ยุคทองของ เยอรมัน กลับมาอีกครั้งในโลกฟุตบอลสโมสรยุโรป นี่เป็นครั้งแรกที่คู่ชิง ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก เป็น สองทีมจากเยอรมัน บุนเดสลีกา
ก่อนหน้านี้ เคยมีคู่ชิงที่มาจากชาติเดียวกันเกิดขึ้นแล้ว 3 ครั้งปี 2000 เรอัล มาดริค ปะทะ วาเลนเซีย, ปี 2008 เอซี มิลาน เปิดศึก กับ ยูเวนตุส และปี 2008 แมนฯยูไนเต็ด ชิงดำกับเชลซี
บาเยิร์น อดีตแชมป์ 4 สมัย ไม่เคยได้สัมผัสถ้วยนี้ตั้งแต่ปี 2001 ส่วน ดอร์ทมุนด์สร้างประวัติศาสตร์ได้เพียงหนเดียวในปี 1997 จากนั้น ก็ไม่เคยขยับเข้าใกล้ได้อีกเลย นี่คือการเข้ารอบชิงฯ ครั้งที่สองเท่านั้น
พูดถึง บาเยิร์น แล้วยังไม่อันบโชคพ่ายแพ้ในนัดชิงดำถึง 5 ครั้ง ป่านนี้คงจะทำสถิติเบียดกับ เรอัล มาดริค แชมป์เปี้ยนส์ 9 สมัย โดยนอกจากที่ทีมบักษ์จากเยอรมันแล้ว ยังมี ยูเวนตุส กับ เบนฟิก้า ที่เคยอกหักในรอบชิง 5 ครั้ง
บุนเดสลีกา อาจจะไม่ฮิดหรือเงินสะพัดเท่ากับพรีเมียร์ลีก แต่กระแสความนิยมและคุณภาพของเกมไม่ได้ด้อยไปกว่า แถมปีสองปีที่ผ่านมายังดูแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ
ในช่วงระหว่างปี 2007-09 ทีมจากเมืองผู้ดีครองความยิ่งใหญ่ในยุโรปมีถึง 3 ทีมเข้ารอบรองชนะเลิศได้ 5 ปีติดต่อกัน ไม่เคยมีทีมจากชาติไหนทำได้มาก่อน
แต่สำหรับ บุนเดสลีกา มีค่าเฉลี่ยแฟนบอล 44,000 คน ถือว่ามากที่สดในยุคนี้ นั่นคือเครืองชี้ความนิยม ตามมาด้วยคุณภาพของเกม ซึ่งลึกลงไปมันมาจากฐานแข้งระดับเยาวชนที่แข้งแกร่งนั่นเอง
สโมสรเยอรมันแม้งบประมาณจะไม่เท่าสโมสรในอังกฤษ แต่ข้อแตกต่างอยู่ที่การใช้เงินอย่างระมัดระวัง คิดไตร่ตรองแบบรอบคอบ ไม่เทกระจาดตำน้ำพริกละลายแม่น้ำซื้อแต่นักเตะชื่อดังแต่ไร้คุณภาพ
มาตรฐานผลงานของทีมชาติเยอรมันในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บ่งชี้ชัดว่าพวกเขาไม่เคยขาดการพัฒนาในแต่ละปี จะมีดาวรุ่งฝีเท้าดีก้าวขึ้นมาแจ้งเกิดในระดับมากมาย หลายคน ด้วยกัน
คริสเตียน ไซเฟิร์ต หัวหน้าผู้บริหารระดับสูงของบุนเดสลีกา ชี้สองประเด็นสำคัญว่า อย่างแรกคือ การพัฒนานักเตะเยาวชนอย่างแข็งแกร่งมากขึ้น อย่างที่สอง คือการใช้จ่ายเงินอย่างมีวินัยของแต่ละทีมนั่นเอง
