เขาลงเล่นประจำการในตำแหน่งแบ๊คขวา และสร้างความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงด้วยการซัดไป 2 ประตูให้กับแมนยูฯ ใช่ครับคุณอ่านไม่ผิด คาร์ราเกอร์ยิงไปสองลูก แต่เป็นการทำเข้าประตูตัวเอง สุดท้ายแมนยูฯเลยชนะไป 3-2 และยังถูกแฟนคู่แข่งหยิบมาเป็นประเด็นแซวกันถึงทุกวันนี้ คนบ้าอะไรยิงประตูตัวเองสองลูกในเกมเดียว
(ตัวผมเองในขณะนั้นก็จำได้ว่าอยากให้หมอนี่เป็นตัวสำรอง หรือย้ายทีมไปเลยได้ยิ่งดี ไม่เข้าใจว่า เชราร์ด อุลลิเยร์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในขณะนั้นทำไมยังดันทุรังส่งเขาลงสนามทุกนัด เพราะลีลาการเล่นขัดหูขัดตาเหลือเกิน)

แต่หลังจากที่ผ่านจุดตกต่ำไป คาร์ราเกอร์ ก็ยังสู่ไม่ถอย ในปีต่อมาคือฤดูกาล 2000-2001 ทุกอย่างกลับตลบกลายเป็นอีกด้าน เมื่อเขามีส่วนร่วมในการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์กับลิเวอร์พูล ได้แก่ลีกคัพ, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่าคัพ และหลังจากในเวลาไม่นานก็ยังตามมาด้วยแชมป์คอมมูนิตี้ชิลด์ และซุปเปอร์คัพ
ในปีดังกล่าวคาร์ราเกอร์ถูกขยับมาเป็นแบ๊คซ้าย เนื่องจากตำแหน่งแบ๊คขวาถูกจับจองโดย มาร์คุส บับเบิล กองหลังทีมชาติเยอรมันซึ่งย้ายมาแบบฟรีๆจากบาเยิรน์ มิวนิค ซึ่งแผงหลังลิเวอร์พูลชุดนี้ทำผลงานได้อย่างน่าทึ่ง โดยมีซามี ฮูเปีย จับคู่กับ สเตฟาน อองโชซ์ เป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ส่วนผู้รักษาประตูคือ ซานเดอร์ เวสเตอร์เฟลด์ นายทวารหน้าปวดอึ

ในเดือนมกราคมปี 2002 คาร์ราเกอร์ถูกใบแดงไล่ออกในเกมเอฟเอคัพที่พบกับอาร์เซนอล สาเหตุมาจากการที่เขาไปโยนเหรียญกลับใส่แฟนบอลซึ่งขว้างมาใส่เขา เรื่องนี้คาร์ร่าถือว่าตบะแตก แทนที่จะเอาเหรียญไปฟ้องกรรมการแต่ดันขว้างกลับไป ซึ่งหลังจากนั้นคาร์ราเกอร์ก็ออกมาแถลงข่าวขอโทษว่ากระทำไปเพราะวู่วาม และโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจตักเตือนอย่างเป็นทางการ

ในช่วงปี 2002-2004 คาร์ราเกอร์ต้องประสบกับอาการบาดเจ็บที่รุนแรงถึง 2 ครั้ง รอบแรกต้องถึงขั้นผ่าตัดหัวเข่าจนพลาดการติดทีมไปร่วมศึกฟุตบอลโลกปี 2002 ส่วนอีกครั้งเป็นเหตุการณ์ที่หลายคนน่าจะจำกันได้ ในปี 2003 ณ.อีวู๊ดพาร์ค ลูคัส นีลล์ กองหลังจอมโหดของทีมแบล็คเบิร์นเข้าแท๊คเกิลอย่างรุนแรง แน่นอนว่าคาร์ราเกอร์ขาหักทันที เขาต้องพักยาว