“วินัยการใช้เงินต้องไม่เกินตัวจากรายได้ที่รับ นี่คือที่มาของกฏใหม่ในนามมี fail play นอกสนามก็มี financial fair play เช่นเดียวกัน ตามนโยบายใหม่ของยูฟ่า ที่ไม่ต้องการให้เจ้าของทีมรุ่นใหม่อย่าง ชีค มันชูร์ เสกมันต์กับแมนฯซิตี้ และเสี่ยหมี โรมัน ออมบราโมวิช กับ เชลซี ในตอนนี้
ฤดูกาลนี้ เป็นปีแรกที่มีทีมจากเยอรมันได้โควต้า 4 ทีม โดย 3 ทีมแรก บาเยิร์น, ดอร์ทมุนด์ และชาลเก้ ผ่านเข้ารอบแบ่งกล่ะมได้หมด ขาไปเพียงแค่ มึ่นเช่นกลัดบัค ที่ตกรอบคัดเลือกตั้งแต่ต้น
3 ปีที่ผ่านมา บาเยิร์น สร้างมาตรฐานเข้าชิงฯ ถึง 2 ครั้ง ด้วยผลงานแบบนี้ เงินสะพัดเข้าทีมเพียบ ทำให้ทีมสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้เพิ่มขึ้นในแต่ละปี โดยเฉพาะปีที่ผ่านมา นำเข้านักเตะคณภาพอย่าง ซาบี้ มาติเนซ ค่าตัว 40 ล้านยูโรฯ (หมายเหตุของผู้รวบรวม มาติเนซยอมจ่ายค่าตัวให้ตัวเองส่วนหนึ่ง (แต่จำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่))
จนซีซั่นนี้ บาเยิร์น ก็จะได้กุนซือเกรดเออย่าง เป๊ป กวาดิโอล่า เข้ามาทำทีม แถมยังดึงตัว มาริโอ เกิทเซ่ ยอดดาวรุ่งเยอรมันมาร่วมทีมแล้วด้วยค่าตัว 39 ล้านยูโร นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจน
ซีซั่นนี้ ดอร์ทมุนด์ มีแข้งเยอรมันขนานแท้ 10 ตัว คว่ำ แมนฯซิตี้ลงได้ แถมยังเข้าเป็นอันดับ 1 ใน group of death อีกด้วย
ส่วนบาเยิร์น ก็ใช้แข้งเยอรมัน 6 ราย พิฆาตบาซ่าทั้งสองนัด เมื่อรวมกับแข้งนอกคุณภาพเยี่ม มันจึงไม่แปลกที่ทั้ง 2 ทีมนี้ จะประสบความสำเร็จในยุโรป
11 ตัวแรกของดอร์ทมุนด์ มีค่าตัวรวมกันแค่ 40 ล้านยูโรฯ เท่านั้น เรียกว่า เพียงแค่ ฆาบี้ มาติเนซ คนเดียวก็สามารถซื้อทีม เสือเหลือง ได้ยกทีม (ราคาราวสัก 1 ใน 7-9 ของแข้ง 11 ตัวแรกของรีล มาดริค - ถ้าพูดถึงโรนัลโด้ ก็ไม่ถึง 1/2 คน)
ส่วนยอดกุนซือของเสือใต้อย่างจุ๊ปป์ ไฮเกซมีดีกรีนักเตะระดับแชมป์บุนเดสฯ 4 สมัย แชมป์ยูฟ่าคัพ 1 สมัย กับทีมอินทรีเหล็กเป็นแชมป์ยูโร 1 สมัย และแชมป์ยูโรเปี้ยนส์คัพ 1 สมัย (UCL ปัจจุบัน) ส่วนผลงานในการคุมทีมก่อนเป็นแชมป์บุนเดสฯ กับบาเยิร์นรวมซีซั่นนี้ 3 สมัย เป็นแชมป์ UCL กับรีล มาดริค 1 สมัย
และกุนซือวัยหนุ่มอย่างเจอร์เก้น คล๊อปป์ที่นำทีมวัยหนุ่ม (กว่า) อย่างดอร์ทมุนด์เอาชนะบาเยิร์นที่มีไฮเกซคุมเป็นแชมป์บุนเดสฯ 2 สมัย และเด เอฟ เบ โพคาล (FA Cup ของเยอรมัน) อีก 1 สมัย