ในช่วงที่เขาต้องพักรักษาตัวอยู่นานก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ต่อสู้แย่งตำแหน่งยากลำบาก เมื่อสตีฟ ฟินแน่น ย้ายจากฟูแล่มมาอยู่กับลิเวอร์พูล แถมฟินแน่นยังเล่นในตำแหน่งแบ๊คขวาได้อย่างยอดเยี่ยม มีความสม่ำเสมอทั้งในเกมรับและเกมรุก กลายเป็นแบ๊คคนใหม่ที่หน้าตาธรรมดา ผลงานไม่หวือหวา แต่ดันเล่นดีคงเส้นคงวาตลอด ส่วนตำแหน่งแบ๊คซ้ายก็ถูกจับจองไว้โดย ยอห์น อาเน่ รีเซ่ ขวัญใจคนใหม่ของเดอะคอปที่มีเอกลักษณ์คือลูกยิงตีนระเบิด แต่ถึงจะไม่ค่อยได้ลงสนามเพราะบาดเจ็บ คาร์ราเกอร์ก็ยังได้เหรียญแชมป์ลีกัพในปี 2003 รวมทั้งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองกัปตันทีมด้วย

ต่อมาในฤดูกาล 2004-2005 มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นกับลิเวอร์พูล เมื่อราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีมชาวสเปนได้ย้ายมาคุมทีมหงส์แดง ขณะนั้นเบนิเตซเป็นโค๊ชที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากในการพาทีมบาเลนเซียคว้าแชมป์ลาลีกาได้ถึง 2 ครั้งภายใน 3 ปี แถมพกด้วยอีก 1 แชมป์ยูฟ่าคัพ
ด้วยผลงานที่พิสูจน์ให้เห็นในสนามซ้อม เบนิเตซจึงไว้วางใจและมอบหมายหน้าที่ให้เขาเล่นเป็นเซ็นเตอร์ตัวกลางซึ่งจับคู่กับซามี่ ฮูเปีย ณ.จุดนี้เองที่ทำให้คาร์ราเกอร์ค้นพบแนวทางของตัวเองเสียที เมื่อเขาเล่นเป็นเซ็นเตอร์แบ๊คได้อย่างรัดกุม สอดผสานกับฮูเปียได้อย่างลงตัว คนนึงพุ่งเข้าปะทะแย่งบอล อีกคนก็คอยดักทางและเก็บตกให้ ในปีนั้นคาร์ราเกอร์ลงเล่นไปถึง 56 เกมให้กับลิเวอร์พูล

แน่นอนว่าไฮไลท์สำคัญที่สุดในชีวิตการข้าแค้งของคาร์ราเกอร์ คือการลงเล่นในนัดชิง UCL พบกับเอซี มิลาน ซึ่งแผงหลังของลิเวอร์พูลชุดนั้นมีชายในตำนานที่ชื่อว่า ฌิมี่ ตราโอเล่ รวมอยู่ด้วย....
ลิเวอร์พูลโดนนำไป 3-0 ตั้งแต่จบครึ่งแรก แต่ดันโกงความตายพลิกกลับมาชนะได้ในการยิงจุดโทษ ซึ่งคาร์ราเกอร์มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ช่วยให้ทีมสามารถยื้อไปจนถึงการดวลจุดโทษ เขาเข้าสกัดบอลในวินาทีสำคัญได้ถึง 2 จังหวะ นอกจากนี้เขายังจำต้องฝืนเล่นต่อทั้งๆที่ตะคริวกินขา และเมื่อจบฤดูกาล เจมี่ คาร์ราเกอร์ ก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมของสโมสรในปีนั้น (และอย่าลืมว่า ฌิมี่ ตราโอเล่ เจ้าของท่าไม้ตายลูกม้วนตัวซีดานเข้าประตูตัวเองในตำนาน ก็ได้เหรียญ UCL กับเขาเช่นกัน ฮ่วย!)
ร่วมรำลึก เส้นทางชีวิตค้าแข้ง "เจมี่ คาร์ราเกอร์" ตำนานผู้ภักดีของลิเวอร์พูล
หวังว่ายังไม่ช้าเกินไป สำหรับการรำลึกถึงข่าวการอำลาสนามของผู้ชายที่ชื่อว่า เจมี่ คาร์ราเกอร์
แฟนบอลทีมอื่นๆ หรทอกระทั่งแฟนลิเวอร์พูลเองก็ตาม ส่วนใหญ่คงจะมองกันว่า คาร์ราเกอร์คือกองหลังฝีมือธรรมดา ไม่มีความหวือหวา เซ็นเตอร์แบ็คโสไตล์โบราณแบบนี้หาได้ทั่วไป ไม่เห็นมีอะไรพิเศษ ทำไมแฟนหงส์แดงต้องชื่นชมหรืออวยกันเหลือเกิน ช้าก็ช้า ดูแล้วไม่มีชั้นเชิงเอาเสียเลย
แต่สิ่งที่หลายๆคน ทั้งผู้เล่น ผู้จัดการทีม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเดียวกัน หรือฝ่ายคู่แข่ง ให้การยกย่องเขาคนนี้ก็ถือ
"ความพยายาม ความอดทน และความทุ่มเท" นั่นเอง
ถ้าเทียบฝีมือของคาร์ร่ากับกองหลังสัญชาติอังกฤษหลายๆคน แลดูแล้วโหงวเฮ้งของคาร์ราเกอร์สู้คนอื่นไม่ได้เลย ไล่มาตั้งแต่ยุคโทนี่ อดัมส์, โซล แคมเบล, ริโอ เฟอร์ดินานด์, จอห์น เทอร์รี่ ฯลฯ
ภาพลักษณ์ในสนามของคาร์ราเกอร์จากแฟนบอลทีมคู่ปรับ เขาคือจอมเฟอะฟะและอืดอาด ทำเข้าประตูตัวเอง สาดโด่งประจำ นี่คือกองหลังยุคเก่าขนานแท้ ใช้ความแข็งแกร่งเข้าเบียดปะทะ เน้นชัวร์ บอลมาใกล้ก็หวดตูมไว้ก่อน ไม่ได้เล่นอ่านเกมอย่างโดดเด่นมีชั้นเชิงเหมือน ซามี ฮูเปีย รุ่นพี่ที่เคยจับคู่กันมานานหลายปี จึงไม่แปลกที่แฟนบอลหลายๆคนจะชอบแขวะและแซวเขาเป็นตัวตลก
แต่สำหรับแฟนหงส์แดงแล้ว เขาคือมิสเตอร์ลิเวอร์พูล ใช้หัวใจนักสู้ เล่นเต็มที่เพื่อสโมสร ไม่มีบ่น เขาไม่เคยเล่นอย่างสวยงาม แต่เขาเล่นด้วยความมุ่งมั่นเกิน 100% ทุกเกมที่ลงสนาม ถ้ามองอย่างเป็นกลางจริงๆจะรู้ว่า คาร์ราเกอร์ที่เคยยิงให้แมนยูฯ 2 ลูกเมื่อสิบกว่าปีก่อน เป็นคนละคนกับคาร์ราเกอร์ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาไม่นานนี้ ถ้าเขาห่วยจริงอย่างที่ใครหลายคนคิด เขาคงไม่ได้รับการยอมรับจากบุคคลระดับตำนานหลายท่าน
โจเซ่ มูริโญ่ ยกให้คาร์ราเกอร์เป็นศิลปินลูกหนังตัวจริง คำว่าศิลปินของน้ามูไม่ได้หมายถึงลีลาหรือทักษะสวยงาม หากแต่หมายถึงนักเตะที่ทำทุกอย่างเพื่อทีม สู้ตายถวายหัวให้กับสโมสร น้ามูยอมรับว่าคาร์ราเกอร์มอบทั้งตัวและหัวใจให้กับลิเวอร์พูล
ไรอัน กิ๊กส์ ปีกในตำนานของยูไนเต็ดที่ยังไม่แขวนสตั๊ดก็ให้ทัศนะว่า วันไหนที่คาร์ร่าลงเล่นเป็นแบ๊คขวา เขาที่เป็นปีกซ้ายก็รู้เลยว่าจะต้องเจองานที่ไม่ง่ายแน่นอน