เมื่อย้อนหลังกลับไปจากวิกฤตการณ์ตกต่ำสุดๆ เยอรมัน ตกรอบแรก ยูโร 2000 ปรากฏว่าทีมใน บุนเดสลีกา ตื่นตัวกันยกใหญ่ สร้างศูนย์ฝึกเยาวชนกับพรึ่งพรับ รวมแล้วใช้เงินไปทั้งหมด 610 ล้านปอนด์
จากนั้นเป็นต้นมา เมื่อผลผลิตออกดอกออกผล เราก็ได้เห็นเด็กดาวรุ่งเยอรมันทยอยกันแจ้งเกิดขึ้นสู่ระดับชาติ ไล่ตั้งแต่ปี ฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมันรับบทเป็นเจ้าภาพเอง ทีมอินทรีเหล็กไปได้ไกลถึงรอบรองชนะเลิศและ 2 ปีต่อมาเข้าชิงยูโณ 2008 แต่แพ้สเปน
ภาพรวม พรีเมียร์ลีก เหมือนยังแข็งแกร่งอยู่ มีภาพลักษณ์ที่ยอดเยี่ยม แต่คุณภาพไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน ประเด็นสำคัญก็คือ ขาดการพัฒนานักเตะระดับเยาวชนที่ไม่ต่อเนื่อง นั่นก็เป็นปัญหาลูกโซ่เป็นผลพวงจากที่หลายทีมไปกว้านซื้อนักเตะต่างชาติชั้นยอดเข้ามาเป็นตัวจริงนั่นเอง
โธมัส มุลเลอร์ กับ มาริโอ เกิทเซ่ (ผมว่า 2 คนนี้แหล่ะ ที่ไม่คนใดก็คนหนึ่งที่จะได้เป็นนักเตะเยอรมันที่ได้บัลลงดอร์คนถัดจากมัทเธอุส ซามเมอร์ปี 1996) คือ ตัวอย่างที่ชัดเจนของแข้งเยอรมันยุคนี้ ที่ปั้นดินให้เป็นดาว
นี่ยังไม่รวม มาร์โค รอยส์, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, ฟิลิปป์ ลาห์ม หรือว่า อิลคาย กุนโดแกน, พี่น้องสกุลเบนเดอร์ และอีกหลายๆ คน ... ที่รวมกันเป็นรากฐานของทีมชาติเยอรมันในยุคนี้
ผลงานอันยอดเยี่ยมของ บาเยิร์น และ ดอร์ทมุนด์ ในเวทียุโรปซีซั่นนี้ นสพ.คิกเกอร์ เมืองเบียร์ยกให้เป็น ‘The Best Semi-Final of All Time’ โดยเฉพาะทีมเสือใต้ จากบาวาเรีย ที่สอนบอลโคตรทีมอย่างบาเซโลน่า หมดจรดราบคาบ
มุลเลอร์แข้งอนาคต ที่ได้ดาวรุ่งยอดเยี่ยมกับดาวซัลโวในเวิร์ดคัพ 2010 มาประดับกาย ปัจจุบันในวัยแค่ 23-24 ปี ถูกยกย่องว่าเป็น ‘เมสซี่ บาเยิร์น’ หนังสือพิมพ์บิลด์ พาดหัวตัวโตว่า ‘เมสซี่ คือ ใคร ?” ส่วนเกิทเซ่ได้รับขนานนามได้สักพักใหญ่ๆ แล้วว่า ‘แข้งพรสวรรค์แห่งเยอรมัน’
เคล็ดลับ ฟอร์มอันยอดเยี่ยมของมุลเลอร์ ก็คือ สภาพร่างกายที่แข็งแกร่งฟิตเปี๊ยะ วิ่งได้ทั่วทั้งสนามตลอด 90 นาที (รวมช่วงทดเวลา) ที่เป็นผลพวงที่มาจากการประคบประหงมของ ‘ด๊อกเตอร์ ฮันส์-วิลเลี่ยม มุลเลอร์ โวล์ฟฟาร์ท’ หรือในฉายาว่า ‘หมอเทวดา’ นั่นเอง