และท่านเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ไม่ต้องอธิบายว่าเขาคือใคร เฟอร์กี้ให้การยกย่องคาร์ราเกอร์ในแง่ของความมุ่งมั่นและทำทุกอย่างเพื่อทีม โดยยกไปเปรียบกับ สตีฟ บรู๊ซ ศิษย์ก้นกุฏิของท่านเซอร์ที่เล่นด้วยความดุดันและทำตามทุกอย่างที่เจ้านายสั่งเพื่อให้ทีมได้ชัยชนะ ท่านเซอร์บอกว่านักเตะแบบนี้คือนักเตะสุดอัศจรรย์
เรามาดูกันว่า ชายที่ชื่อ เจมี่ คาร์ราเกอร์ เคยดิ่งลงและพุ่งขึ้นในกราฟชีวิตของวงการฟุตบอลอย่างไรบ้าง
********************
เจมี่ คาร์ราเกอร์ ในวัยเด็กนั้นเป็นแฟนบอลของทีมเอฟเวอตันเหมือนกับเด็กคนอื่นอย่างสตีฟ แม็คมานามาน, ร๊อบบี้ ฟาวเลอร์ รวมทั้งไมเคิล โอเว่น แต่ดันได้เข้าร่วมอคาเดมี่ของลิเวอร์พูลในปี 1990 จนได้รับโอกาสลงสนามในทีมชุดเยาวชน และคว้าแชมป์ FA Youth Cup ในปี 1996 ซึ่งตอนนั้นมีไมเคิล โอเว่น อยู่ในทีมด้วย และในปีเดียวกันนั้นเอง คาร์ราเกอร์ ก็ได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะระดับอาชีพในที่สุด
รอย อีแวนส์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในขณะนั้นได้ให้โอกาสคาร์ร่าลงสนามเป็นครั้งแรกในเกมลีกคัพ ซึ่งเขาลงมาเป็นตัวสำรองแทน ร๊อบ โจนส์ หลังจากนั้นก็ได้ลงสนามเป็นตัวสำรองในเกมลีคเป็นหนแรกในเกมที่พบกับเวสต์แฮม จนได้ลงเป็นตัวจริงในนัดถัดมาที่พบกับแอสตัน วิลล่า คราวนี้เขาสามารถโขกทำประตูจากลูกเปิดของสติ๊ก อิงเก้ บียอนบี้ ซึ่งนั่นเป็นการลงเล่นนัดแรกในแอนฟิลด์ต่อหน้าเดอะค๊อปก็ยิงซะแล้ว
ในฤดูกาลต่อมาคือปี 1997-98 คาร์ราเกอร์ได้โปรโมตตนเองขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่อย่างเต็มตัว ลงเล่นในเกมลีคไปถึง 20 นัด และในปีถัดมาก็ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมลีคอย่างต่อเนื่อง โดยพลาดการลงสนามไปเพียง 4 เกมเท่านั้น อีกทั้งได้รับโอกาสจากเควิน คีแกน ให้ติดทีมชาติอังกฤษนัดแรก ทุกอย่างเหมือนจะเริ่มต้นไปได้สวยทีเดียว
ในช่วงแรกๆของการเป็นนักเตะอาชีพ คาร์ราเกอร์ ดูเหมือนจะยังไม่มีตำแหน่งที่แน่นอนเป็นของตัวเอง เรียกว่าเป็นผู้เล่นจับฉ่ายที่โยกไปเล่นได้ทั้งกองกลางตัวรับ แบ๊คขวา แบ๊คซ้าย และกองหลังตัวกลาง ซึ่งทีมลิเวอร์พูลในยุคนั้นยังไม่สามารถสลัดภาพลักษณ์ของความเป็น สไปซ์บอย ที่สำอางค์และเล่นไม่ทุ่มเทดุดันอย่างที่ควรจะเป็น แต่นั่นไม่ใช่คาร์ราเกอร์ เพราะเขาไม่ได้มีหน้าตาที่หล่อเหลาเป็นขวัญใจวัยรุ่นแบบเพื่อนๆ อีกทั้งเขาเป็นคนที่อดทนและพยายามฝึกซ้อมเพื่อแก้ไขจุดบพร่องที่ตัวเองมีอยู่ แม้เขาไม่ได้รับการยอมรับในเรื่องของฝีเท้าจากสื่อ แต่คาร์ร่าก็ยังมุ่งมั่นก้มหน้าทำงานของตัวเองต่อไป
ฤดูกาล 1999-2000 คือจุดตกต่ำที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของคาร์ราเกอร์ เมื่อเขาสร้างผลงานชิ้นโบว์ดำซึ่งยังตราตรึงใจใครหลายคน เขาลงเล่นประจำการในตำแหน่งแบ๊คขวา และสร้างความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงด้วยการซัดไป 2 ประตูให้กับแมนยูฯ ใช่ครับคุณอ่านไม่ผิด คาร์ราเกอร์ยิงไปสองลูก แต่เป็นการทำเข้าประตูตัวเอง สุดท้ายแมนยูฯเลยชนะไป 3-2 และยังถูกแฟนคู่แข่งหยิบมาเป็นประเด็นแซวกันถึงทุกวันนี้ คนบ้าอะไรยิงประตูตัวเองสองลูกในเกมเดียว
(ตัวผมเองในขณะนั้นก็จำได้ว่าอยากให้หมอนี่เป็นตัวสำรอง หรือย้ายทีมไปเลยได้ยิ่งดี ไม่เข้าใจว่า เชราร์ด อุลลิเยร์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในขณะนั้นทำไมยังดันทุรังส่งเขาลงสนามทุกนัด เพราะลีลาการเล่นขัดหูขัดตาเหลือเกิน)
แต่หลังจากที่ผ่านจุดตกต่ำไป คาร์ราเกอร์ ก็ยังสู่ไม่ถอย ในปีต่อมาคือฤดูกาล 2000-2001 ทุกอย่างกลับตลบกลายเป็นอีกด้าน เมื่อเขามีส่วนร่วมในการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์กับลิเวอร์พูล ได้แก่ลีกคัพ, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่าคัพ และหลังจากในเวลาไม่นานก็ยังตามมาด้วยแชมป์คอมมูนิตี้ชิลด์ และซุปเปอร์คัพ
ในปีดังกล่าวคาร์ราเกอร์ถูกขยับมาเป็นแบ๊คซ้าย เนื่องจากตำแหน่งแบ๊คขวาถูกจับจองโดย มาร์คุส บับเบิล กองหลังทีมชาติเยอรมันซึ่งย้ายมาแบบฟรีๆจากบาเยิรน์ มิวนิค ซึ่งแผงหลังลิเวอร์พูลชุดนี้ทำผลงานได้อย่างน่าทึ่ง โดยมีซามี ฮูเปีย จับคู่กับ สเตฟาน อองโชซ์ เป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ส่วนผู้รักษาประตูคือ ซานเดอร์ เวสเตอร์เฟลด์ นายทวารหน้าปวดอึ
ในเดือนมกราคมปี 2002 คาร์ราเกอร์ถูกใบแดงไล่ออกในเกมเอฟเอคัพที่พบกับอาร์เซนอล สาเหตุมาจากการที่เขาไปโยนเหรียญกลับใส่แฟนบอลซึ่งขว้างมาใส่เขา เรื่องนี้คาร์ร่าถือว่าตบะแตก แทนที่จะเอาเหรียญไปฟ้องกรรมการแต่ดันขว้างกลับไป ซึ่งหลังจากนั้นคาร์ราเกอร์ก็ออกมาแถลงข่าวขอโทษว่ากระทำไปเพราะวู่วาม และโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจตักเตือนอย่างเป็นทางการ
ในช่วงปี 2002-2004 คาร์ราเกอร์ต้องประสบกับอาการบาดเจ็บที่รุนแรงถึง 2 ครั้ง รอบแรกต้องถึงขั้นผ่าตัดหัวเข่าจนพลาดการติดทีมไปร่วมศึกฟุตบอลโลกปี 2002 ส่วนอีกครั้งเป็นเหตุการณ์ที่หลายคนน่าจะจำกันได้ ในปี 2003 ณ.อีวู๊ดพาร์ค ลูคัส นีลล์ กองหลังจอมโหดของทีมแบล็คเบิร์นเข้าแท๊คเกิลอย่างรุนแรง แน่นอนว่าคาร์ราเกอร์ขาหักทันที เขาต้องพักยาว