มุลเลอร์คุ้นเคยกับการวิ่งไล่ล่าลูกบอล เขามีค่าเฉลี่ย 13 กิโลเมตรต่อ 1 นัด ถ้านับเฉพาะ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก ซีซั่นนี้ มุลเลอร์ มีสถิติวิ่ง 132 เมตร ทุกๆ 60 วินาที รวมแล้ว 114,189 เมตรใน 865 นาที นี่คืออาวุธทำลายล้าง บาซ่า อย่างแท้จริง
ทีนี้มาดูเกิทเซ่กันบ้าง ผลผลิตจากศูนย์ฝึกเยาวชน ดอร์ทมุนด์ ที่ส่งผลกำไรงามระยับทั้งในและนอกสนาม สร้างผลงานได้ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก และซีซั่นหน้าจะไปโลดแล่นเป็นตัวทำเกมให้บาเยิร์น
เขาได้รับการยกย่องจากมัทเซอุส ซามเมอร์ (ก่อนประกาศซื้อตัวเข้าร่วมทีมเป็นปีๆ) ให้คำจำกัดความเขาไว้ว่า "หนึ่งในนักเตะที่มีพรสวรรค์มากที่สุดที่เยอรมนีเคยมีมา" ส่วนเฟลิกซ์ มากัธก็เรียกเขาว่า "แข้งพรสวรรค์แห่งศษวรรษ"
All-German Final หนนี้ บ่งบอกอะไรได้หลายอย่างด้วย ยอดแฟนบอลที่ล้นทลายของบาเยิร์นและดอร์ทมุนด์ ในแต่ละนัดบวกกับการบริหารการเงินที่ยอดเยี่ยม ... 2 ทีมนี้อาจจะครองความยิ่งใหญ่ในยุโรปอย่างต่อเนื่องก็เป็นได้
credit : นสพ.สตาร์ซอคเกอร์ โดย ซัมเมอร์ฮิลล์ & www.google.com & www.wikipedia.com & ความทรงจำส่วนตัวของจขกท.
[กระทู้สโมสรเยอรมัน 2013-05-23] เมด อิน เยอรมัน – เงาสะท้อนของ German Final @ Wembley 2013
ก่อนหน้านี้ เคยมีคู่ชิงที่มาจากชาติเดียวกันเกิดขึ้นแล้ว 3 ครั้งปี 2000 เรอัล มาดริค ปะทะ วาเลนเซีย, ปี 2008 เอซี มิลาน เปิดศึก กับ ยูเวนตุส และปี 2008 แมนฯยูไนเต็ด ชิงดำกับเชลซี
บาเยิร์น อดีตแชมป์ 4 สมัย ไม่เคยได้สัมผัสถ้วยนี้ตั้งแต่ปี 2001 ส่วน ดอร์ทมุนด์สร้างประวัติศาสตร์ได้เพียงหนเดียวในปี 1997 จากนั้น ก็ไม่เคยขยับเข้าใกล้ได้อีกเลย นี่คือการเข้ารอบชิงฯ ครั้งที่สองเท่านั้น
พูดถึง บาเยิร์น แล้วยังไม่อันบโชคพ่ายแพ้ในนัดชิงดำถึง 5 ครั้ง ป่านนี้คงจะทำสถิติเบียดกับ เรอัล มาดริค แชมป์เปี้ยนส์ 9 สมัย โดยนอกจากที่ทีมบักษ์จากเยอรมันแล้ว ยังมี ยูเวนตุส กับ เบนฟิก้า ที่เคยอกหักในรอบชิง 5 ครั้ง
บุนเดสลีกา อาจจะไม่ฮิดหรือเงินสะพัดเท่ากับพรีเมียร์ลีก แต่กระแสความนิยมและคุณภาพของเกมไม่ได้ด้อยไปกว่า แถมปีสองปีที่ผ่านมายังดูแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ
ในช่วงระหว่างปี 2007-09 ทีมจากเมืองผู้ดีครองความยิ่งใหญ่ในยุโรปมีถึง 3 ทีมเข้ารอบรองชนะเลิศได้ 5 ปีติดต่อกัน ไม่เคยมีทีมจากชาติไหนทำได้มาก่อน
แต่สำหรับ บุนเดสลีกา มีค่าเฉลี่ยแฟนบอล 44,000 คน ถือว่ามากที่สดในยุคนี้ นั่นคือเครืองชี้ความนิยม ตามมาด้วยคุณภาพของเกม ซึ่งลึกลงไปมันมาจากฐานแข้งระดับเยาวชนที่แข้งแกร่งนั่นเอง
สโมสรเยอรมันแม้งบประมาณจะไม่เท่าสโมสรในอังกฤษ แต่ข้อแตกต่างอยู่ที่การใช้เงินอย่างระมัดระวัง คิดไตร่ตรองแบบรอบคอบ ไม่เทกระจาดตำน้ำพริกละลายแม่น้ำซื้อแต่นักเตะชื่อดังแต่ไร้คุณภาพ
มาตรฐานผลงานของทีมชาติเยอรมันในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บ่งชี้ชัดว่าพวกเขาไม่เคยขาดการพัฒนาในแต่ละปี จะมีดาวรุ่งฝีเท้าดีก้าวขึ้นมาแจ้งเกิดในระดับมากมาย หลายคน ด้วยกัน
คริสเตียน ไซเฟิร์ต หัวหน้าผู้บริหารระดับสูงของบุนเดสลีกา ชี้สองประเด็นสำคัญว่า อย่างแรกคือ การพัฒนานักเตะเยาวชนอย่างแข็งแกร่งมากขึ้น อย่างที่สอง คือการใช้จ่ายเงินอย่างมีวินัยของแต่ละทีมนั่นเอง
“วินัยการใช้เงินต้องไม่เกินตัวจากรายได้ที่รับ นี่คือที่มาของกฏใหม่ในนามมี fail play นอกสนามก็มี financial fair play เช่นเดียวกัน ตามนโยบายใหม่ของยูฟ่า ที่ไม่ต้องการให้เจ้าของทีมรุ่นใหม่อย่าง ชีค มันชูร์ เสกมันต์กับแมนฯซิตี้ และเสี่ยหมี โรมัน ออมบราโมวิช กับ เชลซี ในตอนนี้
ฤดูกาลนี้ เป็นปีแรกที่มีทีมจากเยอรมันได้โควต้า 4 ทีม โดย 3 ทีมแรก บาเยิร์น, ดอร์ทมุนด์ และชาลเก้ ผ่านเข้ารอบแบ่งกล่ะมได้หมด ขาไปเพียงแค่ มึ่นเช่นกลัดบัค ที่ตกรอบคัดเลือกตั้งแต่ต้น
3 ปีที่ผ่านมา บาเยิร์น สร้างมาตรฐานเข้าชิงฯ ถึง 2 ครั้ง ด้วยผลงานแบบนี้ เงินสะพัดเข้าทีมเพียบ ทำให้ทีมสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้เพิ่มขึ้นในแต่ละปี โดยเฉพาะปีที่ผ่านมา นำเข้านักเตะคณภาพอย่าง ซาบี้ มาติเนซ ค่าตัว 40 ล้านยูโรฯ (หมายเหตุของผู้รวบรวม มาติเนซยอมจ่ายค่าตัวให้ตัวเองส่วนหนึ่ง (แต่จำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่))
จนซีซั่นนี้ บาเยิร์น ก็จะได้กุนซือเกรดเออย่าง เป๊ป กวาดิโอล่า เข้ามาทำทีม แถมยังดึงตัว มาริโอ เกิทเซ่ ยอดดาวรุ่งเยอรมันมาร่วมทีมแล้วด้วยค่าตัว 39 ล้านยูโร นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจน
ซีซั่นนี้ ดอร์ทมุนด์ มีแข้งเยอรมันขนานแท้ 10 ตัว คว่ำ แมนฯซิตี้ลงได้ แถมยังเข้าเป็นอันดับ 1 ใน group of death อีกด้วย
ส่วนบาเยิร์น ก็ใช้แข้งเยอรมัน 6 ราย พิฆาตบาซ่าทั้งสองนัด เมื่อรวมกับแข้งนอกคุณภาพเยี่ม มันจึงไม่แปลกที่ทั้ง 2 ทีมนี้ จะประสบความสำเร็จในยุโรป
11 ตัวแรกของดอร์ทมุนด์ มีค่าตัวรวมกันแค่ 40 ล้านยูโรฯ เท่านั้น เรียกว่า เพียงแค่ ฆาบี้ มาติเนซ คนเดียวก็สามารถซื้อทีม เสือเหลือง ได้ยกทีม (ราคาราวสัก 1 ใน 7-9 ของแข้ง 11 ตัวแรกของรีล มาดริค - ถ้าพูดถึงโรนัลโด้ ก็ไม่ถึง 1/2 คน)
ส่วนยอดกุนซือของเสือใต้อย่างจุ๊ปป์ ไฮเกซมีดีกรีนักเตะระดับแชมป์บุนเดสฯ 4 สมัย แชมป์ยูฟ่าคัพ 1 สมัย กับทีมอินทรีเหล็กเป็นแชมป์ยูโร 1 สมัย และแชมป์ยูโรเปี้ยนส์คัพ 1 สมัย (UCL ปัจจุบัน) ส่วนผลงานในการคุมทีมก่อนเป็นแชมป์บุนเดสฯ กับบาเยิร์นรวมซีซั่นนี้ 3 สมัย เป็นแชมป์ UCL กับรีล มาดริค 1 สมัย
และกุนซือวัยหนุ่มอย่างเจอร์เก้น คล๊อปป์ที่นำทีมวัยหนุ่ม (กว่า) อย่างดอร์ทมุนด์เอาชนะบาเยิร์นที่มีไฮเกซคุมเป็นแชมป์บุนเดสฯ 2 สมัย และเด เอฟ เบ โพคาล (FA Cup ของเยอรมัน) อีก 1 สมัย
เมื่อย้อนหลังกลับไปจากวิกฤตการณ์ตกต่ำสุดๆ เยอรมัน ตกรอบแรก ยูโร 2000 ปรากฏว่าทีมใน บุนเดสลีกา ตื่นตัวกันยกใหญ่ สร้างศูนย์ฝึกเยาวชนกับพรึ่งพรับ รวมแล้วใช้เงินไปทั้งหมด 610 ล้านปอนด์
จากนั้นเป็นต้นมา เมื่อผลผลิตออกดอกออกผล เราก็ได้เห็นเด็กดาวรุ่งเยอรมันทยอยกันแจ้งเกิดขึ้นสู่ระดับชาติ ไล่ตั้งแต่ปี ฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมันรับบทเป็นเจ้าภาพเอง ทีมอินทรีเหล็กไปได้ไกลถึงรอบรองชนะเลิศและ 2 ปีต่อมาเข้าชิงยูโณ 2008 แต่แพ้สเปน
ภาพรวม พรีเมียร์ลีก เหมือนยังแข็งแกร่งอยู่ มีภาพลักษณ์ที่ยอดเยี่ยม แต่คุณภาพไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน ประเด็นสำคัญก็คือ ขาดการพัฒนานักเตะระดับเยาวชนที่ไม่ต่อเนื่อง นั่นก็เป็นปัญหาลูกโซ่เป็นผลพวงจากที่หลายทีมไปกว้านซื้อนักเตะต่างชาติชั้นยอดเข้ามาเป็นตัวจริงนั่นเอง
โธมัส มุลเลอร์ กับ มาริโอ เกิทเซ่ (ผมว่า 2 คนนี้แหล่ะ ที่ไม่คนใดก็คนหนึ่งที่จะได้เป็นนักเตะเยอรมันที่ได้บัลลงดอร์คนถัดจากมัทเธอุส ซามเมอร์ปี 1996) คือ ตัวอย่างที่ชัดเจนของแข้งเยอรมันยุคนี้ ที่ปั้นดินให้เป็นดาว