ในช่วงที่เขาต้องพักรักษาตัวอยู่นานก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ต่อสู้แย่งตำแหน่งยากลำบาก เมื่อสตีฟ ฟินแน่น ย้ายจากฟูแล่มมาอยู่กับลิเวอร์พูล แถมฟินแน่นยังเล่นในตำแหน่งแบ๊คขวาได้อย่างยอดเยี่ยม มีความสม่ำเสมอทั้งในเกมรับและเกมรุก กลายเป็นแบ๊คคนใหม่ที่หน้าตาธรรมดา ผลงานไม่หวือหวา แต่ดันเล่นดีคงเส้นคงวาตลอด ส่วนตำแหน่งแบ๊คซ้ายก็ถูกจับจองไว้โดย ยอห์น อาเน่ รีเซ่ ขวัญใจคนใหม่ของเดอะคอปที่มีเอกลักษณ์คือลูกยิงตีนระเบิด แต่ถึงจะไม่ค่อยได้ลงสนามเพราะบาดเจ็บ คาร์ราเกอร์ก็ยังได้เหรียญแชมป์ลีกัพในปี 2003 รวมทั้งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองกัปตันทีมด้วย
ต่อมาในฤดูกาล 2004-2005 มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นกับลิเวอร์พูล เมื่อราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีมชาวสเปนได้ย้ายมาคุมทีมหงส์แดง ขณะนั้นเบนิเตซเป็นโค๊ชที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากในการพาทีมบาเลนเซียคว้าแชมป์ลาลีกาได้ถึง 2 ครั้งภายใน 3 ปี แถมพกด้วยอีก 1 แชมป์ยูฟ่าคัพ
ด้วยผลงานที่พิสูจน์ให้เห็นในสนามซ้อม เบนิเตซจึงไว้วางใจและมอบหมายหน้าที่ให้เขาเล่นเป็นเซ็นเตอร์ตัวกลางซึ่งจับคู่กับซามี่ ฮูเปีย ณ.จุดนี้เองที่ทำให้คาร์ราเกอร์ค้นพบแนวทางของตัวเองเสียที เมื่อเขาเล่นเป็นเซ็นเตอร์แบ๊คได้อย่างรัดกุม สอดผสานกับฮูเปียได้อย่างลงตัว คนนึงพุ่งเข้าปะทะแย่งบอล อีกคนก็คอยดักทางและเก็บตกให้ ในปีนั้นคาร์ราเกอร์ลงเล่นไปถึง 56 เกมให้กับลิเวอร์พูล
แน่นอนว่าไฮไลท์สำคัญที่สุดในชีวิตการข้าแค้งของคาร์ราเกอร์ คือการลงเล่นในนัดชิง UCL พบกับเอซี มิลาน ซึ่งแผงหลังของลิเวอร์พูลชุดนั้นมีชายในตำนานที่ชื่อว่า ฌิมี่ ตราโอเล่ รวมอยู่ด้วย....
ลิเวอร์พูลโดนนำไป 3-0 ตั้งแต่จบครึ่งแรก แต่ดันโกงความตายพลิกกลับมาชนะได้ในการยิงจุดโทษ ซึ่งคาร์ราเกอร์มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ช่วยให้ทีมสามารถยื้อไปจนถึงการดวลจุดโทษ เขาเข้าสกัดบอลในวินาทีสำคัญได้ถึง 2 จังหวะ นอกจากนี้เขายังจำต้องฝืนเล่นต่อทั้งๆที่ตะคริวกินขา และเมื่อจบฤดูกาล เจมี่ คาร์ราเกอร์ ก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมของสโมสรในปีนั้น (และอย่าลืมว่า ฌิมี่ ตราโอเล่ เจ้าของท่าไม้ตายลูกม้วนตัวซีดานเข้าประตูตัวเองในตำนาน ก็ได้เหรียญ UCL กับเขาเช่นกัน ฮ่วย!)