นี่ยังไม่รวม มาร์โค รอยส์, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, ฟิลิปป์ ลาห์ม หรือว่า อิลคาย กุนโดแกน, พี่น้องสกุลเบนเดอร์ และอีกหลายๆ คน ... ที่รวมกันเป็นรากฐานของทีมชาติเยอรมันในยุคนี้
ผลงานอันยอดเยี่ยมของ บาเยิร์น และ ดอร์ทมุนด์ ในเวทียุโรปซีซั่นนี้ นสพ.คิกเกอร์ เมืองเบียร์ยกให้เป็น ‘The Best Semi-Final of All Time’ โดยเฉพาะทีมเสือใต้ จากบาวาเรีย ที่สอนบอลโคตรทีมอย่างบาเซโลน่า หมดจรดราบคาบ
มุลเลอร์แข้งอนาคต ที่ได้ดาวรุ่งยอดเยี่ยมกับดาวซัลโวในเวิร์ดคัพ 2010 มาประดับกาย ปัจจุบันในวัยแค่ 23-24 ปี ถูกยกย่องว่าเป็น ‘เมสซี่ บาเยิร์น’ หนังสือพิมพ์บิลด์ พาดหัวตัวโตว่า ‘เมสซี่ คือ ใคร ?” ส่วนเกิทเซ่ได้รับขนานนามได้สักพักใหญ่ๆ แล้วว่า ‘แข้งพรสวรรค์แห่งเยอรมัน’
เคล็ดลับ ฟอร์มอันยอดเยี่ยมของมุลเลอร์ ก็คือ สภาพร่างกายที่แข็งแกร่งฟิตเปี๊ยะ วิ่งได้ทั่วทั้งสนามตลอด 90 นาที (รวมช่วงทดเวลา) ที่เป็นผลพวงที่มาจากการประคบประหงมของ ‘ด๊อกเตอร์ ฮันส์-วิลเลี่ยม มุลเลอร์ โวล์ฟฟาร์ท’ หรือในฉายาว่า ‘หมอเทวดา’ นั่นเอง
มุลเลอร์คุ้นเคยกับการวิ่งไล่ล่าลูกบอล เขามีค่าเฉลี่ย 13 กิโลเมตรต่อ 1 นัด ถ้านับเฉพาะ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก ซีซั่นนี้ มุลเลอร์ มีสถิติวิ่ง 132 เมตร ทุกๆ 60 วินาที รวมแล้ว 114,189 เมตรใน 865 นาที นี่คืออาวุธทำลายล้าง บาซ่า อย่างแท้จริง
ทีนี้มาดูเกิทเซ่กันบ้าง ผลผลิตจากศูนย์ฝึกเยาวชน ดอร์ทมุนด์ ที่ส่งผลกำไรงามระยับทั้งในและนอกสนาม สร้างผลงานได้ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก และซีซั่นหน้าจะไปโลดแล่นเป็นตัวทำเกมให้บาเยิร์น
เขาได้รับการยกย่องจากมัทเซอุส ซามเมอร์ (ก่อนประกาศซื้อตัวเข้าร่วมทีมเป็นปีๆ) ให้คำจำกัดความเขาไว้ว่า "หนึ่งในนักเตะที่มีพรสวรรค์มากที่สุดที่เยอรมนีเคยมีมา" ส่วนเฟลิกซ์ มากัธก็เรียกเขาว่า "แข้งพรสวรรค์แห่งศษวรรษ"
All-German Final หนนี้ บ่งบอกอะไรได้หลายอย่างด้วย ยอดแฟนบอลที่ล้นทลายของบาเยิร์นและดอร์ทมุนด์ ในแต่ละนัดบวกกับการบริหารการเงินที่ยอดเยี่ยม ... 2 ทีมนี้อาจจะครองความยิ่งใหญ่ในยุโรปอย่างต่อเนื่องก็เป็นได้
credit : นสพ.สตาร์ซอคเกอร์ โดย ซัมเมอร์ฮิลล์ & www.google.com & www.wikipedia.com & ความทรงจำส่วนตัวของจขกท.